ชีวิตหลังแต่งงานของหลินหร่านช่างหวานล้ำ กระทั่งเวลาล่วงเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิของเดือนที่สาม
อากาศในแต่ละวันก็แสนอบอุ่น ดอกไม้นานาพรรณในสวนของตำหนักท่านอ๋องพากันเบ่งบานจนเต็ม สนามหญ้าเริ่มแตกยอดเป็สีเขียวชอุ่มเต็มพื้นที่
เช้าวันนี้ หลินหร่านกับอวี้ฉู่จาวตื่นนอนกันแต่เช้า
หลังเข้าไปร่วมว่าราชการยามเช้าเสร็จ อวี้ฉู่จาวก็รีบกลับมาที่ตำหนักเพื่อร่วมมื้อเช้ากับพระชายา
หลินหร่านกับอวี้ฉู่จาวเดินออกจากหอเนี่ยนอวิ๋นเมิ่งซี แล้วเดินตรงไปยังประตูของตำหนัก ด้านหลังมีหยางซาน ติงหร่วน หลานจื่อและผู้ติดตามจำนวนหนึ่งเดินตามมาด้วย
วันนี้คือวันที่มีการสอบสวนบุตรชายของอัครเสนาบดีฉินฉือที่หน่วยงานต้าหลี่ ซึ่งอวี้ฉู่จาวต้องเข้าไปเป็พยานในครั้งนี้
สิ่งที่เขาต้องทำมีแค่ยกมือเป็พยานเท่านั้น
ทว่า ก็ถือว่าเขาแสนจะเอาเปรียบอีกฝ่ายเพราะได้สิ่งตอบแทนมาอย่างคุ้มค่านัก
ท้ายที่สุด สิ่งที่เขาได้รับไม่ได้มีเพียงการค้าของตงเยวี่ย และสิ่งที่ฉินฉือกับอวี้ฉู่หลิงสูญเสียไปก็มีมากกว่าการค้าของตงเยวี่ยด้วยซ้ำ
ทั้งคู่เดินจูงมือกัน เพราะตอนนี้เข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิแล้วทำให้อากาศอบอุ่นขึ้น
อากาศที่แสนอบอุ่น ช่างเหมือนกับภายในใจของหลินหร่านที่รู้สึกหวานละมุนไปทั้งหัวใจ
เสื้อผ้าที่สวมใส่ก็เบาบางลง ทั้งสองคนจึงได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น
“ท่านอ๋องรีบไปรีบกลับมานะพ่ะย่ะค่ะ”
ระยะเวลาหลังพิธีอภิเษกสมรสหนึ่งเดือน ทั้งคู่อยู่ด้วยกันแทบทุกวัน ่เวลาที่อวี้ฉู่จาวไปค่ายทหารเป่ยต้าก็น้อยลง
หากกิจการทหารใดที่สามารถจัดการอยู่ที่ตำหนักได้ เขาก็จะอยู่ในตำหนักไม่ออกไปไหน
เมื่อก่อนอวี้ฉู่จาวตัวคนเดียว เขาจึงใช้ชีวิตโดยไม่คิดอะไร นานๆ ครั้งถึงจะกลับตำหนักในเมืองหลวง เพราะส่วนใหญ่มักอยู่ที่ตำหนักนอกเมือง
แต่เวลานี้มีหลินหร่าน ชีวิตของเขาจึงเปลี่ยนไปมีแบบแผนมากขึ้น ตารางในแต่ละวันจะมีแค่ตำหนัก ราชสำนัก และค่ายทหารชานเมืองตะวันตกเท่านั้น
“อืม หากเ้าเบื่อก็ให้คนพาออกไปข้างนอกบ้าง อย่ามัวแต่อุดอู้อยู่ในตำหนัก” อวี้ฉู่จาวบอก
“ทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ ข้าไม่เป็ไร ท่านอ๋องรีบไปเถิด” สีหน้าของหลินหร่านราวกับสายลมในฤดูใบไม้ผลิ น้ำเสียงกระปรี้กระเปร่า แถมถ้อยคำที่กล่าวในตอนท้ายก็ยังแสดงออกถึงความสุข
