ซูหรงหรงหุบยิ้มแทบจะทันที
นั่นน่ะสิเธอจะเอาสมุดบัญชีไปทำอะไรกัน?
เมื่อครู่จ้านอี้หยางบอกอะไรกับเธอนะ
“คุณอาซูหรงหรงกับผมจะไปจดทะเบียนสมรสกัน จำเป็ต้องใช้สมุดบัญชีด้วยครับ"
จ้านอี้หยางปรากฏตัวออกมาอย่างถูกจังหวะเขายืนอยู่ด้านหลังของซูหรงหรงท่าทางราวกับระวังหลังให้เธออยู่เขาก้าวออกมารับสมุดบัญชีของซูหรงหรงจากพ่อของเธออย่างเกรงใจและถ่อมตน
ทั้งใบหน้าและดวงตาของพ่อซูหรงหรงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
ลูกเขยคนนี้ตัวสูงใหญ่พอยืนข้างหลังผู้หญิงตัวเล็กๆ ลักษณะของเขาราวกับกำลังปกป้องดูแลคนตรงนั้นอยู่
ดูแล้ว...เป็คนที่พึ่งพาและไว้ใจได้จริงๆ
แม่ของซูหรงหรงที่ได้ยินข่าวดีรีบเข้ามาสมทบดวงตาของเธอเบิกโพลง
“จะจดทะเบียนเหรอ! จะรออะไรกันล่ะลูกไม่ต้องรอดูฤกษ์ดูยามแล้ว รีบไปกันเถอะ!"
ทั่วทั้งห้องส่งเสียงเอะอะอย่างครึกครื้น ไม่เพียงแต่พ่อแม่ของซูหรงหรงที่ดูมีความสุขแต่ลูกเขยคนนี้เองก็มีความสุขเสียจนแสดงออกนอกหน้า
ยิ่งได้ฟังแม่ของซูหรงหรงยิ่งมีความสุข เธอยิ่งผลักลูกสาวตัวเองออกไปนอกบ้านราวกับว่าถ้าไม่รีบให้ซูหรงหรงออกไปตอนนี้ลูกสาวของเธอจะไม่มีวันได้แต่งออกไปอีกเลย
อีกทั้งจ้านอี้หยางเองก็สนับสนุนอยู่ด้านหลังเขาไม่ลืมที่จะพกบัตรประจำตัวของเขาติดตัวตลอดเวลา
เขาค่อนข้างพอใจกับสถานการณ์ตอนนี้มากอย่างน้อยเอกสารตัวจริงก็อยู่ในมือของเขาตอนนี้สิ่งเดียวที่ต้องทำคือพาตัวซูหรงหรงไปที่อำเภอถ้าถึงที่หมายแล้วแต่ซูหรงหรงยังไม่ยินยอมเขาลงทุนแบกเธอเข้าไปในอำเภอเสียก็สิ้นเื่
ตอนนี้ซูหรงหรงยังไม่ค่อยจะยินยอมเพราะว่า...
เธอพยายามที่ยับยั้งการผลักไสให้ออกไปนอกบ้านของพ่อแม่เธอ
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะคะแม่ พ่อ ฟังที่หนูจะพูดก่อน ฟังก่อนได้มั้ย...”
“ลูกยังจะพูดอะไรอีก? ผู้ชายสุดเพอร์เฟกต์เขามาขอถึงที่ลูกยังจะ้าอะไรอีกล่ะ"
แม่ของซูหรงหรงพูดโดยไม่สนใจเสียงโอดครวญของลูกสาว
“แม่...คุณแม่คะ....”
ซูหรงหรงโบกมือไปมาก่อนจะส่งสายตาอ้อนวอนไปที่จ้านอี้หยางเพื่อร้องขอความช่วยเหลือ
จ้านอี้หยางเม้มปากและก่อนที่แม่ของซูหรงหรงจะลากตัวลูกสาวออกจากบ้านสำเร็จ เขาก็รีบเอ่ย
“คุณน้าผมว่าให้ซูหรงหรงไปเปลี่ยนเสื้อผ้าสักหน่อยดีมั้ยครับ"
“...”
