มู่หรงสือลอบมององค์รัชทายาทอย่างออดอ้อน ทว่ายังแฝงความหวาดกลัวเล็กน้อย หัวใจเต้นแรงจนแทบจะกระเด็นออกมาจากอก
ในเวลานี้ ความรู้สึกของนางซับซ้อนมาก ทั้งดีใจ เขินอาย แล้วก็มีความหวาดกลัวอย่างน่าประหลาด ผสมปนเปเข้าด้วยกัน หัวใจเต้นเร็วจนชาไปหมด
องค์รัชทายาทที่อยู่เบื้องหน้าช่างงดงามหล่อเหลายิ่งนัก ดวงตาทั้งสองข้างสุกใสลึกล้ำราวกับจะพูดได้ แฝงไปด้วยเสน่ห์เล็กๆ คอยหยอกเย้านางอยู่เสมอ
“หม่อมฉัน... หากเตี้ยนเซี่ย้าให้หม่อมฉันทำอะไร หม่อมฉันก็จะทำเพคะ...” นางหลุบขนตายาวลง พวงแก้มปรากฏสีชมพูระเรื่อ
“จริงหรือ? เปิ่นกงอยากจะเห็นความสามารถของเ้าว่าจะเทียบเคียงกับสนมทั้งสองของเปิ่นกงได้หรือไม่” มู่หรงฉือปล่อยนาง ยืนอยู่ที่กรอบประตูมองออกไปยังแสงอาทิตย์ด้านนอก
“เตี้ยนเซี่ยสามารถทดสอบหม่อมฉันได้เพคะ”
เพราะการผละออกไปขององค์รัชทายาท ทำให้มู่หรงสือพลันรู้สึกห่อเหี่ยวขึ้นมา ครั้นจดจ้องใบหน้าด้านข้างที่สุกใสราวกับพระจันทร์ข้างขึ้น สายตาของนางก็ยิ่งแสดงความลุ่มหลงในตัวองค์รัชทายาทขึ้นเรื่อยๆ
มู่หรงฉือสั่งการหรูอี้ “ไปเชิญสนมทั้งสองมา”
หรูอี้รีบให้นางกำนัลไปเชิญสนมเย่กับสนมเว่ยมา ไม่นานนัก พวกนางทั้งสองก็เดินทางมาถึงตำหนักใหญ่ ครั้นเห็นแม่นางที่มีใบหน้างดงามอยู่กับองค์รัชทายาทก็รู้สึกประหลาดใจอยู่เล็กน้อย
หลังจากทำความเคารพแล้ว พวกนางก็เอ่ยปากถาม “เตี้ยนเซี่ยมีสิ่งใดจะรับสั่งหรือเพคะ?”
เมื่อมู่หรงสือลอบมองสนมทั้งสองก็ยิ่งมั่นใจมากขึ้น
พวกนางสนมนอกจากจะเกิดมาในครอบครัวที่ไม่อาจเทียบกับนางได้แล้ว รูปร่างของพวกนางก็ยังแสนธรรมดา ยากที่จะพาไปออกงานเลี้ยงใหญ่ระดับแคว้นได้ หากต่อไปนางได้กลายเป็ชายาขององค์รัชทายาทจริงๆ นางเชื่อว่าตนจะต้องกลายเป็สตรีที่อยู่ข้างกายองค์รัชทายาทที่เหมาะสมและถูกผู้คนจับตามองมากที่สุดเป็แน่
“องค์หญิงตวนโหรวแห่งจวนอวี้หวางอยากจะเป็ชายาของเปิ่นกง” คิ้วเรียวของมู่หรงฉือกระตุกเล็กน้อย “พวกเ้าดูแลเปิ่นกงมาได้สักพักแล้ว จงอธิบายเื่พื้นฐานในการดูแลเปิ่นกงให้องค์หญิงด้วย”
