การกระทำของต้วนชิงิทำให้ทุกคนต่างหันมามองส่วนสายตานางก็ไม่ว่อกแว่ก เดินต่อไปที่ประตูใหญ่ บนร่างกายของนางราวกับมีแสงเจิดจรัสพุ่งออกมารอบกายทำเอาหลายคนไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมอง
เมื่อครู่ตอนที่เดินขึ้นบันไดประตูใหญ่เซี่ยเฉ่าเอ๋อร์ประคองต้วนชิงิอยู่ตลอดแม้องครักษ์จะปฏิบัติดีกับพวกนางแต่ก็ยังมีความสงสัยจึงห้ามไว้ “ขออภัยคุณหนูใหญ่ต้วน บ่าวรับใช้ของท่านไม่สามารถติดตามไปได้”
อะไรกัน! นางไม่สามารถติดตามคุณหนูเข้าไปได้อย่างนั้นหรือ? ถ้าเกิดคุณหนูโดนคนข้างในกลั่นแกล้งจะทำยังไง?อีกทั้งคุณหนูฐานะสูงศักดิ์ ไม่มีคนคอยปรนนิบัติเห็นว่าไม่เหมาะไม่ควร!
เซี่ยเฉ่าเอ๋อร์เมื่อถูกปฏิเสธจึงโมโหกระทืบเท้าไปทีทำท่าจะพูดต่อ ทว่าต้วนชิงิส่งสายตาให้นางถอยกลับไปเซี่ยเฉ่าเอ๋อร์จ้องมองคังซู่ตาขวางจากนั้นจึงเดินกลับไปหาลุงเฉิงที่รอด้านนอกประตูใหญ่ เชอะ! งานเลี้ยงอะไรกันสร้างความลำบากใจไม่พอ ยังไม่อนุญาตให้บ่าวรับใช้ติดตามดูท่าแล้ววันนี้นางคงไม่สามารถติดตามคุณหนูได้แล้ว หวังว่าคุณหนูของนางจะไม่โดนใครกลั่นแกล้ง
ต้วนชิงิพูดเบาๆเมื่อเห็นสายตาที่เป็ห่วงของเซี่ยเฉ่าเอ๋อร์ “พอแล้วเซี่ยเฉ่าเอ๋อร์เ้าไปรอกับลุงเฉิงเถอะ วางใจได้ ข้าไม่มีทางเป็อะไรไป! เ้าดูสิบ่าวรับใช้ของคนอื่นก็ไม่ได้ติดตามเหมือนกันไม่ใช่หรือ? ”
เมื่อเซี่ยเฉ่าเอ๋อร์ได้ยินเช่นนั้นก็ทำความเคารพต้วนชิงิจากนั้นก็หันหลังเดินจากไป
คังซู่มานำทางให้ต้วนชิงิเดินเข้าประตูใหญ่ด้วยตนเองเมื่อเซี่ยเฉ่าเอ๋อร์หันหลังกลับต้วนชิงิเห็นว่าชื่อที่นางลงไว้ด้านล่างมีรูปดอกเหมยซึ่งมีไม่กี่คนที่มีในใจของนางกลับรู้สึกแปลกๆ แต่ก็ไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมาเดินตามคังซู่ข้ามประตูใหญ่ไป!
คังซู่คนนี้ช่างมีมารยาทไม่น้อยเมื่อเห็นต้วนชิงิจะก้าวข้ามประตูเข้าไปเขายกมือคารวะ “คุณหนูใหญ่ต้วนข้าน้อยมาส่งท่านได้ถึงตรงนี้ ขอตัวขอรับ ” พูดจบก็เดินหันหลังกลับไป
ต้วนชิงิยืนอยู่ด้านข้างพูดออกมาเรียบๆ “ขอบใจมาก”
จากนั้นหันตัวกลับมาก็พบแม่นมหน้าตาดีใจคนหนึ่งมายืนต้อนรับนำทางนางเข้าไปเมื่อหยุดฝีเท้าลงแล้ว มีเกี้ยวน้อยลวดลายวิจิตรงดงามมารอรับเบื้องหน้าแม่นมผู้นั้นได้เข้ามาประคองต้วนชิงิให้ขึ้นบนเกี้ยวเดินทางไปด้านหลัง
ตำหนักติ้งกั๋วกงโอ่โถงและกว้างใหญ่มากระหว่างทางต้วนชิงิเห็นคนจำนวนมากเดินผ่านไปมาอย่างเป็ระเบียบเรียบร้อยไม่มีความวุ่นวายให้เห็น ประตูอู่จิ้นเหมินน่าเกรงขามทำให้คนเคารพยำเกรง
ไม่รู้ว่าเดินไปไกลเท่าไรเกี้ยวจึงหยุดลงมีคนมาประคองต้วนชิงิลงจากเกี้ยว นางจึงรู้ว่าตอนนี้น่าจะอยู่ใกล้กับประตูฉุยฮวาที่มีคนผ่านไปผ่านมาเต็มไปหมดต้วนชิงิมองไปยังสวนที่มีบุปผาผลิบานเรียงรายมีหญิงสาวมากมายทั้งยืนทั้งนั่งดูแล้วสวยสดงดงาม
‘คุณหนูใหญ่จวนต้วนมาถึงแล้ว’ ที่หน้าประตูมีคนคอยขานทันทีเมื่อต้วนชิงิเพิ่งมาถึงทำให้คนในนั้นเกือบทุกคนต่างหันมามองทุกคนอยากจะเห็นว่าคุณหนูใหญ่จวนต้วนที่หน้าตาอัปลักษณ์ ไร้ความสามารถและไม่เคยย่างกรายออกจวนนั้นแท้จริงแล้วหน้าตาเป็ยังไง?