ทุกวันนี้ หลินหร่านอยู่ภายใต้การเป็ที่โปรดปรานของอวี้ฉู่จาว เขาร่าเริงสดใสขึ้นทุกวัน
เวลาอยู่ต่อหน้าอวี้ฉู่จาว นอกจากสนิทสนมกันมากขึ้นก็อาจมีเขินอายบ้าง แต่เขาก็ไม่คอยมาหวาดระแวงเหมือนก่อนแล้ว
เขารู้ว่านี่คือคนที่ตนเองใกล้ชิดมากที่สุดและเป็คนที่ดีต่อเขายิ่งนัก ดังนั้น ความสนิทสนมจึงเป็สิ่งที่เหมาะสม
ความรักของอวี้ฉู่จาวที่มีให้หลินหร่านนั้นก็ไม่มีที่สิ้นสุด ไม่ว่าจะเป็เื่อาหารการกินหรือของใช้ต่างๆ เขาคิดวิเคราะห์มาเป็อย่างดี กระทั่งการดูแลเหล่าสนมคนโปรดในวังหลังของฮ่องเต้อาจเทียบไม่ติดเลยกระมัง
คนที่อยู่ในตำหนักต่างก็พากันตกตะลึง เพราะไม่เคยมีใครโน้มน้าวจิตใจเขาได้
สำหรับหลินหร่านเอง ่เวลาที่อยู่ในตำหนักก็เป็่ที่เขามีความสุขมากที่สุดในสองชาติภพที่เขาได้ถือกำเนิดมา
“ข้าจะศึกษาตำรายาที่ท่านแม่ทิ้งไว้ให้ แค่นั้นก็เพียงพอแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อเดินมาถึงหน้าประตูของตำหนัก อวี้ฉู่จาวประทับจูบบนใบหน้าของหลินหร่านแ่เบา “เ้ารออีกแค่สองวัน เดี๋ยวหมอซูก็กลับมา เขาเป็ศิษย์สำนักหมอเทวดาของเจียงหู หากเขากลับมาจะได้ช่วยไขข้อข้องใจหลายๆ อย่างให้เ้า”
“พ่ะย่ะค่ะ”
หลินหร่านใช้ชีวิตอยู่ในตำหนักเทพเ้าแห่งา ผ่านแต่ละวันไปด้วยความเกียจคร้าน เขาจึงมีความตั้งใจจะจัดการเื่อาหารการกินและเื่งานบ้านต่างๆ ในตำหนัก เพราะภายหลังจากที่เขาเป็พระชายา สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็หน้าที่ของเขา
แต่อวี้ฉู่จาวก็กลัวว่าเขาจะเหนื่อยจึงได้กำชับให้ลุงตงเข้ามาช่วยเหลือเื่นี้
ค่อยๆ เป็ค่อยๆ ไปทีละน้อย อย่าได้หักโหมจนเหนื่อยเกินไป
แต่นั่นก็เป็เพียงการกระทำที่ปล่อยให้เขามีชื่อว่าเป็ผู้ดูแล แต่อันที่จริงตัวเขากลับแทบไม่ได้ทำอะไรเลย
ด้วยเหตุนี้จึงส่งผลให้ในแต่ละวัน เขาไม่มีอะไรทำจริงๆ
รวมถึงเมื่อไม่นานมานี้ อวี้ฉู่จาวให้คนมาจัดหาตำราจากห้องเก็บตำราของเขาออกมาจำนวนหนึ่ง เนื่องจากท่านอ๋องคำนึงถึงสินสอดที่หลินหร่านนำมาด้วย ซึ่งนั่นก็คือตำรายาที่ผู้เป็มารดาของพระชายาเขียนขึ้นมาเองกับมือ
ทว่า พอได้อ่านไปแล้วหลินหร่านถึงมีความคิดอยากศึกษาด้านการแพทย์
ก่อนหน้านี้ในยุคปัจจุบัน เขาไม่มีโอกาสได้ศึกษาด้านนี้เลย
อีกทั้งสิ่งสำคัญก็คือ ท่านอ๋องเป็ถึงแม่ทัพใหญ่ของราชวงศ์อวี้ ภายภาคหน้าไม่อาจหลีกเลี่ยงการทำศึกา ฉะนั้น หากท่านอ๋องาเ็จากคมดาบขึ้นมาจะทำอย่างไร