“เพคะ เตี้ยนเซี่ย” สนมเย่กับสนมเว่ยจับสัญญาณที่เตี้ยนเซี่ยส่งมาได้ จากนั้นพวกนางก็แสดงความเคารพแก่มู่หรงสือ
เมื่อสั่งการเสร็จแล้วมู่หรงฉือก็เดินไปที่ห้องตำรา หยิบหนังสือหลายเล่มขึ้นมาอ่าน
ณ ตำหนักใหญ่ มู่หรงสือเชิดคางขึ้น แสดงท่าทางถือดีขององค์หญิงแห่งราชวงศ์ออกมา แล้วเอ่ยพูดคำพูดจาแบบคนสูงศักดิ์คุยกับคนที่ศักดิ์ต่ำกว่า “อีกไม่นานข้าก็จะกลายเป็ชายาขององค์รัชทายาท ต่อไปนี้ข้าจะดูแลพวกเ้าเป็อย่างดี ข้าจะต้องดูแลปรนนิบัติเตี้ยนเซี่ยอย่างไร ขอพวกเ้าทั้งสองเชิญสั่งสอนได้”
สนมเย่พูดอย่างอ่อนโยน “หม่อมฉันมิบังอาจเพคะองค์หญิง วันนี้พวกหม่อมฉันเพียงแค่จะอธิบายกับพระองค์เท่านั้นเพคะ”
สนมเว่ยสั่งให้นางกำนัลหญิงยกชามาให้ จากนั้นก็เม้มปากยิ้ม “เชิญนั่งเพคะองค์หญิง หม่อมฉันขอเริ่มแล้วเพคะ เตี้ยนเซี่ยให้ความสำคัญกับพระกายาหารมาก โดยเฉพาะปลา ทรงโปรดเสวยปลายิ่ง”
“สั่งให้พ่อครัวในโรงครัวทำอาหารที่มีปลาเป็ส่วนประกอบทุกวันก็สิ้นเื่แล้วไม่ใช่หรือ?” มู่หรงสือเบะปากอย่างไม่เห็นด้วย
“องค์หญิงอาจจะยังไม่ทราบ แม้พ่อครัวของตำหนักบูรพาจะมีฝีมือดีเพียงใด แต่เตี้ยนเซี่ยชอบอาหารรสชาติบ้านๆ มากกว่า พวกเราพี่น้องหลังจากเข้าตำหนักบูรพามา ก็ใช้เวลาหนึ่งเดือนในการเรียนรู้วิธีการทำอาหารที่มาจากปลา ถึงทำให้เตี้ยนเซี่ยพอพระทัยขึ้นมาได้” สนมเย่บอกเสียงเนิบช้า
“เตี้ยนเซี่ยเลือกทานอาหารมาก การทำอาหารที่มีปลา ตุ๋นน้ำแกงด้วยตัวเองถือเป็เื่พื้นฐานที่สุดในการดูแลเตี้ยนเซี่ย” สนมเว่ยคลี่ยิ้มมีเสน่ห์ “หากต่อไปองค์หญิงกลายเป็พระชายาแล้ว ย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงการปรนนิบัติเตี้ยนเซี่ยเช่นนี้เพคะ”
“...” มู่หรงสือกัดริมฝีปาก ก็แค่เรียนทำอาหารที่มีปลาเป็ส่วนประกอบไม่ใช่หรือ? มีอันใดยากกัน
ถึงแม้ั้แ่เกิดมาจากท้องมารดา นิ้วทั้งสิบจะไม่เคยแตะต้องงานการใดๆ เลย ข้าวก็แค่อ้าปากให้คนป้อน เสื้อผ้าก็แค่ยกมือให้คนใส่ให้ แต่ว่านางเป็คนที่เฉลียวฉลาดมาแต่ไหนแต่ไร แค่ทำอาหารที่มีปลาย่อมไม่ใช่เื่ยากอะไร
ครั้นคิดได้เช่นนี้ นางก็ไม่ได้คิดสิ่งใดให้มากมายอีก ก่อนจะเอ่ยถามต่อไป “ยังมีสิ่งใดอีกหรือไม่?”
