บทที่ 20 พิษดูดิญญา
เมืองเทียนตูเซียน เป็เมืองเซียนแห่งแรกในเทียนตู ที่มหาเทพก่อตั้งขึ้นด้วยพลังเวทอันยิ่งใหญ่ บรรยากาศใน่กลางวันและกลางคืนไม่มีสิ่งใดต่างกันมากนัก ดังนั้นลู่อวี่จึงไม่รีบร้อนที่จะออกไปเที่ยวข้างนอก แต่กลับไปพักที่ห้องแทน จากนั้นสักพักก็หยิบเตาหลอมยาวิเศษที่ผู้เฒ่ารองมอบให้มาเตรียมการรอไว้ เพื่อเตรียมเปิดเตาปรุงยาอายุวัฒนะ
นับั้แ่เขาตั้งหลักใหม่หลังจากมาอยู่ในตระกูลลู่ได้ เซียนหยกในตัวของเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่เมื่อเอามารวมกันแล้วกลับมีจำนวนเพียงหมื่นกว่าชิ้นเท่านั้น ในบรรดาคนที่มีสถานะทัดเทียมกันก็ถือว่าร่ำรวยแล้ว แต่คงไม่พอใช้จ่ายในเมืองเทียนตูเซียนแห่งนี้ เมื่อก่อนเขาสามารถเอ่ยปากขอลู่เหว่ยิได้ แต่ตอนนี้ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่กล้าเอ่ยปากขอ อันที่จริงเขาก็ไม่ได้ใช้เซียนหยกฟุ่มเฟือยนัก เพราะปรุงยาอายุวัฒนะไม่กี่เตา ไม่ว่าจะขายหรือแลกมาก็น่าจะพอให้เขามีเซียนหยกไว้จับจ่ายใช้สอยแล้ว
ใน่พลบค่ำของวันที่สอง พระอาทิตย์กำลังจะลาลับขอบฟ้า แสงอาทิตย์ที่นุ่มนวลตกกระทบลงบนกลาง “ทะเลหลิงกวง” เกิดเป็แสงสะท้อนสีทองแดง กระทบกับสะพานสายรุ้งทั้งเก้าใจกลางเมืองเทียนตูเซียนส่องแสงสว่างพร่างพราว ภาพนั้นช่างงดงามหยดย้อย จนทำให้รู้สึกเหมือนอยู่ในความฝัน!
ณ ใจกลางของเกาะสี่ส่วน ซึ่งเป็จัตุรัสการค้าพื้นที่ส่วนรวม
นี่เป็่เวลาที่เจริญรุ่งเรืองและมีชีวิตชีวาที่สุดของวันในเมืองเทียนตูเซียน บนเกาะลอยน้ำทั้งสิบแห่ง มีนักพรตจำนวนมหาศาลออกมาเลือกซื้อสิ่งของที่ตนเองปรารถนาในเวลานี้ ลู่อวี่เองก็พาองครักษ์ทั้งสี่คนเดินปะปนอยู่ท่ามกลางฝูงชนในเวลานี้เช่นกัน
“รีบมาดูเร็วเข้า มียาอายุวัฒนะจวี้หยวนขั้นแปดที่เพิ่งออกจากเตามาสดๆ ร้อนๆ มีเพียงสามสิบเม็ดเท่านั้น ทุกเม็ดมีราคาเพียงเซียนหยกขั้นต่ำห้าสิบเม็ด หากเหมาทั้งหมดขายเพียงเซียนหยกหนึ่งพันสี่ร้อยเม็ด ก็เอาไปได้เลย! มาก่อนได้ก่อน มาหลังก็หมดแล้ว!”
“สายฟ้าฟาด อาวุธเวทขั้นเจ็ดเซียนหยกสามพันเม็ด ไม่ลดไปกว่านี้แล้ว!”