หลินหร่านรู้สึกตระหนกเป็อย่างหนักหลังจากนึกถึงเื่นี้
หากตนเองรอบรู้ มีทักษะทางการแพทย์ อย่างน้อยก็อาจช่วยเหลือท่านอ๋องได้
ต่อมาความคิดนี้ก็หยั่งรากลึกเข้าไปในหัวใจของหลินหร่านโดยเร็ว
เขาเคยเอ่ยเื่นี้กับอวี้ฉู่จาวไปแล้ว ซึ่งท่านอ๋องก็ไม่ได้คัดค้าน
หากเป็สิ่งที่อวิ๋นซีของเขาชื่นชอบและอยากร่ำเรียน เขาก็จะให้เรียน อย่างน้อยก็ถือว่ามีอะไรทำ พระชายาตัวน้อยจะได้ไม่เบื่อ
“ท่านอ๋อง เดินทางปลอดภัยนะพ่ะย่ะค่ะ” หลินหร่านโผเข้ากอดอวี้ฉู่จาวพร้อมบอก
อวี้ฉู่จาวโอบกอดหลินหร่านกลับ เขารับรู้ได้ถึงความรักสุดหัวใจที่อีกคนมีให้
ความรักในหัวใจของอวิ๋นซีกำลังเติบโตขึ้นทุกวัน ค่อยๆ ขยับเข้ามาใกล้ชิดเขามากขึ้น
“ข้ารู้แล้ว เ้าก็อย่าลืมนอนกลางวันเสียล่ะ เ้าอยู่ในวัยกำลังโตนะ” อวี้ฉู่จาวยกมือตบหลังของหลินหร่านเบาๆ
หลินหร่านพยักหน้ารับ “อื้อ”
หลังจากอวี้ฉู่จาวขี่ม้าออกไป หลินหร่านจึงกลับเข้าไปในตำหนัก
หลินหร่านเดินมาจนถึงห้องโถงใหญ่ กลับถูกลุงตงเรียกเอาไว้เสียก่อน
“พระชายาพ่ะย่ะค่ะ”
เดิมทีหลินหร่านตั้งใจจะไปห้องตำราเพื่อศึกษาค้นคว้า แต่ใครจะไปรู้ว่าจู่ๆ ลุงตงที่อยู่ด้านหลังจะเอ่ยปากขึ้น
หลินหร่านหันไปมองแล้วเอ่ยถามอย่างมีมารยาท “ลุงตงมีเื่อะไรหรือ”
“กระหม่อมได้จัดการนำสมุดบัญชีของตำหนักไปไว้ในห้องตำราของพระองค์แล้ว หากมีตรงไหนที่ไม่เข้าใจก็เรียกหากระหม่อมได้เลยพ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋องบอกไว้แล้วว่าตอนนี้พระองค์กำลังค่อยๆ เรียนรู้ ดังนั้นก็ค่อยๆ ดู การทำความเข้าใจทุกสิ่งจะเป็เื่ดีต่อพระองค์ที่ได้ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมพ่ะย่ะค่ะ”
ลุงตงเองก็ทำอะไรไม่ถูก ในเมื่อท่านอ๋องเอ่ยมาอย่างนั้นจึงต้องปฏิบัติตาม
ถึงอย่างไรนี่ก็คือตำหนักของท่านอ๋องกับพระชายา หากเขาได้คอยช่วยเหลืออะไรสักหน่อยก็คงจะดี
อวี้ฉู่จาวคือคนที่เขาเห็นมาั้แ่เล็กจนโต หลินหร่านที่สามารถเข้าไปอยู่ในหัวใจของอวี้ฉู่จาวได้ เขาเองก็รู้สึกปลื้มใจนัก
แต่สิ่งที่เปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดคือ จากการที่เขาเคยมีนายคนเดียว ตอนนี้กลับมีนายถึงสองคน
“อื้อ ลำบากลุงตงแล้ว”
หลินหร่านมองออกว่าลุงตงให้ความเคารพในกฎระเบียบยิ่งนัก แต่เป็เพราะท่านอ๋องถึงได้ผ่อนปรนข้อจำกัดต่างๆ