นางกำนัลคนหนึ่งที่คอยยืนฟังอยู่ด้านข้างประตูตำหนักรีบเดินไปรายงานมู่หรงฉือที่ห้องตำรา
หรูอี้ยิ้มแล้วพูด “องค์หญิงที่ได้ฟังคำพูดของพระสนมทั้งสอง สีหน้าตอนนั้นจะต้องน่าขันมากเป็แน่เพคะ”
ในมือของมู่หรงฉือถือกระดาษม้วนเล่มหนึ่ง “เป็ครั้งแรกที่เปิ่นกงพบว่าสมองของสนมเย่กับสนมเว่ยก็ใช้การได้ดีเหมือนกันนะ”
ทางด้านตำหนักใหญ่ สนมเว่ยกล่าวต่อ “เตี้ยนเซี่ยชอบความเงียบสงบเป็อย่างยิ่ง อย่างเช่นในยามที่เตี้ยนเซี่ยกำลังอ่านตำราหรืออ่านสารต่างๆ ที่ห้องตำรา พวกเราก็ต้องคอยดูแลอยู่ที่นั่น แต่ว่าไม่อาจพูดคุยหรือส่งเสียงได้ ที่สำคัญคือไม่สามารถเดินออกมาได้ ทำได้แค่ยืนเงียบๆ เพคะ”
“พูดคุยไม่ได้แล้วก็ออกไปไหนไม่ได้ เช่นนั้นพวกเ้าไม่อึดอัดตายหรือ?” มู่หรงสือถามด้วยความประหลาดใจ นิสัยแปลกๆ ของเตี้ยนเซี่ยทำไมถึงเยอะแยะมากมายถึงเพียงนี้?
“เตี้ยนเซี่ยอาจ้าให้พวกเราดูแลรับใช้ตอนไหนก็ได้ ดังนั้นพวกเราไม่อาจออกมาจากที่นั่นได้ การดูแลข้างกายเตี้ยนเซี่ยจะต้องทำประหนึ่งว่าไม่มีตัวตน จะยืนก็ต้องยืนให้ตรงและสง่างาม หลายครั้งอาจต้องยืนถึงสองชั่วยาม องค์หญิง หม่อมฉันจะแสดงให้ท่านดูครั้งหนึ่ง”
สนมเย่ยืนตรงนิ่ง สายตามองไปทางด้านหน้า ใช้มือซ้ายกุมมือขวาวางไว้ตรง่เอว
สนมเว่ยเอ่ยเสียงอ่อนโยน “เื่นี้ไม่ยากนักเพคะ ในเมื่อองค์หญิงทรงต้องใจองค์รัชทายาท วันนี้ก็สามารถลองฝึกซ้อมดูได้เพคะ โดยลองยืนเช่นนี้สักหนึ่งชั่วยาม”
“นี่นับว่าเป็เื่ง่าย”
มู่หรงสือยืนขึ้นอย่างอารมณ์ดี จัดแจงท่าทางของตนเองให้ยืนตรง
ไม่มีอะไรยากกว่านี้แล้วหรือ? เหล่ามามาในวังเคยสอนนางเื่มารยาท นางเรียนไม่กี่วันก็สามารถเรียนรู้ได้ทั้งหมดแล้ว
สนมเย่กับสนมเว่ยมองตากัน ก่อนจะกำชับ “องค์หญิงจะต้องจำไว้นะเพคะว่าสายตาห้ามล่อกแล่กหรือมองซ้ายมองขวา ห้ามพูด ยืนนิ่งๆ ก็พอเพคะ”
มู่หรงสือพยักหน้า มองตรงไปด้านหน้า ด้วยใบหน้าที่มุ่งมั่นและแน่วแน่
พวกนางนั่งดื่มชา มองตากันไปมา ในแววตาพลันปรากฎความขบขันขึ้นอย่างเข้าใจความหมายของกันและกัน
เวลาค่อยๆ เคลื่อนผ่านไปทีละน้อย
มีนางกำนัลหญิงเข้ามารายงานที่ห้องตำราอีกครั้ง หรูอี้ปิดปากหัวเราะ “ความคิดแปลกประหลาดของสนมเย่กับสนมเว่ยมีไม่น้อยจริงๆ องค์หญิงยืนมาได้ราวครึ่งถ้วยชาแล้วเพคะ”
มู่หรงฉือยิ้มเย็น “จากนิสัยร่าเริงทำอะไรโผงผางขององค์หญิง จะไปยอมรับความนิ่งเงียบเช่นนั้นได้อย่างไร?”