“กระบี่ชิงเฟิงขั้นหกและกระบี่เสวียนอินขั้นหก กระบี่หล่อขึ้นโดยปรมาจารย์ผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง ของแท้ราคาถูก เป็อาวุธที่จำเป็ต้องมีไว้สำหรับการสังหารคนชิงทรัพย์!”
“เป็ของที่ตกทอดมาแต่โบราณ ทรงอานุภาพ ผู้าุโที่ตาถึงไม่ควรพลาด!”
ลู่อวี่เดินและหยุดดูรอบๆ แผงขายของริมถนนอย่างสนใจ คนที่มาตั้งแผงขายของที่นี่ล้วนแล้วแต่เป็นักพรตสันโดษที่มีพลังยุทธ์ขั้นต่ำ แน่นอนว่าไม่มีของดีอะไรอยู่แล้ว แต่ราคากลับไม่ถูก ทว่าบางครั้งกลับบังเอิญพบวัตถุดิบและตัวยาขั้นต่ำบางอย่างที่มีคุณสมบัติไม่เลว เช่นนั้นแล้วเขาจึงกว้านซื้อพวกมันทั้งหมด
ลู่เสียงและองครักษ์คนอื่นๆ คิดว่านายน้อยอาจจะอัดอั้นตันใจมากใน่นี้ แม้ว่าการออกมาครั้งนี้จะไม่ได้ขาดแคลนสิ่งใด ถึงอย่างไรก็ต้องซื้อของสักเล็กน้อย ดังนั้นจึงเดินตามไปเงียบๆ
ทันใดนั้น แผงลอยหนึ่งตรงหน้าก็ดึงดูดความสนใจของลู่อวี่เข้าแล้ว มีของประมาณเจ็ดแปดชิ้นวางขายอยู่บนแผง มีแร่ที่ไม่สามารถระบุชนิดได้อีกสองสามชิ้น อาวุธเวทขั้นต่ำหลายชิ้น และม้วนตำราหยกที่ดูเสียหายเล็กน้อยสองสามเล่ม
ลู่อวี่เดินไปหยิบม้วนตำราหยกขึ้นมาหนึ่งเล่มแล้วก้มดูพร้อมกับขมวดคิ้วม้วนตำราหยกเล่มนี้แตกต่างจากม้วนตำราหยกที่ใช้ในโลกบำเพ็ญเพียรในตอนนี้ ไม่เพียงแต่จะยาวกว่าเล็กน้อยเท่านั้น ซ้ำยังมีสีเขียวเข้มอีกด้วย อีกทั้งยังมีลวดลายแปลกประหลาด ที่เลือนรางไปบ้างแล้ว เขากล้ายืนยันว่านี่เป็โบราณวัตถุที่ตกทอดกันมานานอย่างแน่นอน แต่หลังจากถือมันไว้ในมือแล้วก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ เพราะม้วนตำราหยกนี้ไม่มีชีวิตชีวา เห็นได้ชัดว่าเป็ม้วนตำราหยกที่ถูกทิ้งร้างมานานแล้ว อีกทั้งเนื้อหาภายในนั้นก็ไม่สามารถอ่านมันได้อีกแล้ว
แต่เมื่อลองพิจารณาดูแล้ว หากม้วนตำราหยกคงสภาพดีจริงๆ คงถูกซื้อไปนานแล้ว มีคนที่มีทั้งเวลา สายตาเฉียบแหลม และมีไหวพริบไม่น้อยได้ััมัน เช่นนั้นแล้วมันจะตกมาถึงมือเขาได้อย่างไร!
