“หม่อมฉันสำนึกผิดแล้วเพคะ” เจียงอวี๋ซื่อคุกเข่าอยู่บนพื้น สั่นสะท้านไปทั้งร่าง นางถูกสิ่งใดบดบังใจเสียแล้ว หลี่ลั่วทำให้นางโมโหจนขาดสติ
“เจิ้นดูแล้วสุขภาพของเจียงฮูหยินไม่ค่อยดี ไม่สู้ให้ใต้เท้าเจียงประคองนางลงไปพักผ่อนสักครู่เล่า” จ้าวหนิงฮ่องเต้กล่าว ทุกคนต่างแคลงใจ นี่คือกำลังไล่คนอยู่ใช่หรือไม่?
“พ่ะย่ะค่ะ” ใต้เท้าเจียงใเสียจนแข้งขาสั่นไปหมด
“ส่วนเ้า ในเมื่อองค์ชายฉวี่หลงมีความตั้งใจอยู่ก่อนแล้ว ที่เกิดเื่ระหว่างหลี่ฉางเฉิงกับเ้าเป็เพราะมีเหตุผล เจิ้นพระราชทานยศให้เ้าเป็เซี่ยนจู่[1] ตอบรับการแต่งงานเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรีกับแคว้นฉวี่หลง” เมื่อเสียงของจ้าวหนิงฮ่องเต้จบลง เื่ราวก็ได้กำหนดลงอย่างสิ้นสงสัย การแต่งงานระหว่างเจียงซูเอ๋อร์และองค์ชายฉวี่หลงได้กำหนดแน่นอนลงมาแล้ว
พวกเขาทะเลาะวิวาทกันเบื้องพระพักตร์ฮ่องเต้ หากฮ่องเต้ยังตามใจพวกเขา เช่นนั้นยังจะเรียกว่าฮ่องเต้ได้อีกหรือ? “สำหรับจงหย่งโหว...” จ้าวหนิงฮ่องเต้มองไปที่หลี่ลั่ว เห็นท่าทางในยามนี้ที่ร่างเล็กๆ ของเขาหดแล้วหดอีก ยิ่งคิดไปถึงเมื่อสักครู่ที่พูดจาผลักไสแทนสาวใช้และคนของตนแล้ว เฮ้อ... แม้จะเป็คนไม่เลว แต่นิสัยหยาบกระด้างเช่นนี้ “อายุน้อยเป็เื่หนึ่ง แต่ผิดแล้วก็คือผิดแล้ว พรุ่งนี้ไปวัดก่วงเปย สวดมนต์แทนเจิ้นสองเดือน”
อะ...อะไรกัน?
ที่จริงหลี่ลั่วคิดจะไปวัดก่วงเป่ยอยู่แล้ว เพียงแต่จะไปเป็ระยะเวลาหนึ่งเดือน ยามนี้ต้องไปเป็เวลาสองเดือน ในสายของคนอื่นๆ นั้น ฮ่องเต้ยังคงลำเอียงเข้าข้างหลี่ลั่วอยู่ดี แต่สำหรับหลี่ลั่วแล้วนั้นเขาปวดใจนัก เงินของเขาหายไปแล้ว ร้านค้าของเขาเปิดไม่ได้เสียแล้ว
“เสี่ยวเฉินขอบพระทัยฝ่าาพ่ะย่ะค่ะ” ซ้ำยังต้องขอบคุณด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ค่อยพบกันใหม่สองเดือนหลังจากนี้
ในเื่นี้หลี่ลั่วผู้เป็เด็กน้อยอายุห้าขวบนั้นไม่มีอันใด แต่เจียงซูเอ๋อร์นั้นถือว่าเสียหน้าครั้งใหญ่ ทำให้สกุลอวี๋เสียหน้าไปด้วย ยังดีที่จวนฉีอ๋องมีเพียงกู้จวิ้นเฉินเพียงคนเดียว หากยังมีญาติสาวคนอื่นๆ เกรงว่าจะแต่งไม่ออกไปง่ายๆ
