กู้ฉีคาดคะเนอยู่ในใจ
เด็กสาวผู้นั้นในดวงตาเ้าเล่ห์และเฉียบคม และบางครั้งยังมีความเหินห่างและไม่แยแสได้ปรากฎวาบผ่าน ไปจนกระทั่งมีความรู้สึกเมินเฉยอย่างหนึ่งที่มองสิ่งมีชีวิตทั้งหมดด้วยหางตาอย่างลึกลับอีกด้วย
“อื้ม แค่ถามอะไรนิดหน่อย ไม่ได้ทำให้ข้าลำบากใจเลย” ในตอนนั้นท่านลุงใหญ่กับท่านพ่อของนางอยู่ด้วย พวกเขาย่อมไม่กล้าทำให้นางลำบากใจแน่นอน
“…ตอนเ้าพาน้องสาวเจินจูไปงานเลี้ยง นางได้พาเสี่ยวเฮยไปด้วยหรือไม่?” กู้ฉีถามต่อ
โหยวอวี่เวยมองเขาด้วยความงงงวยและส่ายหน้า “ข้าไม่เห็นเลยนะ มีแต่ผิงอันที่ตามไปด้วย”
ผิงอันไปด้วย? กู้ฉีเกิดความคิดขึ้นในใจ เขาเป็คนพาเสี่ยวเฮยไปด้วยกระมัง
สองพี่น้องนี่ช่างมีความกล้าหาญยิ่งใหญ่จริงๆ กู้ฉีกลั้นความรู้สึกที่อยากประคองศีรษะไว้ โชคดีที่ตอนนี้พวกนางอยู่จวนของเจิ้นกั๋วกง ผู้ใดก็ล้วนจัดลำดับการสอบสวนไปไม่ถึงที่นั่น
โหยวอวี่เวยชำเลืองมองสีหน้าที่ปรากฏอารมณ์เปลี่ยนไปมาไม่แน่นอนของเขา จู่ๆ ภายในใจของนางก็กระวนกระวายขึ้น จื่อยู่รั้งอยู่นอกห้องส่วนตัว ยามนี้ที่นี่มีเพียงนางกับเขาสองคน
นางขดนิ้วมือพันกันไปมา ใบหน้าแดงเรื่อขึ้น พลางเอ่ยปากถามอย่างตะกุกตะกักเล็กน้อย “…พี่ห้า ท่านทราบเื่นั้น… เื่ของพวกเราหรือไม่?”
กู้ฉีชะงัก เข้าใจได้ในทันที ทันใดนั้นความรู้สึกภายในใจสลับซับซ้อนยุ่งเหยิงขึ้นเล็กน้อย
เขาเงยหน้ามองโหยวอวี่เวย วันนี้นางสวมเสื้อกันหนาวสองชั้นสีฟ้าอมเขียวอ่อนปักลวดลายดอกบัว ้าเย็บขนพังพอนสีขาวบริสุทธิ์ เป็สีที่เรียบง่ายและสง่างามช่วยขับใบหน้างดงามของนางให้สว่างสดใสดูนุ่มนวลเด่นขึ้น
บนศีรษะปักจื่อติงเซียง [1] ประดับเม็ดอัญมณีทับทิมแดง ที่ใบหูมีต่างหูจากชุดเดียวกันห้อยอยู่ แม้เรียบง่ายแต่ประณีตอย่างมาก ดวงตารูปผลซิ่งคู่งามกะพริบถี่ มองเขาราวกับลูกกวางน้อยขี้ขลาด หัวใจกู้ฉีอ่อนยวบลงทันที
“อื้ม ข้าทราบดี” น้ำเสียงอ่อนโยน แฝงไว้ด้วยความขบขัน
เบ้าตาโหยวอวี่เวยแดงรื้นขึ้น น้ำตาเอ่อล้นขึ้นอย่างรวดเร็ว เวลาไม่นานได้ก่อตัวกลายเป็หยดน้ำตาเม็ดโตกลิ้งหล่นลงมาข้างแก้ม
กู้ฉีใ รีบยืนขึ้นและเดินเข้ามาข้างกายนาง ท่าทางเงอะงะคิดอยากเช็ดน้ำตาให้
“ก็ดีๆ อยู่ไม่ใช่หรือ ทำไมถึงร้องไห้ขึ้นมาได้?”
