ซูมู่เจ๋อไม่ได้เจอคู่ปรับที่แข็งแกร่งเพียงนี้มานานแล้ว หลายวันมานี้จึงเอาแต่เฝ้ารอให้เยว่เฟิงมาปรากฏตัว มาเล่นกับเขา
อย่างไรเสีย ครั้งก่อนเขาก็เพิ่งแพ้ไปแค่ตาเดียว สำหรับซูมู่เจ๋อแล้วยังคงมองว่าที่เยว่เฟิงชนะได้นั้นเป็เพราะอาศัยโชคเป็ส่วนใหญ่
ครั้งนั้นเยว่เฟิงเกอพนันกับเขาในนามเยว่เฟิง รอจนนางชนะแล้วออกไปจากโรงพนัน ทุกผู้คนที่อยู่ในโรงพนันแห่งนี้ต่างก็พากันส่งเสียงวิจารณ์ดังระงม
ทุกคนต่างพูดถึงเื่นี้กัน และคำที่พวกเขาเอ่ยถึงมากที่สุดก็คือคำว่าเยว่เฟิง
ตอนนั้นหลังจากที่ซูมู่เจ๋อแพ้แล้วก็รีบกลับเข้าไปในห้องของตนเอง ไม่ยอมออกมาอีก
แน่นอนว่าเขารู้สึกขายหน้ามากชนิดที่ไม่มีหน้าไปพบผู้ใดได้อีกทั้งนั้น
ด้วยเหตุนี้ ซูมู่เจ๋อถึงได้รอให้เยว่เฟิงมาพนันกับเขาอีกสักตาด้วยหวังจะกอบกู้ชื่อเสียงของตนกลับมา มิเช่นนั้นสมญานามพี่ใหญ่แห่งโลกพนันของเขาคงจะถูกแทนที่ด้วยชื่อของเยว่เฟิงอย่างแน่นอน
แม้เขาจะไม่อาจยอมรับเื่นี้ได้ แต่วันนี้นอกจากเยว่เฟิงจะมาหาเองถึงที่อีกครั้ง คนยังบอกว่าจะพนันกับเขาอีกด้วย แน่นอนว่าเขาย่อมยินดี
ซูมู่เจ๋อตื่นเต้นยินดีมาก วันนี้เขาจะต้องกู้ชื่อเสียงจากการที่เคยแพ้พ่ายไปรอบก่อนกลับมาให้จงได้
และเพื่อไม่ให้เยว่เฟิงมองออกว่าเขากำลังตื่นเต้นอยู่ ซูมู่เจ๋อกระแอมเสียงเบา แสร้งแสดงท่าทีราวกับไม่สนใจ แต่ก็ไม่คัดค้าน จะอย่างไรก็ได้ “จะพนันกันก็ได้ แต่ข้าไม่อยากเล่นแค่ตาเดียว ครั้งก่อนที่เ้าเอาชนะข้าได้ นั่นอาจเป็เพราะโชคช่วย”
เยว่เฟิงเกอเห็นว่าซูมู่เจ๋อไม่อยากยอมรับว่าความสามารถของตนสู้นางไม่ได้ นางทำเพียงยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ “ได้ จะพนันกันกี่ตาก็ได้ เอาตามเ้าว่าก็แล้วกัน เพียงแต่ ข้ามีหนึ่งข้อแม้ที่เ้าต้องตกลงก่อน”
“ข้อแม้อันใด? ” ซูมู่เจ๋อคิดไม่ถึงว่าเยว่เฟิงเกอจะมีข้อแม้กับเขาด้วย
ยามนี้ร่างของเขาแผ่กลิ่นอายชั่วร้ายเข้มข้นออกมาอีกครั้ง
เยว่เฟิงเกอกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “หากข้าชนะเ้าได้ เ้าต้องกราบข้าเป็อาจารย์ และคุกเข่าตรงหน้าข้า พูดสามครั้งต่อหน้าทุกคนว่า เยว่เฟิงเกอเป็พี่ใหญ่แห่งโลกพนัน”
ซูมู่เจ๋อตากระตุก มิคาดสตรีตรงหน้าจะกล้ากล่าววาจาโอหังเช่นนี้ออกมา
นางไม่กลัวบ้างหรือว่ายามนี้กล้าพูดจาโอหัง แต่พอถึงเวลานั้นเข้าจริงๆ จะเป็การตบหน้าตัวเองอย่างเจ็บแสบ
ให้เขาที่เป็พี่ใหญ่แห่งโลกพนันในเป่ยชวนนี้กราบกรานสตรีนางหนึ่งเป็อาจารย์ มิหนำซ้ำยังต้องพูดสามครั้งต่อหน้าทุกผู้คน ณ ที่นี้ว่าเยว่เฟิงเกอเป็พี่ใหญ่แห่งโลกพนัน?