ผู้ที่ยินดีปรีดาที่สุดคงไม่พ้นองค์ชายฉวี่หลง ได้มีพระชายาเอกที่มีรูปโฉมงดงามราวกับหยกสลักถึงเพียงนี้ ในเมื่อฮ่องเต้ได้รับปากแล้ว เช่นนั้นเื่ของสินสอดคงปรึกษาหารือกันได้ แคว้นฉวี่หลงไม่ได้ให้ความสำคัญกับชื่อเสียงของหญิงสาวเหมือนแคว้นจีน ดังนั้นองค์ชายฉวี่หลงจึงรีบเข้าไปประคองเจียงซูเอ๋อร์ลุกขึ้น “เ้าวางใจได้ เมื่อไปถึงฉวี่หลงข้าจะดีต่อเ้า”
ต่อให้ในใจของเจียงซูเอ๋อร์หมื่นแสนไม่ยินยอม นางก็ไม่อาจแสดงออกมาได้ นางไม่ยินยอมไปแคว้นฉวี่หลง ต่อให้ชีวิตนี้นางไม่สามารถแต่งให้หลี่ฉางเฉิงได้ นางก็ไม่ไปแคว้นฉวี่หลง ต้องให้นางโกนผมบวชเป็ชีนางก็ไม่ไป มือทั้งสองข้างของเจียงซูเอ๋อร์กำแน่น พยายามกดความรู้สึกรังเกียจที่องค์ชายฉวี่หลงเข้ามาประคองเดินออกจากงานเลี้ยง
“ทูตจากแคว้นหนานหลิงถวายพระพรฝ่าา ขอฝ่าาอายุยืนหมื่นปี หมื่นปี หมื่นๆ ปีพ่ะย่ะค่ะ” ความสัมพันธ์ระหว่างแคว้นหนานหลิงและแคว้นจีนนั้นดีมาโดยตลอด ครั้งนี้ผู้ทำหน้าที่ทูตเป็องค์ชายแห่งแคว้นหนานหลิง
“เสด็จพี่หญิงสบายดีหรือไม่?” จ้าวหนิงฮ่องเต้ตรัสถาม แท้จริงแล้วนั้นองค์หญิงแคว้นจีนได้แต่งงานเพื่อเชื่อมสัมพันธ์กับแคว้นหนานหลิงั้แ่ในสมัยฮ่องเต้องค์ก่อนหรือพระบิดาของจ้าวหนิงฮ่องเต้ และองค์ชายแห่งแคว้นหนานหลิงนั้นเป็บุตรชายของนางกับหนานหลิงอ๋อง
“เสด็จแม่สบายดีพ่ะย่ะค่ะ ขอบพระทัยเสด็จน้าที่เอาพระทัยใส่ เพียงแต่เสด็จแม่จากบ้านเกิดเมืองนอนไปหลายปี มีความคิดถึงบ้านเกิดเป็อย่างยิ่ง” องค์ชายหนานหลิงกล่าว
จ้าวหนิงฮ่องเต้ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง “เ้าไม่สู้พักอยู่ต่อสักหลายวันเล่า ให้พวกเ้าใหญ่พาเ้าไปเดินดูให้ทั่ว ไปดูไปฟังอะไรมากขึ้น เมื่อเ้ากลับไปก็เล่าให้เสด็จพี่หญิงฟังเสีย ให้นางได้คลายความคิดถึงบ้านลงได้บ้าง”
“ขอบพระทัยฝ่าาพ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากแคว้นฉวี่หลงและแคว้นหนานหลิงแล้ว จากนั้นก็คือแคว้นเสียงอวิ๋น สำหรับแคว้นเสียงอวิ๋นนั้นไม่เหมือนแคว้นอื่นๆ ฤดูกาลทั้งสี่ของแคว้นเสียงอวิ๋นราวกับเป็ฤดูใบไม้ผลิทั้งสิ้น ดอกไม้บานตลอดทั้งปี กระทั่งสภาพอากาศอึมครึมยังมีน้อยมาก ตลอดทั้งปีมีแต่ก้อนเมฆเต็มท้องฟ้า ดังนั้นชื่อของแคว้นจึงมีชื่อว่าเสียงอวิ๋น[2] แคว้นเสียงอวิ๋นมีความสัมพันธ์อันดีกับทุกๆ แคว้น ไม่เพียงแต่กับแคว้นจีนเท่านั้น ยากนักที่จะจินตนาการออกมาได้ว่าแคว้นเล็กๆ ที่มีสถานที่ราวกับ์บนโลกมนุษย์ กลับไม่ได้เป็ที่จับจ้องจากเสือล่าเนื้อแคว้นใหญ่ๆ