ไม่ผิดจากที่คิด หลังจากที่มู่หรงฉือพูดจบ ยังไม่ทันถึงหนึ่งถ้วยชา มู่หรงสือก็ทนไม่ไหวแล้ว
ตอนแรกความตั้งใจของนางยังสูง คิดว่านี่เป็เื่ง่าย ไม่มีทางที่นางจะทำไม่ได้
นานเข้า ขาทั้งสองข้างเริ่มแข็งชา เอวก็เริ่มปวด แขนทั้งสองข้างก็ชาไปหมดจนนางแทบจะเป็ตะคริวอยู่แล้ว
“นี่ผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว?” นางถามอย่างทนไม่ไหว
“องค์หญิง ยังไม่ถึงหนึ่งถ้วยชาเลยเพคะ” สนมเย่เตือนด้วยความหวังดี “องค์หญิงจำไม่ได้หรือ? หากอยู่ข้างกายเตี้ยนเซี่ย จะส่งเสียงใดออกมาไม่ได้ เตี้ยนเซี่ยไม่โปรดนะเพคะ”
“เพียงแค่หนึ่งชั่วยามอีกเดี๋ยวก็จะผ่านไปแล้วเพคะ พวกเราอยู่เป็เพื่อนเตี้ยนเซี่ยอ่านหนังสือ ทุกครั้งจะต้องยืนหลายชั่วยามเชียวนะเพคะ” สนมเว่ยก้มหน้าดื่มชา รอยยิ้มเย็นเล็กน้อยปรากฏวาววับอยู่ในดวงตา
มู่หรงสือปิดปากเงียบแล้วให้กำลังใจตัวเอง ยืนหยัดอดทนจะเอาชนะให้ได้
องค์รัชทายาทกำลังรอนางอยู่ด้านหน้า ตำแหน่งพระชายาองค์รัชทายาทอยู่ห่างเพียงแค่เอื้อมเท่านั้น นางจะยอมแพ้ง่ายๆ ไม่ได้เด็ดขาด
นางพยายามขยับร่างกายหรือบิดตัวให้น้อยสุด เพื่อลดความปวดเมื่อยและความชาให้ทุเลาลง
ทว่าผ่านไปได้ไม่นาน ความปวดทั่วทั้งร่างก็ยิ่งทวีคูณมากขึ้น นางขมวดคิ้วแน่น กัดฟันยืนหยัด ทว่าแผ่นหลังกับหน้าผากกลับมีเหงื่อผุดขึ้นมาบางๆ
ไม่ว่าอย่างไร นางจะต้องอดทนกับความยากลำบากที่แสนหนักหนานี้ แล้วกลายเป็พระชายาที่องค์รัชทายาททรงโปรดปรานมากที่สุดให้ได้
ไม่รู้ว่าเวลาล่วงเลยไปนานเท่าใด ดวงหน้าเล็กเริ่มขาวซีด ดวงตางามหรี่ลงครึ่งหนึ่งอย่างล่องลอย ร่างกายเริ่มส่ายไปมาอย่างช้าๆ ราวกับจะเป็ลมล้มพับไปได้ตลอดเวลา
สนมเย่มองไปทางสนมเว่ย ป้องปากพูด “นางจะไม่เป็อะไรใช่หรือไม่?”