จะให้เขาเอาหน้าไปไว้ที่ไหน หากต้องพูดเช่นนี้ วันหน้าเขาคงไม่มีที่ยืนในโลกพนันอีกแล้ว
อีกอย่าง คนที่ชื่อเยว่เฟิงเกออะไรนั่นเป็ใคร ทำไมเขาต้องพูดว่านางเป็พี่ใหญ่แห่งโลกพนันด้วย?
สตรีนางนี้ไม่ได้มีนามว่าเยว่เฟิงหรือ นางเกี่ยวข้องอะไรกับเยว่เฟิงเกอ?
เยว่เฟิงเกอสังเกตเห็นว่าซูมู่เจ๋อกำลังใช้สายตาแปลกประหลาดมองมายังนาง จึงรีบอธิบายว่า “ข้าลืมบอกเ้าไป ที่จริงแล้วข้าไม่ได้มีนามว่าเยว่เฟิง ชื่อจริงของข้าคือเยว่เฟิงเกอ เยว่เฟิงเป็เพียงชื่อปลอมของข้าเท่านั้น”
ซูมู่เจ๋อยังคงไม่เอ่ยวาจา เยว่เฟิงเกอจึงกล่าวต่อไปว่า “เ้าอยู่ในวงการพนันมานานหลายปี ไม่รู้หรือว่า คนในยุทธภพล้วนมีนามแฝงกันทั้งสิ้น”
เพราะเยว่เฟิงเกอพูดถึงเพียงนี้แล้ว ซูมู่เจ๋อก็พูดอะไรไม่ได้อีก
เพียงแต่ชื่อเยว่เฟิงเกอนี้ช่างคุ้นหูนัก เหมือนจะเคยได้ยินมาจากที่ไหน แต่ตอนนี้ยังคิดไม่ออก
“แล้วหากว่าเ้าแพ้เล่า? ” ซูมู่เจ๋อหรี่ดวงตาหงส์ของเขามองเยว่เฟิงเกอ
เยว่เฟิงเกอดีดนิ้วชี้ขึ้นมาหนึ่งนิ้ว ส่ายนิ้วไปมา “เ้าวางใจ ข้าเยว่เฟิงเกอไม่มีทางแพ้”
ซูมู่เจ๋อหัวเราะพรืด “พูดจาโอหังเร็วเกินไปเช่นนี้ ระวังเถิด ถึงตอนนั้นจะเป็การตบหน้าตัวเองฉาดใหญ่”
เยว่เฟิงเกอหัวเราะเบาๆ ไม่พูดอะไรอีก นางเดินก้าวยาวๆ เข้าไปในโรงพนันว่านจิน เสียงเอะอะลอดผ่านรูหูเข้ามาไม่หยุดหย่อน
ซูมู่เจ๋อเห็นว่าเยว่เฟิงเกอไม่ยอมพูดถึงเงื่อนไขในกรณีที่นางพ่ายแพ้บ้าง ตอนที่นางก้าวเท้าเข้าไปในโรงพนันแล้ว เขาจึงะโไล่หลังนางว่า “หากว่าเ้าแพ้แล้ว เ้าต้องคุกเข่าลงตรงหน้าข้าแล้วะโว่า ซูมู่เจ๋อต่างหากที่เป็พี่ใหญ่แห่งโลกพนัน”
เยว่เฟิงเกอฟังคำของซูมู่เจ๋อก็อดส่ายหน้าขบขันไม่ได้
ช่างเป็บุรุษที่นิสัยราวกับเด็ก
ซูมู่เจ๋อเดินเข้าไปในโรงพนัน เขาให้คนที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะพนันโต๊ะหนึ่งที่เล่นกันเสร็จพอดีลุกออกไปแล้วจึงให้เยว่เฟิงเกอนั่งลง
“วันนี้ โต๊ะนี้ ไม่ว่าใครก็ห้ามใช้อีก หากพวกเ้าอยากจะเล่นก็ไปเล่นโต๊ะอื่น” ในฐานะที่เขาเป็เถ้าแก่ของโรงพนันว่านจินแห่งนี้ เมื่อเอ่ยออกมาแล้วก็ไม่มีใครกล้าไม่ปฏิบัติตามคำพูดของเขา
เยว่เฟิงเกอนั่งลงแล้วยิ้มถามซูมู่เจ๋อว่า “เถ้าแก่ซูคิดจะเล่นอย่างไร? ”
ซูมู่เจ๋อคิดว่าครั้งก่อนเล่นไพ่ คนทั้งสองเพียงต้องทายจำนวนแต้มว่าสูงหรือต่ำ ซึ่งง่ายต่อการที่เยว่เฟิงเกอจะเล่นไม่ซื่อ และอาศัยโชคชะตาหนุนนำ