ทูตจากแคว้นเสียงอวิ๋นเป็หญิงสาวนางหนึ่ง การสืบทอดตำแหน่งกษัตริย์ของแคว้นเสียงอวิ๋นไม่เหมือนกับแคว้นอื่นๆ ลำดับแรก พวกเขาไม่ได้สืบทอดตำแหน่งด้วยเชื้อพระวงศ์ แต่เป็การสืบทอดโดยนักปราชญ์หญิง[3]
ทุกๆ รัชสมัยแคว้นเสียงอวิ๋นจะคัดเลือกนักปราชญ์หญิง โดยให้นักปราชญ์หญิงเลือกชายหนุ่มที่ตนจะแต่งงานด้วย และชายหนุ่มผู้นี้จะต้องเป็ผู้นั่งตำแหน่งฮ่องเต้ ซึ่งจะเป็องค์ชายหรือชนชั้นสูงจากแคว้นอื่นชนเผ่าอื่นก็ได้ แน่นอนว่าชายหนุ่มที่นักปราชญ์หญิงเลือกนั้นต้องอยู่ในรายชื่อของผู้ที่มีสิทธิ์สืบทอดตำแหน่งฮ่องเต้
“อวิ๋นหลัวถวายบังคมฝ่าาเพคะ” หญิงสาวเปล่งเสียงออกมา น้ำเสียงนั้นไพเราะน่าฟังยิ่งนัก นางปิดผ้าโปร่งคลุมใบหน้า ไม่้าให้ผู้อื่นเห็นรูปโฉมของนาง ทว่ากลับทำให้คนอยากเห็นใบหน้าของนางมากยิ่งขึ้น ทุกคนล้วนพูดกันว่าเจียงซูเอ๋อร์เป็สาวงามอันดับหนึ่งของเมืองหลวง แต่เมื่อเห็นอวิ๋นหลัวแล้ว แม้จะมีผ้าโปร่งปิดกั้นใบหน้าอยู่ชั้นหนึ่ง กลับแยกแยะได้อย่างชัดเจนว่านางมีรูปโฉมงดงาม “แคว้นเสียงอวิ๋นขอถวายสร้อยประคำพระยูไลแก่ฝ่าาเพคะ”
หัวใจของหลี่ลั่วกระตุกวูบ กระทั่งมือทั้งสองสั่นสะท้าน สร้อยประคำพระยูไลนั้นบิดาผู้ให้กำเนิดเขาได้ทิ้งไว้ให้เขา เหตุไฉนคนผู้นี้กลับมีอยู่ในมือเล่า?
เป็เื่เจตนาใช่หรือไม่? หรือว่าเป็เื่บังเอิญ? พุ่งเข้ามาหาตน หรือตนอ่อนไหวเกินไป? หลี่ลั่วคิดไม่ถึง เขาได้ยินเพียงเสียงเต้นรัวของหัวใจที่เต้นเร็วขึ้นเรื่อยๆ
ต่อมา เขาเห็นนักปราชญ์หญิงอวิ๋นหลัวนำสร้อยประคำพระยูไลออกมา สีเหมือนสร้อยประคำสายนั้นของตน แต่ขนาดเล็กใหญ่กลับไม่เหมือนกัน สร้อยประคำสายนั้นของตนมีลูกประคำสีแดงเก้าสิบเก้าเม็ด แต่สร้อยประคำของนักปราชญ์หญิงอวิ๋นหลัวนั้น ลูกประคำเม็ดใหญ่ยิ่งนัก
นี่...ไม่ใช่ของปลอมแน่นะ
“ข้าได้ยินว่าลูกประคำของพระยูไลนั้นเม็ดค่อนข้างเล็ก เป็เม็ดเล็กๆ ที่ขึ้นอยู่บนต้นไม้ชนิดหนึ่ง มีกลิ่นหอมที่เหมือนมีเหมือนไม่มี มีประโยชน์มากมายนัก หนึ่งในประโยชน์นั้นก็คือ หากมีลูกประคำพระยูไลแล้วสามารถป้องกันพิษร้อยชนิดได้” หลี่ลั่วกล่าว