สายลมพัดผ่านมาทำให้บุปผาพลิ้วไหวลมเบาๆ พัดมาที่หน้าประตูฉุยฮวาที่มีหญิงสาวหน้าตาสะสวย อายุราวๆ แปดเก้าปีคนหนึ่งยืนอยู่
เดิมทีบนหัวนางใส่หมวกคลุมหน้าทว่าเมื่อโดนลมพัดชุดสีขาวนั้นก็ทำให้หมวกคลุมหน้าเปิดขึ้นมาเห็นถึงคางที่เรียวขาวคิ้วโก่งสวยดำขลับเหมือนออกมาจากภาพวาดยิ่งไปกว่านั้นยังเห็นถึงแววตาที่วาววับสดใสคู่นั้นได้รางๆ
พูดได้ว่าเมื่อต้วนชิงิเดินเข้ามาร่างที่ขาวเป็ยองใยและท่าทางที่สงบเสงี่ยม ทำให้สายตาผู้คนในนั้นลุกวาวขึ้นมา
บนตัวของนางสวมฉางจิ่นอีสีขาว้าปักดอกเหมยสีอ่อนกระจัดกระจายจาก่เอวลงไปถึงชายกระโปรงด้านล่างเข้ากับชุดเอวรัดด้วยผ้าพอดีตัวผูกกับหยกเขียวมรกต พร้อมชุดคลุมผ้าบางสีม่วงอ่อนเวลาเดินทำให้ผ้าคลุมเลื่อมสะท้อนแสงสง่างามที่มือใส่กำไลสีขาวน้ำนมสะท้อนแสงเมื่อกระทบแสงตะวัน
ผมของต้วนชิงิยาวสลวยคล้ายกับฮูหยินติงโหรวซึ่งต่างจากคุณหนูตระกูลอื่นที่เต็มไปด้วยปิ่นมุกและปิ่นหยกเครื่องประดับผมของนางใช้ริบบิ้นไหมสีม่วงขาวร้อยสลับไปมาสวยงามกลิ่นของน้ำยาสระผมได้ส่งกลิ่นหอมไปตามลมที่พัดโชยมา
ต้วนชิงิในชาติที่แล้วไม่เคยออกไปข้างนอกหรือร่วมงานเลี้ยงใดมาก่อนบางครั้งเพราะนางดูถูกตัวเองจึงไม่อยากไปไหนแต่หลายต่อหลายครั้งก็เพราะหลิวหรงไม่คิดจะพานางไปด้วยหลิวหรงไม่ปรารถนาให้ทุกคนรู้ถึงการมีอยู่ของบุตรสาวคนโตแต่กลับเชิดหน้าชูตาต้วนอวี้หราน
ชาติที่แล้วต้วนชิงิเคยชินกับความเงียบสงบจึงไม่รู้สึกว่าการไม่ได้ออกจากจวนเป็อะไรที่ไม่ดีแต่เมื่อกลับมาเกิดใหม่ในชาตินี้ นางจึงเข้าใจว่าหากไม่ออกจากจวนบ้างกว่าทุกคนจะรู้ว่านางมีตัวตนก็คงมีเพียงวันที่แต่งงานออกเรือนในเท่านั้น
ไม่...นี่ไม่ใช่สิ่งที่นาง้า! สิ่งที่นาง้าคือใช้ชีวิตให้ดีเพื่อคิดบัญชีเก่ากับหลิวหรงและต้วนอวี้หราน ดังนั้นครั้งนี้เมื่อได้รับเทียบเชิญจึงไม่คิดจะปฏิเสธ
ต้วนชิงิคนนี้กลับมาเกิดใหม่แล้ว...ควรจะให้ทุกคนรู้จักข้าเสียที
เหล่าคุณหนูหันหลังกลับมาดูต้วนชิงิอย่างไม่คุ้นหน้ามีเพียงเสียงหนึ่งพูดขึ้นมาเบาๆ “โอ้โห เป็คุณหนูจวนไหนช่างงามเหลือเกิน ...”