สนมเว่ยพูดเสียงเบา “นางยินดีจะทำเอง ไม่เกี่ยวอันใดกับพวกเรา อีกอย่างหากเกิดอะไรขึ้นเตี้ยนเซี่ยก็ต้องปกป้องพวกเราแน่นอน”
ตุบ…
เกิดเสียงดังขึ้น
เมื่อพวกนางหันไปมองก็เห็นมู่หรงสือเป็ลมล้มไป ใบหน้าเล็กขาวซีดจนเขียวคล้ำ
สนมเย่กับสนมเว่ยรีบเรียกนางกำนัลหลายคนมาพยุงนางไปนั่งพัก ครั้นนาง ลืมตาตื่นขึ้นมา ถึงได้รู้ว่าตัวเองเป็ลมล้มไป
ก็แค่ยืนเฉยๆ ไม่ขยับตัวเองไม่ใช่หรือ นางกลับยืนไม่ได้แม้แต่ครึ่งชั่วยาม ช่างไร้ประโยชน์เสียจริงๆ
แต่ว่า ความชอบของเตี้ยนเซี่ยนั้นก็ช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก ทำไมคนที่คอยดูแลอยู่ข้างกายถึงไม่สามารถเอ่ยสิ่งใดได้ ทั้งยังต้องยืนตรงราวกับพู่กันด้วย?
“ร่างกายขององค์หญิงต้องได้รับการพักผ่อน เชิญองค์หญิงกลับไปพักผ่อนที่จวนอวี้หวางก่อนเถิดเพคะ” สนมเย่ปลอบใจ
“หากเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายขององค์หญิง พวกหม่อมฉันคงรับผิดชอบไม่ไหวเพคะ” สนมเว่ยกล่าว
สุดท้าย ด้วยแรงของนางกำนัลหลายคนที่ช่วยกันพยุง มู่หรงสือก็กลับไปถึงที่จวนอวี้หวาง
ภายในห้องตำรา หลังจากมู่หรงฉือได้ยินเื่ที่หรูอี้รายงาน นางก็หัวเราะเสียงเย็นและอ่านหนังสือต่อไป
……
คืนนี้เป็คืนเดือนดับลมพัดสูง ใต้คานบ้านที่ผูกโคมไฟเอาไว้ถูกลมพัดจนสะบัดขึ้น บ้างก็หมุนไปมาไม่หยุด แสงไฟสีเหลืองนวลสั่นไหวไปมา
ภายในห้องตำรา มู่หรงอวี้มองคุณชายหยาง บุรุษที่ก้มหน้าต่ำผู้นั้นด้วยความสงสัย
คุณชายหยางผู้นี้เป็จอมคาถาของหนึ่งในใต้หล้า
ก่อนหน้านี้มู่หรงฉือได้จัดแจงให้เขากับคุณชายไป๋และแม่นางซูพักอยู่ในสถานที่ปลอดภัยแห่งหนึ่ง แต่ก็ยังถูกมู่หรงอวี้ตามหาจนเจอ
“ไม่ทราบว่าท่านอ๋องมีเื่อันใดกับกระหม่อมหรือพ่ะย่ะค่ะ?” ครั้นรออยู่นานแล้ว คุณชายหยางก็อดเอ่ยปากถามออกไปไม่ได้ ท่าทางของเขาให้เกียรติและเกรงใจต่อมู่หรงอวี้ยิ่งนัก
“ได้ยินมาว่าวิชาเวทของเ้าเก่งกาจยิ่งนัก เปิ่นหวางเพียงอยากจะเห็นเป็บุญตาเสียหน่อย”
มู่หรงอวี้นั่งอยู่หน้าโต๊ะหนังสือ นำมือขวาวางไว้บนแขน นิ้วมืองอเล็กน้อย ที่นิ้วหัวแม่มือสวมแหวนทองรูปหัวงูที่มีรูปร่างประหลาดทั้งยังมีความหนามากกว่าแหวนปกติทั่วไปด้วย
คุณชายหยางกล่าว “ได้แสดงความสามารถให้ท่านอ๋องได้ชม นับเป็เกียรติของข้าน้อยยิ่งนัก”