“ม้วนตำราหยกนี้เสียแล้ว เหตุใดถึงยังนำมาขายอยู่อีกเล่า?” ลู่อวี่เหลือบมองเ้าของม้วนตำราหยก แล้วถือวิสาสะเอ่ยปากถาม โดยที่ไม่คิดจะฟังคำตอบของอีกฝ่าย แต่ในขณะที่กำลังจะเดินจากไปกลับต้องชักเท้ากลับมาอีกครั้งโดยไม่คาดคิด พร้อมกับแววตาที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ
ชายชราที่แก่หง่อมจนดูไม่ได้ผู้นี้ ผอมจนหนังหุ้มกระดูก เหมือนพร้อมจะตายได้ทุกเมื่อ เว้นเพียงแต่ดวงตาคู่นั้นที่ไม่ไหวติง แต่ดูแล้วคงผ่านการเปลี่ยนแปลงของโลกมานับครั้งไม่ถ้วน ถึงได้ดูลึกล้ำยากจะหยั่งเช่นนี้
แต่สิ่งที่ดึงดูดลู่อวี่กลับไม่ใช่หน้าตาของคนผู้นี้ แต่เป็พลังปราณอ่อนๆ ที่กระจายตัวออกมาจากตัวของอีกฝ่ายต่างหาก เขากล้ายืนยันว่า ชายชราผู้นี้เป็นักพรตที่ฝึกบำเพ็ญเพียรจนมีพลังยุทธ์ขั้นสูงมาก แต่ไม่รู้เพราะสาเหตุใดถึงได้มีพลังชีวิตที่อ่อนแอเช่นนี้
เมื่อสังเกตเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยของลู่อวี่ที่กำลังจะเดินไปแล้ว แต่กลับหยุดนิ่งลงอีกครั้ง ชายชราก็อดแปลกใจไม่ได้ พร้อมกับเอ่ยปากพูดออกมาช้าๆ ว่า “อย่างไรก็มีเวลาอีกไม่มากแล้ว ขอเพียงมาพักผ่อนหย่อนใจ ไม่ทราบว่าน้องชายผู้นี้มีอะไรจะชี้แนะข้าหรือ?”
ลู่อวี่ััพลังปราณของชายชราอีกครั้งอย่างละเอียด จึงมั่นใจว่าไม่ได้ตัดสินใจผิดพลาด สีหน้าเคร่งขรึมขึ้นทันทีและครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ถึงได้หันไปถามลองใจชายชราว่า “ให้ชี้แนะคงไม่กล้า เพียงแต่แปลกใจในพลังยุทธ์และการบำเพ็ญเพียรของผู้าุโในอดีต ท่านมีอาการาเ็อะไรที่ยังรักษาไม่หายหรือไม่เล่า!”
ชายชราเบิกตากว้างขึ้นมาในตอนแรก แต่จากนั้นก็หรี่ลงอีกครั้ง พลันหัวเราะเบาๆ แล้วพูดเยาะเย้ยกับตนเองว่า “มีอาการาเ็ที่รักษาไม่หายนับไม่ถ้วนในใต้หล้านี้ ต่อให้มีระดับขั้นพลังยุทธ์สูงเพียงใด ก็ไม่อาจเอาชนะโชคชะตาได้! น้องชายเองก็มีระดับพลังยุทธ์ไม่สูงนัก แต่สายตาเฉียบขาดใช่ย่อย ข้ากับเ้ามีวาสนาได้พบกันแล้ว สิ่งของบนพื้นนี้เ้าชอบอะไรก็เอาไปเถอะ มันจะไม่ทำให้เ้าผิดหวังแน่นอน!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น แม้แต่ลู่เสียงและคนอื่นๆ ที่ยืนอยู่ด้านหลังลู่อวี่ก็รู้ได้ทันทีว่าชายชราผู้นี้ไม่ใช่คนธรรมดาแน่ และสิ่งของบนพื้นก็เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ของธรรมดาทั่วไป
แต่ลู่อวี่กลับไม่แม้แต่จะมองสิ่งของบนแผงลอย แต่ก้าวเดินไปเบื้องหน้าหลายก้าว พลางยื่นหน้าไปสูดดมชายชรา มีความเข้าใจที่ฉายชัดอยู่ในั์ตา แต่ก็ยังไม่ค่อยมั่นใจ จึงลองใจและถามอีกครั้งว่า “พิษดูดิญญา?”
