ต้วนชิงิลงจากรถม้าที่เพิ่งมาจอดอยู่หน้าตำหนักติ้งกั๋วกงเมื่อมองจากระยะไกลพลันเกิดความรู้สึกแปลกประหลาดที่บรรยายออกมาไม่ถูก
ประตูบานใหญ่ของตำหนักติ้งกั๋วกงเปิดออกกว้างด้านข้างเห็นประตูบานเล็กสิ่งที่คาดไม่ถึงคือด้านในมีทหารรักษาพระองค์และองครักษ์จำนวนมากที่คอยสกัดไม่ให้รถม้าเข้าไปด้านในคุณหนูแต่ละท่านที่เดินเข้าไปจะต้องได้รับการตรวจและลงชื่อราวกับว่าเป็การตรวจสอบอะไรบางอย่างก่อนถึงสามารถผ่านเข้าไปยังด้านในตำหนักได้
นางพบว่าสิ่งที่น่าแปลกคือมีคุณหนูบางท่านมีคนนำทางเข้าไปทางประตูใหญ่และมีคุณหนูอีกไม่น้อยที่เดินเข้าประตูเล็กด้วยสายตาที่เศร้าหมอง
ต้วนชิงิมองขึ้นไปเห็นป้ายชื่อที่เขียนว่าตำหนักติ้งกั๋วกงที่สวยสดงดงามแขวนไว้อย่างเห็นได้ชัดพลันขมวดคิ้วดูเหมือนเป็งานเลี้ยงมากกว่าเชิญมาชมดอกไม้ทว่าดูท่าแล้วเหมือนตั้งใจจะจัดงานเลี้ยงที่แฝงอะไรบางอย่าง การมาที่นี่เหมือนเป็การทรมานตัวเองชัดๆ!
ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่มีองครักษ์นายหนึ่งเดินมาที่หน้ารถม้าต้วนชิงิน้ำเสียงเหมือนยินดีแต่แฝงไปด้วยความโอหัง “เรียนถามเป็คุณหนูมาจากจวนไหน? รบกวนช่วยลงชื่อด้วย!”
คนขับรถม้าในวันนี้คือลุงเฉิงที่ซื่อสัตย์ที่สุดในจวนต้วนเมื่อเขาเห็นองครักษ์มาด้วยท่าทางโอหังจึงพูดด้วยความโกรธ “ท่านนี้คือคุณหนูใหญ่แห่งจวนแม่ทัพใหญ่เวยอู่ขอถามหน่อยว่าเ้านายของเ้าเป็ใคร?”
จวนแม่ทัพใหญ่เวยอู่ถึงแม้จะไม่ใช่ตระกูลผู้ดีแต่แม่ทัพต้วนเจิ้งมีความดีความชอบในการศึกา ดังนั้นถ้าพูดถึงจวนแม่ทัพใหญ่เวยอู่ในเมืองหลวงจึงไม่มีผู้ใดไม่รู้จัก
แต่องครักษ์กลับไม่ไว้หน้าแม้แต่น้อยยืนเท้าเอวสองข้าง เดินเข้ามาที่รถม้าและมองไปยังลุงเฉิงในสายตาแสดงความเหยียดหยามพลางเสียดสี “เหอะๆจวนแม่ทัพใหญ่เวยอู่สรุปแล้วมีคุณหนูเท่าไร?” เ้าต้องรู้ว่าพี่น้องข้าพึ่งรับคุณหนูไปแล้วท่านหนึ่ง
คิดออกแล้วว่าเป็คุณหนูรองที่ท่าทางพิลึกน่าขำคนนั้นองครักษ์ผู้นี้จึงหลุดหัวเราะออกมา “ได้ยินมาว่าคุณหนูใหญ่แห่งจวนต้วนหน้าตาอัปลักษณ์ไม่รู้ว่าเ้าหมายถึงคุณหนูที่เข้าไปด้านในแล้วหรือว่าที่อยู่บนรถม้า”
ลุงเฉิงได้ฟังก็โมโหจนลมออกหูพูดอย่างดุดัน “เ้าเป็องครักษ์ฝ่ายไหนกล้าดียังไงมาวิจารณ์คุณหนูของข้า?”