“ไม่เป็ไรมิได้...เพียงแต่ว่า…” ลุงตงโบกมือก่อนจะกล่าวด้วยท่าทีลังเลในตอนท้าย
หลินหร่านตั้งใจฟัง ตัวเขาหวังจะได้รับถ้อยคำสั่งสอนของลุงตง
ลุงตงเป็คนเก่าคนแก่ของตำหนักนี้ หลายสิ่งหลายอย่างเขาจำเป็ต้องเรียนรู้จากลุงตง
“หากเป็เื่ในตำหนักนี้ กระหม่อมก็สามารถแบกรับเอาไว้ได้ แต่หากเป็เื่ด้านนอกเกรงว่ากระหม่อมคงช่วยอะไรไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ” ลุงตงขมวดคิ้วด้วยความลำบากใจ
หลินหร่านไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่ลุงตงกำลังพูด จึงได้แต่ทำหน้าสงสัย
ก่อนที่ลุงตงจะเริ่มอธิบายต่อ “ก่อนหน้านี้ที่ตำหนักไม่มีพระชายาหรือแม้แต่ฟูเหริน เหล่าขุนนางระดับสูงหรือบุคคลสำคัญในเมืองหลวงจึงไม่ได้ให้ความเคารพและเชื้อเชิญ เมื่อถึงวันขึ้นปีใหม่หรืองานรื่นเริง กระหม่อมก็จะให้คนจัดเตรียมของกำนัลและนำส่งไปให้ ทว่า วันนี้พระชายาได้เข้ามาอยู่ในตำหนัก ตามตำแหน่งของพระองค์แล้ว งานเลี้ยงบางอย่างที่ไม่จำเป็ก็สามารถละไปได้ แต่หากเป็งานเลี้ยงบางอย่างก็จำเป็จะต้องออกหน้าเข้าร่วมด้วย”
หลินหร่านเริ่มเข้าใจสิ่งที่ลุงตงกำลังจะสื่อ
นั่นหมายถึงการที่เขาขึ้นเป็พระชายาก็ควรจะต้องมีการคบหาสมาคมกับผู้อื่นสินะ
คงจะเหมือนการออกงานสังคมในยุคปัจจุบันกระมัง บางครั้งมีการร่วมงานเลี้ยงงานรื่นเริงบ้าง หากตอนไหนไม่มีงานก็นัดพบปะกับเหล่าสุภาพสตรีเพื่อจิบชาพลางสนทนากัน
ในเมืองหลวงมีขุนนางระดับสูงอยู่มากที่สุด และเื่ราวต่างๆ ก็คงจะมากมายไม่ต่างกัน
“เื่พวกนี้ข้ายังไม่ค่อยรู้สักเท่าไร อย่างไรคงต้องให้ลุงตงช่วยชี้แนะ”
หลินหร่านคิดแล้วคิดอีก
คำพูดของลุงตงมีเหตุผล เื่ราวเ่าั้ควรเป็หน้าที่เขา ไม่อาจปัดความรับผิดชอบไปได้
“พระชายาเกรงใจกระหม่อมเกินไปแล้ว อย่างไรกระหม่อมก็ต้องช่วยเหลือพระองค์อย่างแน่นอน และท่านอ๋องเองก็ได้ช่วยบอกปัดงานพบปะบางอย่างไปแล้ว…”
หลินหร่านใไม่น้อย นี่ท่านอ๋อง…
“กระหม่อมพอจะเข้าใจว่านั่นอาจเป็การพบปะสังสรรค์จิบชาที่แสนจะน่าเบื่อกับเหล่าฟูเหริน อีกทั้งด้วยสถานะของพระองค์...ที่เป็ชาย...ถือว่าไม่ค่อยเหมาะสม ไม่ไปก็ไม่เป็อะไรหรอกพ่ะย่ะค่ะ” ลุงตงเอ่ยออกมาราวกับปิดบังอะไรอยู่
ถึงแม้ว่าหลินหร่านจะเป็พระชายา เป็คนของตำหนักหลัง แต่ถึงอย่างไรก็ถือว่าเป็ชาย
การที่จะไปดื่มชาและพูดคุยกับเหล่าหญิงสาวอาจไม่ใช่เื่ที่เหมาะที่ควรนัก
---------------------------------------