“พึ่บ!” ทันใดนั้นลู่อวี่ก็รู้สึกว่าตนเองถูกความกดดันที่น่าสะพรึงกลัวห่อหุ้มไว้ จนร่างกายแข็งทื่อไม่อาจขยับได้ในทันที
แต่โชคดีที่พลังนี้หายไปอย่างรวดเร็ว และไม่ได้ทำอันตรายต่อเขา แต่ชายชราผู้นั้นกลับตาโต จ้องมองมาทางลู่อวี่อย่างไม่ละสายตา และถามอย่างใจจดใจจ่อว่า “สหายน้อย รู้จักพิษดูดิญญาด้วยหรือ เช่นนั้นแล้วเ้ารู้วิธีแก้หรือไม่เล่า?”
แม้ว่าชายชราจะรู้ว่าแทบไม่มีความเป็ไปได้ แต่ก็ยังอดใจเอ่ยถามออกไปไม่ได้
คิดไม่ถึงว่า ชายหนุ่มผู้นี้เมื่อได้ยินเช่นนั้นแล้วกลับไม่ปฏิเสธในทันที แต่กลับขมวดคิ้วและกล่าวว่า “พิษนี้น่าจะอยู่กับท่านมานานหลายร้อยปีแล้ว และที่ท่านยังสามารถยื้อเวลามาได้นานถึงเพียงนี้ ตัวท่านเองน่าจะเป็นักพรตชั้นสูงที่มีพลังยุทธ์ถึงขั้นปลายตงซวน หรือไม่ก็อาจเป็ไปได้ว่าท่านมีพลังยุทธ์อยู่ในขั้นเกิดเทพเ้า!”
หรือที่เรียกกันว่าเทพเ้านั้น ถือเป็ชื่อเรียกที่มีเกียรติและน่านับถือเป็อย่างยิ่ง ปกติจะหมายถึงนักพรตที่มีพลังยุทธ์ขั้นเกิดเทพเ้า ในขณะที่ขั้นหวนสู่สัจธรรมนั้นจะเรียกว่า ปรมาจารย์สูงสุดของเต๋า แต่เมื่อถึงขั้น์กลับไม่ปรากฏชื่อเรียกทั่วไปเช่นนี้ เพราะต่างก็มีชื่อเรียกที่มีเกียรติและน่านับถืออยู่แล้ว
ในเวลานี้ชายชราที่ไม่ได้คาดหวังสิ่งใดมากนัก ยิ่งเพิ่มความคาดหวังมากขึ้น เพียงมองปราดเดียวก็ดูออกได้ทันทีว่าเขาถูกพิษ และยังสามารถคาดเดาขั้นพลังยุทธ์ของเขาก่อนที่จะถูกวางยาพิษจากลมหายใจและกลิ่นตอนนี้ของตนเองได้ นี่ไม่เพียงแต่ต้องมีสายตาคมกริบเท่านั้น แต่ยังต้องอาศัยประสบการณ์และความรู้อีกมาก ดังนั้นสายตาที่มองลู่อวี่จึงยิ่งอ่อนโยนมากขึ้น หลังจากสะบัดแขนเสื้อและเก็บของบนแผงแล้วจึงพูดว่า “หากสหายน้อยไม่รังเกียจ ไม่สู้ไปคุยกันที่บ้านของข้าต่อเล่า!”