นักปราชญ์หญิงอวิ๋นหลัวมองหลี่ลั่ว “เสี่ยวโหวเหฺยช่างมีความรู้กว้างขวางยิ่งนัก มิผิด ที่ท่านพูดเป็หนึ่งในลูกประคำพระยูไล ที่จริงแล้วนั้นทุกครั้งที่ปรากฏลูกประคำพระยูไล ล้วนมีสองสายทั้งสิ้น สายหนึ่งใหญ่ สายหนึ่งเล็ก และยังถูกเรียกว่าสร้อยประคำแม่ลูก ลูกประคำเม็ดเล็กนั้นออกมาจากลูกประคำเม็ดใหญ่ ดังนั้นรูของลูกประคำเม็ดใหญ่จึงใหญ่มาก ต้องใช้เชือกเส้นใหญ่มากๆ ถึงจะร้อยมันไว้ด้วยกัน”
จังหวะการเต้นของหัวใจหลี่ลั่วเร็วขึ้นเรื่อยๆ เขาลุกขึ้น “ฝ่าา ให้กระหม่อมตรวจดูสักนิดก่อนจะได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” หลี่ลั่วนั้นถือได้ว่าเข้าใจจ้าวหนิงฮ่องเต้ระดับหนึ่ง ด้วยเหตุที่จ้าวหนิงฮ่องเต้ถือกำเนิดจากขุนนางฝ่ายบู๊ จึงไม่ได้ให้ถือเื่กฎเกณฑ์มากมายนัก และเขาอายุยังน้อย ไม่ได้ทำให้ผู้อื่นรู้สึกว่า้ายึดอำนาจหรือทำอันใดเพื่อโอ้อวด
“ย่อมได้” จ้าวหนิงฮ่องเต้กล่าว “เ้าเป็ลูกศิษย์ของก่วงฉือไต้ซือ หากเ้าเห็นว่าเหมาะสมก็นำสร้อยประคำสายนี้ไปให้อาจารย์ของเ้าเถิด สร้อยประคำสายนั้นของก่วงฉือไต้ซือได้มอบให้กับเ้าแล้ว หากเขาจะสวดมนต์ย่อมไม่มีสร้อยลูกประคำไม่ได้”
เดิมทียังมีคนคิดว่าที่หลี่ลั่วจะเข้าไปดูสร้อยประคำพระยูไลก่อนนั้นช่างไร้กฎเกณฑ์ยิ่งนัก แต่เมื่อได้ยินจ้าวหนิงฮ่องเต้ตรัสว่าหลี่ลั่วเป็ลูกศิษย์ของก่วงฉือไต้ซือ เช่นนั้นทุกคนจึงไม่คิดอันใด
เมื่อยามที่ก่วงฉือไต้ซือรับหลี่ลั่วเป็ศิษย์นั้นพวกเขาอยู่ที่ชั้นหก และในเวลานั้นหลี่ลั่วหมดสติไป ดังนั้นขุนนางที่เหลืออยู่ข้างบนจึงมีไม่มาก ขุนนางจำนวนมากไม่รู้ว่าหลี่ลั่วเป็ศิษย์ของก่วงฉือไต้ซือวันนี้เอง
และจ้าวหนิงฮ่องเต้เคยได้ยินก่วงฉือไต้ซือพูดว่า หลี่ลั่วมีวาสนากับองค์พระพุทธเ้า
นักปราชญ์หญิงอวิ๋นหลัวยื่นสร้อยประคำพระยูไลมาให้เบื้องหน้าหลี่ลั่ว เมื่อหลี่ลั่วไปรับมานั้น มือสั่นสะท้านตลอดเวลา ความรู้สึกตื่นเต้นชนิดนี้ผู้อื่นไม่มีวันเข้าใจได้
ห้าปีก่อน บิดาผู้ให้กำเนิดเขาส่งเขาไปที่ซีเป่ย จากนั้นไม่ทราบชะตากรรมแน่ชัด เป็สถานการณ์เช่นใดหรือที่ทำให้คนผู้นั้นทอดทิ้งตนแล้วจากไป? หลี่ลั่วเชื่อว่าเขานั้นรักตนเป็แน่ ไม่เช่นนั้นคนผู้นั้นไฉนจึงส่งเขาให้มาอยู่ข้างกายหลี่ซวี่ ในเวลานั้นหลี่ซวี่ยังไม่ได้เป็จงหย่งโหว ซีเป่ยเป็ถิ่นของเขา ด้วยความสามารถของหลี่ซวี่ มีหรือจะคุ้มครองปกป้องเขาไม่ได้?