ครั้งนี้เขาจึงตั้งใจจะเปลี่ยนวิธีเล่นใหม่ ไม่เล่นไพ่แล้ว แต่เปลี่ยนมาเป็การเขย่าลูกเต๋าแทน
เื่นี้เขาเก่งที่สุด แค่อาศัยการฟังก็สามารถรู้ได้ว่ากี่แต้ม
ซูมู่เจ๋อกล่าวว่า “ครั้งนี้เรามาเล่นเขย่าลูกเต๋ากัน”
เยว่เฟิงเกอเชี่ยวชาญทุกอย่างอยู่แล้ว จึงไม่สนใจว่าซูมู่เจ๋อจะเสนอให้เล่นด้วยวิธีการใด
นางผายมือข้างหนึ่งให้ซูมู่เจ๋อ “เช่นนั้นก็ให้เถ้าแก่ซูเริ่มก่อนแล้วกัน”
คนที่โต๊ะอื่นๆ เห็นว่าซูมู่เจ๋อลงเล่นบนโต๊ะพนันอีกครั้ง ก็ไม่รอช้าพร้อมใจกันจับสังเกตคนทั้งสอง
นี่เป็ครั้งที่สองที่พวกเขาจะได้เห็นเถ้าแก่ซูเล่นที่โต๊ะพนัน ครั้งก่อนคนแพ้ให้คุณชายสูงศักดิ์ท่านหนึ่ง ส่วนครั้งนี้คนที่เล่นกับเขาคือแม่นางน้อยที่หน้าตาค่อนข้างจะธรรมดาผู้หนึ่ง
ในสถานที่แห่งนี้คงมีแต่จินว่านหลี่ที่รู้ว่าสตรีนางนี้คือใคร เขาเห็นว่าเยว่เฟิงเกอกับซูมู่เจ๋อจะพนันกันอีกแล้ว ก็รีบกอบโกยเงินที่ตนชนะได้แล้วเดินมาหยุดอยู่เื้ัเยว่เฟิงเกอ เฝ้ามองาบนโต๊ะพนันระหว่างนางและซูมู่เจ๋อ
ซูมู่เจ๋อหยิบกระบอกไม้ไผ่ขึ้นมา โยนลูกเต๋าบนโต๊ะเข้าไปในนั้น แล้วจึงเริ่มเขย่า
“เ้าจะลงสูงหรือต่ำ? ” ซูมู่เจ๋อเขย่ากระบอกไม้ไผ่พลางถามเยว่เฟิงเกอ
เยว่เฟิงเกอหยิบตั๋วเงินห้าสิบตำลึงออกมาใบหนึ่ง ก่อนจะโยนไปยังฝั่งต่ำ
ซูมู่เจ๋อเห็นว่าเยว่เฟิงเกอเดิมพันต่ำ เช่นนั้นเขาก็มีแต่ต้องลงฝั่งสูงแล้ว
เขาส่งสายตาให้ลูกน้องข้างๆ ฉับพลันนั้นลูกน้องคนนั้นก็หยิบตั๋วเงินห้าสิบตำลึงออกมาวางไว้ที่ฝั่งสูง
ซูมู่เจ๋อหรี่ตา ยามที่เขาเขย่ากระบอกไม้ไผ่ในมือก็ฟังออกแล้วว่าลูกเต๋าด้านในแต้มต่ำ
มือเขาเขย่าเบาๆ ลูกเต๋าด้านในก็เปลี่ยนเป็สูง
เขาวางกระบอกไม้ไผ่ลงบนโต๊ะอย่างแรง มองเยว่เฟิงเกอ
“รอบนี้เ้าแพ้แน่แล้ว” ซูมู่เจ๋อพูดอย่างมั่นอกมั่นใจยิ่ง
เยว่เฟิงเกอเท้าคางด้วยมือข้างหนึ่งอย่างเกียจคร้าน ส่วนมืออีกข้างเพียงเคาะเบาๆ ลงไปบนโต๊ะพนัน
นางเลิกตาขึ้นมองซูมู่เจ๋อ กล่าวด้วยท่าทีเกียจคร้านอย่างที่สุด “เถ้าแก่ซูเปิดออกดูเถอะ”
สายตาของทุกคนจับจ้องอยู่ที่จุดเดียวเป็ตาเดียว
ซูมู่เจ๋อเปิดกระบอกไม้ไผ่ออก เขาที่เดิมทีคิดว่าตานี้ตนต้องชนะได้อย่างแน่นอน เมื่อได้เห็นแต้มบนลูกเต๋ากับตา เขาก็ถึงกับแสดงสีหน้าตกตะลึงออกมา
เป็ไปไม่ได้ เขาเปลี่ยนแต้มของลูกเต๋าด้านในจากต่ำเป็สูงแล้วนี่ มันกลับไปเป็ต่ำได้อย่างไร?
เขามองลูกเต๋าอย่างไม่อยากจะเชื่อ ก่อนจะมองเยว่เฟิงเกอ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้