ซูหรงหรงพยักหน้าทั้งน้ำตาพี่ชาย...ในที่สุดนายก็เข้าใจในสิ่งที่ฉัน้าจะสื่อน้องหญิงรอคำนี้มานานมากแล้ว
อันที่จริงเขารู้อยู่แล้วว่าสิ่งที่ซูหรงหรงคิดคืออะไร เขาแค่รอดูท่าทีก่อนจะเอ่ยออกมาเท่านั้น
แม่ของซูหรงหรงเพิ่งจะสังเกตเห็นว่าลูกสาวของตนยังอยู่ในชุดนอนเธอรีบเอามือลูบจัดแต่งทรงผมให้ลูกสาว
“ตายแล้วแม่ให้เวลาลูก 5 นาทีรีบไปเปลี่ยนชุดที่สวยที่สุดออกมาซะ"
“รับทราบ"
ซูหรงหรงพยักหน้าก่อนจะรีบวิ่งเข้าห้องนอนตัวเองไป
เมื่อออกมาจากห้องซูหรงหรงสำรวจตนเองที่เปลี่ยนเสื้อเสร็จแล้วอีกครั้ง
เธอสวมชุดเรียบง่ายเธอสวมเสื้อสีเบจ ด้านนอกเป็เสื้อคลุมสีเขียวลายทหารส่วนท่อนล่างเป็กางเกงยีนส์สีขาว
ช่างน่าประหลาดชุดที่เธอใส่ช่างดูคล้ายคลึงกับเครื่องแบบทหารของจ้านอี้หยาง...ช่างดูสมกันเสียจริง
จ้านอี้หยางที่ยืนคอยอยู่ด้านนอกเมื่อได้เห็นการแต่งกายของซูหรงหรง เขาก็หลุดยิ้มออกมาอย่างพอใจ
แม่ของซูหรงหรงเดินออกมาแล้วลูบหัวลูกสาวตัวเองเบาๆ
“ซูหรงหรงลูกกำลังทำในสิ่งที่ถูกต้องที่สุดแล้ว ลูกได้เจอคนที่เหมาะสมกับลูกแล้วรีบไปเถอะ"
เมื่อพูดจบแม่ของซูหรงหรงก็ผลักตัวลูกสาวออกไปหาจ้านอี้หยาง
“อ๊ะ..."
จบเห่แล้วแน่ๆ ...ซูหรงหรงคำนวณจากแรงผลักและตัวของเธอที่เซถลาเข้าไปหาจ้านอี้หยางตัวจ้านอี้หยางมีแต่มัดกล้าม ถ้าหัวของเธอไปชนเข้า ถ้าไม่พิการ จมูกก็คงจะหัก...จะต้องเจ็บมากแน่ๆ เลย
ทว่าเธอกลับรู้สึกเพียงแรงยึดที่มือ ความเ็ปสักนิดก็ไม่มี
เธอเงยหน้าขึ้นมามองจ้านอี้หยาง...เธอรู้สึกราวกับกำลังหลงอยู่ในมนต์สะกดของเขา
อันที่จริงแล้วจ้านอี้หยางเป็คนที่นับว่าหล่อเหลามากเอาการ ขนคิ้วดำหนาที่เรียงกันอย่างสวยงามสายตาอันแหลมคม จมูกที่โด่งเป็สันและริมฝีปากบางราวกับถูกแกะสลักออกมาทุกอย่างดูสมส่วนเข้ากันจนไร้ที่ติ
ทว่าภายใต้หน้าตาอันหล่อเหลานั้นก็แฝงไปด้วยท่าทีอันสุขุมและเรียบเฉย จนบางครั้งก็ทำให้คนอื่นใกลัว
ซูหรงหรงเองก็เป็หนึ่งคนที่หวั่นเกรงเธอรีบเด้งตัวออกจากอ้อมแขนของเขา
“ฉัน...ฉันไม่ได้...”
“ไม่ต้องอธิบายหรอก"
จ้านอี้หยางสำรวจเสื้อคลุมของซูหรงหรง
“ฉันรู้ว่าเธอตั้งใจ"
“…”
ฉันไม่ได้ตั้งใจชนนายจริงๆ นะให้ตายสิ
“ไปเถอะ"
จ้านอี้หยางถือวิสาสะจับมือเ้ากระต่ายน้อยแล้วพาเธอเดินไปที่ลิฟต์
ขาของเธอก้าวได้สั้นกว่าขาออกจ้านอี้หยางมากการที่จะเดินไปพร้อมๆกับเขาได้นั้นช่างเป็เื่ที่ลำบากยิ่งนัก
เธอที่ไม่มีเวลาแม้แต่จะมาคิดเื่พวกนี้ถูกลากเข้าไปในลิฟต์ทันทีที่ประตูเปิดออก
“จ้านอี้หยางนี่พวกเราจะไปแต่งงานกันจริงๆเหรอ"
“หืม? นี่เป็สิ่งที่เธอ้าไม่ใช่เหรอ?"
“ใคร้ากันแน่!"
เธอค้อนใส่เขาสายตาเธอจับจ้องไปทางเขาอย่างเอาเื่
“เธอเป็คนพูดเองว่าเธอพอใจในตัวฉันมากจนไม่รู้จะมากยังไงแล้วคำว่าพอใจของเธอไม่ได้หมายความว่าอยากแต่งงานกับฉันเหรอ?"
“...”
เอ่อ...พอมาคิดดูดีๆแล้ว ประโยคนี้ถ้าจะให้คิดแบบนั้น
มันก็คง...ถูกมั้ง?