มื้อเย็นมีอาหารเมนูตุ๋นกันคนละชาม เพราะใส่น้ำมันหมูลงไปเยอะ กลิ่นเลยหอมตลบอบอวล พอเจิ้งหยวนล้างมือเสร็จ คนในบ้านส่วนใหญ่ก็นั่งประจำที่กันเรียบร้อยแล้ว เจิ้งหยวนเลยเดินเข้าไปลากเก้าอี้พับมานั่งบ้างด้วยเหมือนกัน เธอหยิบตะเกียบ แล้วกวาดสายตามองผ่านๆ รอบหนึ่ง พลันชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะแกล้งถามเหมือนไม่ใส่ใจ “แล้วคุณพ่อล่ะ?”
เฉินชุ่ยอวิ๋นกลืนกับข้าวในคอแล้วค่อยบอก “ไปบ้านลุงใหญ่แล้ว”
ครั้นได้ยิน เจิ้งหยวนก็กินข้าวไม่ลงทันที เธอขมวดคิ้วถาม “ไปทำอะไรที่บ้านลุงใหญ่ล่ะ?”
เจิ้งเทียนิเบ้ปากตอบ “จะทำอะไรได้อีก ขอโทษแทนเธอไง” พูดจบก็โดนภรรยาตนเองตีไปหนึ่งฉาด เขาจึงทำได้แค่ยักไหล่ ไม่กล้าพูดสิ่งใดอีก
เจิ้งหยวนโกรธจนอกแทบะเิ ขอโทษ ทำไมต้องขอโทษล่ะ!มันเหมือนกับว่าเธอทำผิด
แล้วดื้อดึงไม่ยอมรับจนต้องให้พ่อตามไปเช็ดก้นให้! ไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย! คุณพ่อไปบ้านลุงใหญ่คราวนี้จะมียิ้มออกได้อย่างไร
คุณลุงใหญ่ต้องอาศัยที่ตนเป็พี่ชายของพ่อ รังแกคุณพ่อจนเขาแทบแย่แน่
พ่อเธอทำอะไรถึงต้องถูกคุณลุงตำหนิด้วย?
กินข้าวได้ครึ่งหนึ่งเจิ้งเฉวียนกังก็กลับบ้าน สีหน้าเขาอึมครึมไร้รอยยิ้มตามที่คาด ริ้วรอยบนใบหน้าคล้ายจะลึกขึ้นกว่าแต่ก่อน เขานั่งก้มหน้าก้มตากินข้าว ไม่พูดไม่จาหลังจากกลับมา คนอื่นๆ เห็นแล้วก็หลุบหน้าตักข้าวในชามกินเงียบๆ ไม่กล้าส่งเสียงใดเช่นกัน ทั้งห้องพลันเงียบกริบเหลือเพียงเสียงตะเกียบกระทบชามข้าวเท่านั้น
เจิ้งหยวนมองเขา สีหน้าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ท่าทางอึกๆ อักๆ
จนกระทั่งกินข้าวเสร็จ เจิ้งเฉวียนกังถึงพูดขึ้น “เอาละ กินข้าวกันเสร็จแล้วใช่ไหม ได้เวลาทำงานกันแล้ว วันนี้ต้องรีบเก็บเกี่ยวผลิตผลในนาให้หมด ไม่รู้พรุ่งนี้อากาศจะเป็ยังไงบ้าง”
ความจริงแล้วเจิ้งหยวนกินไปไม่มากนัก บางคนที่เหนื่อยเกินไปก็มักจะกินข้าวไม่ค่อยลง ซึ่งเจิ้งหยวนก็เป็คนประเภทนั้น เธอวางชามกับตะเกียบ เตรียมตัวไปทำงานตามเจิ้งเฉวียนกังที่ออกไปก่อนหน้านี้
“นี่ หยวนหยวน ในชามแกเหลือเยอะเชียว?” เฉินชุ่ยอวิ๋นเรียกเธอไว้