“ตกตะลึงขนาดนั้นเชียวหรือ? ได้ยินมาว่านางเฉลียวฉลาดทั้งยังสามารถบรรเลงเพลงกว่างหลิงส่าน[1]ที่หายสาบสูญได้อีกด้วยและยังประดับธนูชวนเย่ว์กงไว้บนศีรษะ...”
คุณหนูคนนั้นมองมาที่ต้วนชิงิอย่างเป็มิตรพร้อมยกมือขึ้นมาปิดปากหัวเราะ และพยักหน้ามองไปด้วย
“ซือหลัว เ้าว่าใช่หรือไม่”
คุณหนูคนนั้นใส่เสื้อแขนสั้นลายกุหลาบสีแดงกระโปรงหร่วนเยียนหลัวสีเขียวอ่อน หน้าตาฉลาดเฉลียว เมื่อพูดไปก็ยิ้มไปเรียกได้ว่ามีเสน่ห์งดงามน่าดึงดูด
ได้ยินเสียงคุณหนูคนนั้นที่เรียกคนข้างๆว่า‘ซือหลัว’ ซึ่งกำลังมองมายังต้วนชิงิพลางยกมือปิดปากยิ้ม“โห หนิงหรานจะให้ข้าพูดก็พูดเถอะเ้าชมคุณหนูใหญ่ต้วนมากเกินไปแล้ว ใครจะไปรู้ได้เล่าว่านางจะรับคำชมนั้นไหม?ในเมื่อเ้าชมเสียขนาดนี้ ทำไมไม่ลองเข้าไปพูดคุยกับนางดูล่ะ?”
คุณหนูที่ถูกเรียกว่า ‘หนิงหราน’ มองมายังต้วนชิงิยิ้มอย่างเป็มิตรทั้งยังพูดเป็นัยว่า “คุณหนูใหญ่ต้วนสง่างามเสียขนาดนี้ใครจะไม่ชอบล่ะ? ข้าหมายความเช่นนี้จริงไม่ได้คิดเป็อื่น!”
เมื่อพูดจบคุณหนูคนนั้นก็เดินเข้ามาจับที่แขนเสื้อของต้วนชิงิ ยิ้มอย่างดีใจ “ข้าชื่อเชวียหนิงหราน ปีนี้อายุสิบสองแล้วไม่ทราบว่าจะให้เรียกเ้าว่าอย่างไร”
คุณหนูท่านนั้นแม้อายุจะน้อยแต่แววตากลับมีชีวิตชีวา แก้มอวบอิ่ม ผมยาวดำขลับเกล้าผมเป็สองวง้าประดับด้วยไข่มุกแม้เพียงไม่กี่เม็ดยังดูสะสวยเวลาต้องแสงชุดที่ใส่เมื่อสะท้อนท้องฟ้าเมฆขาวและใบไม้เขียวทำให้ดูเหมาะสมช่วยขับให้รูปร่างอรชรโดดเด่นออกมายิ่งขึ้น
คุณหนูท่านนี้ให้ความรู้สึกผ่อนคลายและสนิทสนมั้แ่แรกเห็นทำให้นางมีความรู้สึกเช่นเดียวกัน จึงรีบโค้งตัวย่อไปด้านหน้าคุณหนูทั้งสองคนพูดอย่างสุภาพว่า “เรียนคุณหนูเชวียข้าชื่อต้วนชิงิ ใกล้จะครบสิบปีแล้ว”
ต้วนชิงิตั้งใจพูดให้ดูดีไม่ได้อยากให้ดูขบขัน แต่นางรู้สึกว่าถ้าคุณหนูเหมาะที่จะเป็สหายจะให้นางดูเป็ตัวตลกบ้างก็ไม่เป็ไร
เชวียหนิงหรานหน้ากลมเหมือนดวงจันทร์นางยิ้มเล็กน้อยพลางจับมือต้วนอวี้หราน “ไม่ต้องสนใจว่าใครโตกว่าหรือเด็กกว่าหรอกข้าโตกว่าเ้าสองปี เช่นนั้นเรียกข้าว่าพี่สาวแล้วกัน”
…...
[1]กว่างหลิงส่าน เป็บทเพลงโบราณที่มีชื่อเสียงหนึ่งในสิบที่บรรเลงด้วยพิณ