คนๆ หนึ่ง นอกเสียจากว่าไม่มีทางเลือกอื่น ไม่เช่นนั้นมีหรือจะทอดทิ้งลูกของตนเองได้ลงคอ และยังเป็ลูกที่อุ้มท้องมาเป็เวลาสิบเดือน
สร้อยประคำพระยูไล สายหนึ่งใหญ่และสายหนึ่งเล็ก เรียกได้อีกชื่อว่าสร้อยประคำแม่ลูก สายเล็กนั้นทิ้งไว้ให้ตน เช่นนั้นสายใหญ่นั้น ก็ควรจะอยู่ในมือของเขา เหตุไฉนจึงมาตกอยู่ในมือของนักปราชญ์หญิงอวิ๋นหลัวในเวลานี้ได้
รูของสร้อยประคำสายนี้นั้นหลี่ลั่วคุ้นเคยยิ่งนัก เขาใช้ปลายนิ้วลูบไล้รูของลูกประคำที่แวววับ ต่อให้ใช้เชือกหยาบเส้นใหญ่มาร้อยลูกประคำเหล่านี้เอาไว้ก็ยังคงมีช่องว่างเหลืออยู่
หลี่ลั่วถือมันเอาไว้ในมืออย่างหักใจไม่ได้ ลูกประคำสายนี้ เขาจะต้องได้มันมาอย่างแน่นอน หลี่ลั่วมีลางสังหรณ์ชนิดหนึ่ง เื่ของบิดาผู้ให้กำเนิดเขาจะต้องเกี่ยวพันกับสร้อยประคำสายนี้แน่ แต่เขาจะให้ผู้อื่นพบพิรุธในเวลานี้ไม่ได้ อย่างน้อยที่สุดเขาจะต้องชัดเจนเสียก่อนว่าเหตุไฉนนักปราชญ์หญิงอวิ๋นหลัวจึงได้มีสร้อยประคำสายนี้
หลี่ลั่วถือสร้อยประคำสายนั้นอย่างดี “ฝ่าา พรุ่งนี้เสี่ยวเฉินจะไปวัดก่วงเปย นำสร้อยประคำสายนี้มอบให้กับอาจารย์ อาจารย์จะต้องยินดีมากเป็แน่พ่ะย่ะค่ะ”
“ในเมื่อเป็เช่นนี้ เ้าก็เก็บเอาไว้เถิด” จ้าวหนิงฮ่องเต้ไม่ใส่ใจอันใด
แต่ทว่าผู้อื่นฟังแล้วลูกั์ตาแทบจะหลุดออกมา สร้อยประคำเส้นนี้สามารถป้องกันพิษได้ร้อยชนิด มอบให้กับหลี่เสี่ยวโหวเหฺยอย่างนี้เองหรือไร ไม่ใช่สิ เป็การมอบให้แก่ก่วงฉือไต้ซือ? แต่เมื่อคิดถึงก่วงฉือไต้ซือ ทุกคนจึงได้แต่ถอนหายใจในใจ นี่เป็เื่ช่วยไม่ได้ เทียบไม่ได้จริงๆ
แคว้นที่มาอวยพรในครั้งนี้มีทั้งหมดสี่แคว้นด้วยกัน นอกจากแคว้นฉวี่หลง แคว้นหนานหลิง และแคว้นเสียงอวิ๋นแล้ว ก็ยังมีแคว้นหลัวเหมินอีกแห่งหนึ่ง รูปร่างหน้าตาของคนแคว้นหลัวเหมินนั้นตระการตายิ่งนัก คนสูงใหญ่ม้าตัวโต ต่อให้นั่งลงก็ยังสูงกว่าผู้อื่นอยู่ดี ผู้ชายแคว้นจีนรูปร่างไม่สมดุลนัก ที่สูงก็สูงมาก ที่เตี้ยก็เตี้ยไปเลย และต่อให้สูงก็อยู่ในขอบข่ายผอมบางเป็ส่วนใหญ่ แต่ทว่าผู้ชายของแคว้นหลัวเหมินมีความสูงประมาณหนึ่งร้อยเก้าสิบห้าถึงสองร้อยเิเ จึงจะถือได้ว่าสูงใหญ่จริงๆ
“แคว้นหลัวเหมินถวายพระพรฝ่าา” ชายหนุ่มที่เอ่ยขึ้นนั้นน้ำเสียงใหญ่ดังกังวาน มีพลังยิ่งนัก ทั้งยังยืนหลังเหยียดตรงราวกับปากกา นี่คือทหาร หากว่ากันตามกฎระเบียบในสมัยโบราณ นี่เป็คนที่ออกมาจากค่ายทหาร