เจิ้งหยวนตอบตามตรง “ฉันไม่หิวน่ะ”
“ถึงไม่หิวแกก็ควรกินอีกสักหน่อย งานเสร็จจะเหนื่อยสายตัวแทบขาดเลยนะ!” เฉินชุ่ยอวิ๋นยังไม่ยอมปล่อยเธอไป
พยายามคะยั้นคะยอให้เธอกินข้าวอีกสักสองสามคำให้ได้
เจิ้งหยวนไม่อยากอาหารจริงๆ ในกระเป๋าเธอยังมีช็อกโกแลตอยู่ ตอนหิวจัดกินสักชิ้นรองท้องนิดหน่อยก็พอแล้ว เธอส่ายหัวพลางดันชามตรงหน้าออก “ฉันกินไม่ไหวแล้วจริงๆ แม่ก็รู้นี่นา
ฉันเหนื่อยเลยกินข้าวไม่ลง”
แต่เฉินชุ่ยอวิ๋ยยังไม่ยอมแพ้ “คืนนี้ไม่รู้ต้องทำงานจนถึงกี่โมงนะ”
เจิ้งหยวนบอกไม่กินคือไม่กินแล้ว
“งั้นตอนทำงานกลางคืนอย่าฝืนมากเกินไป แอบอู้ได้ก็แอบอู้เสีย”
เจิ้งหยวนหยักยิ้ม คุณแม่เธอไม่กล้าพูดเช่นนี้ต่อหน้าคุณพ่อแน่ เธอตอบรับสดใสแล้วคว้าเคียวที่วางอยู่ตรงลานบ้านเดินออกไป
ท้องฟ้ามืดสนิท อากาศ่กลางคืนไม่ค่อยดีนัก มองไม่เห็นดวงดาวที่ล่องลอยทั่วผืนนภา ดวงจันทร์ก็ผลุบๆ โผล่ๆ ภายใต้ชั้นเมฆ เห็นสภาพบรรยากาศแล้วไม่รู้พรุ่งนี้อากาศจะเป็เช่นไรบ้าง
ในหมู่บ้านยังไม่มีไฟฟ้า นับประสาอะไรกับเสาไฟตามท้องถนน แต่ละครัวเรือนก็ใช่ว่าจะมีไฟฉาย ในยุคนี้ทุกคนเลยต้องอาศัยแสงจันทร์ตอนกลางคืนยามเดินทาง ทว่าเวลานี้ดวงจันทร์อ่อนแสงไม่อาจพึ่งพิง บนถนนจึงมืดกว่าทุกครั้ง เสียงจิ้งหรีดเรไรยังดังแว่วข้างหู เพิ่มความน่ากลัวเข้าไปอีก
โชคดีที่เจิ้งหยวนเดินมาพร้อมกับพี่สะใภ้เฝิงิเยว่ เพราะ่ฤดูเก็บเกี่ยว กลุ่มเย็บปักในคอมมูนก็หยุดพักด้วย เฝิงิเยว่เลยมาเข้ามาร่วมแจมกองย่อยของสตรี ลงทำนาด้วยกัน
เฝิงิเยว่เดินนำหน้า พลางเอ่ยกับเจิ้งหยวน “เธอเนี่ยนะ ทำไมเอาแต่เถียงคุณพ่อเขาอยู่เรื่อย? เชื่อฟังตามที่เขาบอกก็พอแล้ว
อย่าทำให้เขาโกรธนักเลย”
เจิ้งหยวนคิดในใจ ช่างไม่เป็ธรรมกับเธอเสียเลย เธอเถียงพ่อตรงไหนกัน ชาตินี้เธอตั้งใจจะใช้ชีวิตตามความปรารถนาของพ่อแม่แท้ๆ ใครจะรู้ว่าจะพบเจอเื่ยุ่งยากเช่นนี้? พบปัญหายังพอปล่อยผ่าน
คุณพ่อของเธอกลับไม่แยกแยะถูกผิด เธอจะหาเหตุผลจากไหนมาชี้แจง
ขณะกำลังจะพูด รูม่านตาพลันหดแคบลง เธอยื่นมือออกไปคว้าข้างหน้าทันที “ระวัง——”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้