เมื่อเขาปลอบ น้ำตาของนางก็ยิ่งไหลลงไม่ขาดสายราวกับม่านน้ำตาก็ไม่ปาน
กู้ฉีตื่นตระหนกไม่รู้จะทำอย่างไร จึงฉวยผ้าเช็ดหน้าในมือของนางมาแล้วเช็ดน้ำตาให้
“รีบหยุดร้องเถอะ อีกเดี๋ยวเ้าตาบวมกลับบ้านไป ท่านแม่เ้าจะดุข้าเอา”
“พรืด” คำพูดของเขายับยั้งน้ำตาของนางได้สำเร็จ นางรับเอาผ้าเช็ดหน้าคืนมาและรีบเช็ดน้ำตาตัวเอง
“พี่ห้า ข้าแค่ดีใจ อื้ม... ดีใจจริงๆ ดีใจมากเกินไปแล้ว เลยร้องไห้ออกมา”
กู้ฉีมองใบหน้าเล็กที่ทั้งร้องไห้ทั้งยิ้มกว้างของนาง พลางถอนหายใจหนึ่งเฮือก ช่างเป็แม่นางน้อยเสียจริงๆ
เขาเข้าไปใกล้นางแล้วยึดนางเข้ามาอยู่ในอ้อมอกเบาๆ
ใบหน้าโหยวอวี่เวยเริ่มแดงลุกลามไปทั่วอีกครั้ง เบ้าตาเริ่มเอ่อล้นน้ำตาขึ้นมาอีก
มือของนางโอบไปตรง่เอวด้านหลังที่เหยียดตรงของเขาอย่างสั่นระริก
ความดีใจและความสุขท่วมท้นอยู่เต็มหัวใจ
...ถังชิงอวี่เดินอยู่บนพื้นถนนอิฐสีฟ้าที่กว้างขวางของจวนเจิ้นกั๋วกง ตื่นเต้นและดีใจอยู่ข้างในอย่างมาก
นี่เป็ครั้งที่สองที่นางตามผู้เป็มารดามาจวนกั๋วกง
ตอนที่มาครั้งก่อนนางอายุเพียงสิบปีเอง พอเข้าประตูจวนกั๋วกงมาก็ถูกความกว้างขวางและมีสง่าทำให้ใจนหัวใจดวงน้อยเต้นตึกตัก
ยามนั้น มารดาพาพี่หญิงรอง พี่หญิงสาม น้องชายคนเล็กและนางมาที่นี่
ครั้งนี้มารดากลับพานางมาเพียงผู้เดียว ถังชิงอวี่แอบดีใจอยู่ข้างในเงียบๆ กล่าวถึงซื่อจื่อเซียวจวิ้นของจวนกั๋วกงขึ้นมา ก็นับได้ว่าเป็ลูกผู้พี่ผู้ชายของนาง หรือว่า…
มุมปากของถังชิงอวี่ยกขึ้นอย่างกลั้นไม่อยู่
นางตามอยู่ด้านหลังผู้เป็มารดาอย่างช้าๆ เข้าไปยังลานฮ่าวอู๋
ฮูหยินกั๋วกงต้อนรับพวกนางอยู่ห้องต้อนรับแขก
“ไอ๊หยา ท่านพี่ นี่คงเป็ชิงอวี่สินะ ไม่ได้เจอกันไม่กี่ปีโตเป็สาวแล้ว” เถาซื่อยิ้มแล้วมองไปทางถังชิงอวี่
“ชิงอวี่คารวะฮูหยินกั๋วกงเ้าค่ะ” ถังชิงอวี่รีบก้าวไปด้านหน้าทำความเคารพ
“เ้าเด็กคนนี้นี่ เหตุใดทำเป็แปลกหน้าไปได้ ต้องเรียกท่านน้าสิ” เถาซื่อสังเกตนางขึ้นอย่างละเอียด คิ้วบางดวงตาเป็รูปผลซิ่ง ผิวขาวริมฝีปากแดง รูปลักษณ์ภายนอกไม่แย่ แสดงออกอย่างเหนียมอาย แฝงไว้ด้วยความอ่อนแอเล็กน้อย
ขณะกล่าว นางก็ปลดกำไลหยกขาวชิ้นหนึ่งที่ข้อมือออกมา แล้วสวมเข้าบนข้อมือของถังชิงอวี่
“นี่เป็ของขวัญพบหน้าที่น้ามอบให้เ้า”