แน่นอนว่าลู่อวี่ไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว จึงพยักหน้าและเดินตามไปทันที หากสามารถรักษาชายชราผู้นี้ได้ แน่นอนว่าย่อมช่วยเขาในสถานการณ์ตอนนี้ได้ไม่น้อย เช่นนั้นแล้วลองไปฟังดูย่อมไม่เสียหาย
ในอดีตชายชราผู้นี้มีพลังยุทธ์ที่สุดยอด จะต้องมีสมบัติอยู่ไม่น้อยแน่ แต่ตอนนี้ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ คงเป็ไปไม่ได้ที่จะมาแกล้งโอ้อวดตนเองในสถานที่ที่มีคนมากเช่นนี้ ดังนั้นที่พักของเขาในเมืองเทียนตูเซียนจึงเป็เพียงลานบ้านเล็ก ๆ ที่เช่าอยู่เท่านั้น
“ที่อยู่ซอมซ่อเช่นนี้ นับว่าขายหน้าสหายน้อยแล้ว”
ลู่อวี่ฟังแล้วจึงกล่าวอย่างไม่ถือสาเลยว่า “ไม่เป็อะไร เจอกันโดยบังเอิญ ไม่ต้องพิถีพิถันมากนัก” ในขณะที่เขาพูดก็โบกมือให้ลู่เสียงและคนอื่นๆ ไปรออยู่นอกประตู เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้อีกฝ่ายอึดอัดใจยามสนทนากัน
ใบหน้าของชายชราพลันปรากฏรอยยิ้มขึ้นและกล่าวว่า “ยังไม่ได้ถามชื่อแซ่สหายน้อยเลย ส่วนตัวข้ามีนามว่าตู้เสวียนเฉิง”
ตู้เสวียนเฉิง? ลู่อวี่ค้นความทรงจำเมื่อชาติก่อนของเขา แต่ก็จำไม่ได้ จึงกล่าวไปตามตรงว่า “ข้าลู่อวี่ บิดาของข้าคือลู่เหว่ยจุน!”
ลู่อวี่เข้าใจดีว่าแม้ตอนนี้ชายชราผู้นี้จะอยู่ในสภาพตกอับและรอความตาย แต่อดีตก็เคยเป็นักพรตผู้มีพลังจิตแรงกล้า มีความหยิ่งยโสและรักในศักดิ์ศรีของตนเองและไม่ว่าอย่างไรก็คงไม่ทำตัวต่ำต้อยอยู่แล้ว
“อ้อ? ที่แท้ก็เป็นายน้อยของตระกูลลู่นั่นเอง ช่างเป็วีรบุรุษที่ถือกำเนิดขึ้นมาั้แ่เยาว์วัยจริงๆ! แล้วไม่ทราบว่าสภาพเช่นข้า สหายน้อยพอจะมีวิธีรักษาหรือไม่เล่า หรือหาก้าสิ่งใดก็ให้บอกกล่าวข้ามา!” ตู้เสวียนเฉิงประหลาดใจเล็กน้อยแต่ก็รีบเข้าประเด็นอย่างร้อนใจ
ลู่อวี่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ก็พอจะมีวิธีรักษาพิษดูดิญญาอยู่บ้าง แต่ตอนนี้ยืดเยื้อเวลามานานแล้ว หาก้ารักษาให้หายขาด เช่นนั้นแล้วพลังยุทธ์ของท่านคงจะลดขั้นไปมาก ไม่ทราบว่า...”
สีหน้าของตู้เสวียนเฉิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ก็ยิ้มและพูดขึ้นมาทันทีว่า “หากพลังยุทธ์จะลดลงก็ให้มันลดไป เพราะหากตายไปต่อให้พลังยุทธ์จะสูงขั้นเพียงใดก็ไร้ประโยชน์? การมีชีวิตรอดได้ก็ถือว่าเป็พรที่ยิ่งใหญ่แล้ว หาก้ามากไปกว่านี้ ก็นับว่าโลภมากเกินไปแล้ว!” เขาหยุดไปสักพักก่อนจะกล่าวว่า “สหายน้อยบอกมาเถอะ พิษนี้ในตัวข้าต้องรักษาอย่างไร ต่อให้พลังยุทธ์จะสูญสลาย แต่สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกหลายสิบปีก็ไม่เสียดาย!”