“เหอะๆ ข้าเป็องครักษ์ฝ่ายไหนเ้าไม่ต้องรู้แต่ถ้าคุณหนูที่มาไม่ลงชื่อที่ประตูนี้ก็อย่าหวังว่าจะได้เข้าไป” องครักษ์เอ่ยกลั้วหัวเราะ
เฉิงซูเดิมทีเป็แค่บ่าวรับใช้มีหน้าที่รับผิดชอบแค่มาส่งคุณหนูวันนี้เขาโกรธจัดจึงช่วยแก้ต่างให้ต้วนชิงิเพียงแต่คาดไม่ถึงว่าจะถูกองครักษ์ที่ฉลาดเป็กรดทำให้พูดอะไรไม่ออก
ทว่าจู่ๆในรถม้าก็มีเสียงที่ดังฟังชัดแต่ฟังดูเชือดเฉือนออกมา “ลุงเฉิง อย่าไปถือสาเลย วันนี้เสิ่นกุ้ยเฟยและติ้งกั๋วกงจัดงานเลี้ยงเขากลับพูดอย่างโอหังทำให้แขกลำบากใจถ้าจะเสียหน้าก็คงเป็หน้าของเสิ่นกุ้ยเฟยและติ้งกั๋วกงวันข้างหน้าถ้าเสิ่นกุ้ยเฟยและติ้งกั๋วกงถามเื่นี้ขึ้น ข้าจะอธิบายให้ชัดเจนหันรถม้ากลับจวนเถอะ”
เสียงของต้วนชิงินิ่งทั้งยังเยือกเย็นทำให้รู้สึกถึงพลังอำนาจบางอย่างคำพูดแต่ละคำที่ค่อยๆพูดออกมาทำให้ลุงเฉิงที่พูดไม่ออกเมื่อครู่กลับยืดอกขึ้นมาได้ เขาจึงรีบตอบรับ “ขอรับ คุณหนูใหญ่”
เมื่อพูดเสร็จก็ใช้แส้บังคับให้ม้ากลับตัวระหว่างนั้นเขาไม่ลืมที่จะมองไปยังองครักษ์พลางยิ้มเยาะเย้ย พูดอย่างสาแก่ใจ “เฮ้อ องครักษ์น้อย คุณหนูใหญ่ของข้าบอกแล้วว่าประตูบานนี้นางไม่เข้าเ้ารอให้เสิ่นกุ้ยเฟยและติ้งกั๋วกงมาจัดการเ้าเถอะ”
พูดเสร็จรถม้าก็เคลื่อนตัวออกไป
องครักษ์หนุ่มคาดไม่ถึงว่าเพียงนางพูดไม่กี่คำกลับทำให้เขาอึ้งจนพูดไม่ออกได้แต่ยืนมองผ้าม่านในรถม้าพลิ้วจากไป
วันนี้เขาเฝ้าประตูั้แ่เช้าคุณหนูตระกูลผู้ดีแต่ละคนหากไม่แสดงท่าทางก็เบ่งอำนาจแต่คุณหนูผู้นี้กลับไม่เอะอะโวยวาย แค่พูดออกมาไม่กี่ประโยคกลับสยบเขาได้นับว่าเพิ่งมีเป็คนแรก
เมื่อเห็นรถม้ากำลังวิ่งจากไปองครักษ์ผู้นั้นจึงรีบร้อนพูดขึ้น “อย่าเพิ่งไป”คำพูดต่อจากนี้กลับไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อไปอีก
เห็นแต่เงาคนผ่านไปอย่างรวดเร็วได้ยินคำพูดผ่านมาข้างหูของต้วนชิงิเบาๆ “ในรถม้าใช่คุณหนูใหญ่จวนต้วนหรือไม่?”
องครักษ์เดิมทีกำลังปาดเหงื่อไม่รู้จะทำอย่างไรเมื่อเห็นชายคนหนึ่งปรากฏตัวก็พลันโล่งใจถอยหลังไปหลายก้าว ยกมือซ้ายประกบกำปั้นมือขวาแสดงความเคารพจากนั้นก็ถอยออกไป
เห็นได้ชัดว่าองครักษ์นั้นถูกส่งมาให้คุณหนูทั้งหลายลำบากใจชายคนนี้กลับเป็คนที่เฝ้าประตูนี้
ต้วนชิงิเข้าใจชัดเจนว่าองครักษ์ที่มาทำให้แขกของติ้งกั๋วกงลำบากใจผู้ที่ที่อยู่เื้ัจะต้องเป็เสิ่นกุ้ยเฟยแน่แท้แต่ไม่เข้าใจว่านางจะทำเช่นนั้นไปทำไม?
ต้วนชิงิรู้ว่าเื่ที่รถม้าของนางมาถึงคงไปถึงหูของเสิ่นกุ้ยเฟยแล้วถ้าเกิดยังดึงดันจัดการกับองครักษ์อยู่อีกย่อมไม่ใช่นิสัยของนางเช่นนั้นก็เข้าตำหนักไหลตามน้ำไป จึงบอกลุงเฉิงให้หยุดรถม้า “ใช่ คุณหนูใหญ่คือข้าเอง”
ชายผู้นั้นจึงพูดว่า “คุณหนูใหญ่จวนต้วน ช้าก่อน”
ต้วนชิงิยิ้มบาง “เมื่อครู่มีคนไล่ข้า ตอนนี้กลับมีคนมารั้งข้าเช่นนั้นช่วยบอกเหตุผลที่ข้าควรอยู่หน่อยเถอะ?”