“แคว้นหลัวเหมินช่างมีใจยิ่งแล้ว” จ้าวหนิงฮ่องเต้หันไปตรัสกับองค์ชายใหญ่ “เ้าใหญ่ เ้าดื่มเหล้ากับทูตแคว้นหลัวเหมินแทนเจิ้น” คนหนึ่งเป็ทูต อีกคนเป็ฮ่องเต้ จ้าวหนิงฮ่องเต้ย่อมไม่ดื่มกับเขา
“พ่ะย่ะค่ะ” องค์ชายใหญ่ก้าวขึ้นไปเพื่อชนแก้วกับทูตแคว้นหลัวเหมิน
ดื่มเหล้าแล้ว ทูตจากแคว้นหลัวเหมินกล่าวว่า “ฝ่าา ในแคว้นหลัวเหมินของเรานั้นนับถือวีรบุรุษผู้กล้า ได้ยินมานานแล้วว่าแคว้นจีนนั้นผู้กล้ามากมาย ไม่สู้พวกเรามาแลกเปลี่ยนฝีมือกันสักหน่อยดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
แคว้นหลัวเหมินเป็เพียงแคว้นเล็กๆ แคว้นจีนเป็แคว้นใหญ่ หากจ้าวหนิงฮ่องเต้ปฏิเสธ แคว้นจีนจะเอาหน้าไปไหว้ที่ไหน? หากรับปาก...ชัดเจนยิ่งแล้วว่าแคว้นหลัวเหมินได้ตรียมการกันมาก่อน เช่นนั้นพวกเขาเตรียมสิ่งใดมาเล่า? หากจ้าวหนิงฮ่องเต้ตอบรับการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในครั้งนี้ แคว้นจีนจะแพ้ไม่ได้
“เป็อันใดไปเล่า แคว้นจีนไม่กล้าหรือไร?” ทูตแคว้นหลัวเหมินกล่าว
“เพียงแค่แลกเปลี่ยนประสบการณ์ใช่หรือไม่” องค์ชายรองเอ่ยถามขึ้นมา
“ย่อมมิใช่” ทูตจากแคว้นหลัวเหมินกล่าวอีก “หากเป็เพียงการแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันเพียงอย่างเดียวจะมีความหมายอันใด”
“เ้าจะนำอะไรมาเดิมพันเล่า?” องค์ชายสามเอ่ยปาก
ต่อให้องค์ชายอีกสองคนไม่ถาม ทูตแคว้นหลัวเหมินก็จะเอ่ยออกมาเองอยู่ดี การวางเดิมพันต่างหากที่เป็จุดประสงค์แรกของเขา ทูตแคว้นหลัวเหมินยิ้มออกแล้ว “การแข่งขันห้าครั้ง ใช้เมืองมาเป็เดิมพันแพ้ชนะดีหรือไม่?”
ทันทีที่เขาพูดจบ ครู่เดียวคนทั้งโถงงานเลี้ยงพลันเงียบกริบ
[1] เซี่ยนจู่ (县主) หนึ่งในตำแหน่ง ท่านหญิง หากแต่เป็ตำแหน่งเชื้อพระวงศ์หญิงลำดับที่ 4 เรียกได้ว่าเป็พระธิดาของเ้านายชั้นจวินอ๋อง (จวินอ๋องหรือจุนอ๋อง คือเชื้อพระวงศ์ที่มีตำแหน่งรองลงมาจากชินอ๋อง) กับพระชายาเอก
[2] เสียงอวิ๋น (祥云) มีความหมายว่า มีเมฆมาก คำว่า "เสียง" ในที่นี้มีความหมายถึงโชคดี เป็นิมิตหมายอันดี ได้ด้วย ส่วน "อวิ๋น" มีความหมายว่า เมฆ
[2] เซิ่งหนี่ว์ (圣女) หรือนักบุญหญิง หรือหญิงสาวศักดิ์สิทธิ์ ในบางบริบทสามารถหมายถึงธิดาศักดิ์สิทธิ์ของศาสนานั้นๆ ได้เช่นกัน