ลู่อวี่ส่ายหน้าและกล่าวว่า “มันไม่ได้ร้ายแรงถึงเพียงนั้น หากท่านชะลอพิษนี้มาได้นานนับร้อยปี พลังยุทธ์ก่อนหน้านี้ก็น่าจะอยู่ใน่ปลายขั้นตงซวน หรือไม่ก็อาจจะอยู่ในขั้นเกิดเทพเ้า หากเป็เช่นนั้นจริง หลังจากแก้พิษนี้ได้แล้ว ย่อมหลีกเลี่ยงการลดขั้นพลังยุทธ์ไม่ได้ แต่ด้วยประสบการณ์และการหยั่งรู้ของท่าแล้ว การจะบำเพ็ญเพียรให้พลังยุทธ์กลับมาเป็เหมือนเดิมก็สามารถทำได้โดยเร็วเช่นกัน!”
หืม? ดวงตาของตู้เสวียนเฉิงหรี่ลงเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะใที่ระดับพลังยุทธ์ของตนเองสามารถยื้อเวลาชีวิตมาได้นานถึงเพียงนี้ แต่เพราะฟังน้ำเสียงของนายน้อยตระกูลลู่ผู้นี้ต่างหาก เขาไม่เพียงแต่มีวิธีแก้พิษเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าพิษดูดิญญาในกายของเขา จะมีนายน้อยตระกูลลู่เป็คนลงมือแก้พิษให้เองด้วย เื่นี้นับว่าทำให้สัตว์ประหลาดเฒ่าเช่นเขาที่มีอายุมานับพันปียากจะเชื่อ จึงอดถามลองใจอย่างระแวดระวังไม่ได้ว่า “เื่นี้ แม้ว่าจะเป็เคล็ดวิชาของตระกูลที่สืบทอดกันมาจากบรรพบุรุษของตระกูลลู่ แต่พิษดูดิญญาไม่ได้มีจดบันทึกกันไว้ในตำราทั่วไป ไม่ทราบว่าสหายน้อยไปเรียนรู้มาจากผู้ใดกัน?”
ลู่อวี่แสร้งทำเป็หัวเราะเสียงดังและกล่าวว่า “เื่นี้ข้าไม่ใคร่เปิดเผย แต่ข้าพอจะรู้เกี่ยวกับพิษดูดิญญาอยู่บ้าง พิษนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แม้แต่วิธีการสร้างพิษยังสูญหายไปนานแล้ว ที่ท่านโดนพิษนี้มีความเป็ไปได้เพียงหนึ่งเดียวคือ จะต้องเข้าไปในศูนย์กลางของซากปรักหักพังโบราณ และไปััโดนข้อต้องห้ามเข้า ไม่ทราบว่าเื่นี้ข้าทายถูกหรือไม่เล่า?”
“อ้อ? หรือว่าจะเป็สำนักใหญ่ที่ใดสักแห่งที่สืบทอดวิชากันมายาวนาน แล้วนำพิษนี้ไปวางไว้เป็กับดักในสำนักของตนเอง? ตู้เสวียนเฉิงถามขึ้นอย่างไม่พอใจ
ลู่อวี่ยิ้มพร้อมกับส่ายหน้า และพูดช้าๆ ว่า “พิษอื่นอาจเป็ไปได้ แต่พิษนี้จะทำเช่นนั้นไม่ได้ หากมีคนทำเช่นนั้นขึ้นมาจริงๆ สำนักนั้นอาจถูกทำลายล้าง เื่นี้เห็นทีจะยังไม่ควร”
เมื่อเห็นสายตาที่ยังไม่เชื่อของตู้เสวียนเฉิง ลู่อวี่ก็ลอบอมยิ้ม แต่ไม่นึกโทษชายชราแต่อย่างใด เพราะพิษดูดิญญาเป็วิธีการของตระกูลโบราณที่ใช้เฝ้าระวังและปกป้องพื้นที่ต้องห้าม อาวุธเวทส่วนใหญ่ไม่สามารถทำลายเกราะป้องกันได้ แม้แต่ฤทธิ์ของยาต้านพิษก็อ่อนแอยิ่งนัก มีเฉพาะผู้ที่ปรุงยาพิษนี้ขึ้นมาเท่านั้นที่จะพอมีวิธีเอายาพิษนี้อยู่ได้