สายตาชายคนนั้นกะพริบไม่กี่ครั้งก็กลับมาเป็ปกติได้ยินเขาพูดเสียงเบา “วันนี้เสิ่นกุ้ยเฟยจัดงานเลี้ยงที่ตำหนักติ้งกั๋วกงบรรดาคุณหนูที่มาร่วมงานต่างเป็คุณหนูที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวงเสิ่นกุ้ยเฟยจัดงานเพื่อทุกท่าน จึงได้ตั้งปัญหาไว้สามข้อถ้าผ่านประตูด้วยไหวพริบถือว่าเป็ จงเซิ่ง[1] แต่ถ้าต้องให้ข้าน้อยออกมาถือว่าเป็ซ่างเซิ่ง[2] ยินดีกับคุณหนูด้วยที่สามารถเข้าประตูนี้ได้”
ต้วนชิงิหัวเราะเบาๆ “ต้องขอบคุณที่ท่านให้เกียรติ เช่นนั้นข้าก็จะเข้าไปด้านใน”
เมื่อพูดจบต้วนชิงิให้ลุงเฉิงจอดรถเอาเก้าอี้วางไว้ จากนั้นค่อยๆ เตรียมตัวลงจากรถม้า
เซี่ยเฉ่าเอ๋อร์มองไปยังบุรุษที่อยู่นอกรถม้าพูดเสียงเบา “คุณหนูบ่าวว่าในตำหนักนี้ต้องมีอะไรสักอย่าง พวกเราจะเข้าไปจริงๆ หรือเ้าคะ?”
ต้วนชิงิยื่นมือออกไปตีบ่าวใช้ที่ติดตามมาด้วยเบาๆที่หลังมือของนาง เพื่อแสดงให้รู้ว่ายังไม่ต้องพูดระหว่างที่เดินลงจากรถม้าเซี่ยเฉ่าเอ๋อร์ก็ได้พยุงนางไว้
ด้านหน้าของต้วนชิงิเป็ชายหนุ่มอายุราวยี่สิบรูปร่างหน้าตาหล่อเหลา ยิ่งไปกว่านั้นเขามีลักษณะที่เ็าทว่าแฝงไปด้วยความเหี้ยมโหดอยู่ ช่างดึงดูดสายตาของผู้คนเป็อย่างมาก
เมื่อเห็นต้วนชิงิลงรถม้าชายผู้นั้นจึงยิ้มนิดๆ พลางผายมือ “เชิญขอครับ”
ต้วนชิงิเห็นชายคนนี้ในใจกลับยิ้มหยันออกมา ดูเหมือนจะมีคนหาวิธีการใช้คนหน้าตาดีมารับแขกถ้าใครมองตาค้างคงโดนจับตามองและหัวเราะเยาะเป็แน่
ชายผู้นั้นมองมายังต้วนชิงิยิ้มอย่างมีมารยาท “คุณหนูใหญ่ต้วนเชิญทางนี้ขอครับ”
เด็กสาวแย้มยิ้มบางก้มหัวเล็กน้อย “รบกวนด้วย”
เมื่อมองไปยังใบหน้าต้วนชิงิที่ไม่แสดงอาการใดๆคังซู่ก็แปลกใจเล็กน้อยในฐานะรองหัวหน้าองครักษ์ตำหนักใหญ่ที่ถูกสั่งให้มารักษาประตูที่นี่เดิมที่อึดอัดด้วยเพราะรูปร่างหน้าตาของตนที่หญิงใดเห็นจะต้องมองจนค้างแม้กระทั่งคุณหนูรองเสียงดังแห่งจวนแม่ทัพใหญ่เวยอู่ผู้นั้นยังมองเขาเหมือนตาจะหลุดออกมาจากเบ้า
ทว่ามีเพียงคุณหนูใหญ่ท่านนี้ที่เห็นเขาแล้วกลับทำเป็มองไม่เห็นแววตาสดใสมองไปทางอื่นเหมือนกับว่าเสน่ห์ของเขาไม่สามารถทำให้นางลุ่มหลงได้เหตุการณ์เช่นนี้นับว่าเกิดขึ้นเป็ครั้งแรกคังซู่เคยได้ยินเื่อื้อฉาวของคุณหนูใหญ่มาบ้างแต่ครั้งนี้ทำให้เขาต้องเปลี่ยนมุมมองใหม่เสียแล้ว
…...
[1]จงเซิ่ง หมายถึง ชนะระดับขั้นต้น
[2]ซ่างเซิ่ง หมายถึง ชนะระดับขั้นกว่า