พูดจบเขาก็หยิบผ้าสี่เหลี่ยมสีดำขนาดเท่าตัวคนผืนหนึ่ง มือทั้งสองข้างจับผ้าผืนนั้นแล้วคลี่ออก หันด้านหน้าออกก่อน จากนั้นค่อยหันอีกด้านให้เห็น ทำเช่นนี้อยู่สามครั้ง เพื่อแสดงให้เห็นว่าผ้าสีดำผืนนี้เป็เพียงผ้าธรรมดา ไม่มีอะไรพิเศษ
มู่หรงอวี้จับจ้องการกระทำของคุณชายหยางรวมถึงผ้าสีดำผืนนั้นอย่างไม่กะพริบตา
“ท่านอ๋อง กระหม่อมจะแสดงการหายตัวไปต่อหน้าท่าน”
เมื่อพูดจบ ผ้าสีดำผืนนั้นก็ลอยขึ้น ก่อนจะค่อยๆ ร่วงหล่นลง
มู่หรงอวี้ยืนขึ้น สายตาไม่ได้ละออกไปจากคุณชายหยางและผ้าสีดำผืนนั้นเลยแม้สักเสี้ยวขณะ
ผ้าสีดำร่วงหล่นลงกับพื้น แต่ในห้องตำรากลับเหลือแค่เขาอยู่เพียงผู้เดียว คุณชายหยางหายไปเสียแล้ว
สายตาของมู่หรงอวี้กวาดมองไปรอบๆ ห้อง เพียงชั่วพริบตาคนก็หายตัวไป แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขามั่นใจได้ก็คือ ก่อนที่ผ้าสีดำผืนนั้นจะหล่นลงพื้น คุณชายหยางได้ได้หายตัวไปก่อนแล้ว
เขายกยิ้มอย่างมีแผนในใจ เงยหน้าขึ้น เห็นคุณชายหยางนั่งอยู่บนขื่อ้า “ลงมาเถิด”
คุณชายหยางะโลงมาพลางประจบประแจง “ท่านอ๋องช่างมีสายตาเฉียบแหลมยิ่งนัก กระหม่อมถูกท่านมองออกเสียแล้ว”
“เ้าไม่ได้มีพลังเวทใดอยู่จริงๆ ที่เ้าใช้ก็แค่กลลวงหลอกตา อาศัยผ้าผืนนั้นปกปิด แล้วเ้าก็ะโขึ้นไปบนขื่ออย่างแ่เบา อาศัยวิธีการแสดงที่แปลกประหลาดเท่านั้น”
“สติปัญญาท่านอ๋องเฉียบแหลมนัก มองวิธีการของกระหม่อมออก ไม่ผิดพ่ะย่ะค่ะ สิ่งที่กระหม่อมร่ำเรียนมาก็แค่วิชาบังตาซึ่งเป็การแสดงทั่วไป เพียงแต่กระหม่อมฝึกตนมานานหลายปี ดังนั้นจึงสามารถปกปิดชาวบ้านทั่วไปได้พ่ะย่ะค่ะ”
“อาจารย์ของเ้ายอมให้ทำเช่นนี้หรือ?”
“อาจารย์ของกระหม่อมก็เหมือนกับกระหม่อม ใช้ฉายาจอมคาถาเป็ข้ออ้างเท่านั้น” คุณชายหยางก้มหน้าอย่างคนมีชนักติดหลัง
“เ้าเข้าใจวิชาของตนเองดี” มู่หรงอวี้กะพริบตาคาดการณ์ “เ้าเคยได้ยินใครพูดถึงยุทธภพ หรือใครที่มีพลังเวทที่แท้จริงบ้างหรือไม่?”
“ที่ท่านอ๋องพูดถึงคือพลังเวทที่หายไปของแคว้นเจียหลันหรือ? มีแต่เพียงเื่เล่าธรรมดาๆ ที่กระหม่อมเคยแต่ได้ยินแต่ไม่เคยประสบพบเจอมาก่อน” คุณชายหยางบอก
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้