ใบหน้าถังชิงอวี่ประหลาดใจขึ้นทันทีเพราะได้รับสิ่งของอย่างไม่คาดฝัน สายตากวาดผ่านกำไลหยกสีขาวบนข้อมือ ชิ้นหยกโปร่งแสง ตัวหยกชุ่มชื้น ไม่มีตำหนิด่างพร้อยเลยสักนิด ท่าทางคงทำจากชิ้นหยกขาวชั้นดีที่สุดเป็แน่
“ยังไม่ขอบคุณท่านน้าเ้าอีก” ฮูหยินสกุลถังทนมองท่าทางเหมือนไม่เคยเห็นของนางไม่ได้ จึงเอ่ยเตือนนางด้วยใบหน้าเย็นเยียบ
ถังชิงอวี่รีบย่อกายพร้อมกล่าวขอบคุณติดๆ กัน
“เด็กดี มา... เรามานั่งแล้วคุยกันดีกว่า” เถาซื่อยิ้มและกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
เมื่อสามคนนั่งลง เยว่หลันก็ยกน้ำชาและของว่างขึ้นโต๊ะ
“เ้าให้ข้าพาชิงอวี่มา เพื่ออะไรกัน?” ฮูหยินถังถามเข้าตรงประเด็น ไม่กี่วันก่อนนางได้รับความไม่พอใจจากหญิงชราสกุลเถา ตอนนี้ยังจุกอยู่ในอกอยู่เลย น้ำเสียงย่อมไม่ดีเป็ธรรมดา
เถาซื่อยิ้มขึ้น ลูกผู้พี่ของนางผู้นี้นิสัยแข็งกร้าวมากมาั้แ่เด็ก ท่านแม่ของตนทำให้นางอารมณ์ไม่ดี หากนางสามารถมีสีหน้าที่ดีได้สิจึงจะแปลก
“ไม่มีอะไรก็มาจวนกั๋วกงเดินเล่นสักหน่อยไม่ได้หรือ ท่านพี่ กี่ปีแล้วที่ท่านไม่ได้พาพวกเด็กๆ มาเยี่ยมข้าที่เป็น้าเลย”
มือที่ยื่นออกมาย่อมไม่ตบหน้าคนที่ส่งยิ้มให้ [2] ฮูหยินถังไม่เหมาะให้ทำหน้าบึ้งตึงต่อไปจึงฝืนฉีกยิ้มขึ้น “ที่บ้านมีเด็กมากมาย เื่วุ่นวายย่อมมากไปด้วย เลยไม่ได้พามารบกวนเ้า”
ความเป็จริงฮูหยินถังไม่ชอบถูกคนหยิบยกมาเปรียบเทียบกับนาง ลูกพี่ลูกน้องผู้หญิงอายุใกล้เคียงกัน มักถูกคนข้างๆ หยิบยกไปเปรียบเทียบกันเสมอ โดยเฉพาะคนที่ชอบนินทาว่าร้ายจำนวนหนึ่ง เดิมทีความสนิทสนมรักใคร่ระหว่างสองคนเมื่อครั้งอยู่ในห้องหับสตรีก็ไม่ได้ดีอะไรมากมายอยู่แล้ว หลังนางแต่งให้กับเจิ้นกั๋วกงก็น้อยครั้งมากที่ฮูหยินถังจะมาหาถึงบ้านสร้างสัมพันธ์ด้วย เพราะกลัวคนอื่นจะนินทาว่าตนเกาะครอบครัวนางเพื่อปีนขึ้นไปในจุดที่สูงขึ้น
เถาซื่อคิดถึงการฝากฝังของมารดาขึ้น จึงปล่อยวางท่าทางให้ผ่อนคลายลง แล้วคุยเื่ครอบครัวทั่วไปกับนาง
ขณะที่ทั้งสองคนพูดคุยกัน ถังชิงอวี่ก้มหน้าลงด้วยความขวยเขินและขลาดกลัว มือของนางเก็บอยู่ในแขนเสื้อ แอบลูบคลำกำไลหยกขาวบนข้อมือ ััอุ่นชื้น ทำให้นางจิตใจเบิกบานมีความสุขอย่างมาก การตามท่านแม่มาครั้งนี้ช่างคุ้มค่ายิ่งนัก เพียงกำไลชิ้นนี้อย่างเดียวก็สามารถทำให้พี่สาวน้องสาวสองคนของนางอิจฉาจนสิ้นสติได้แล้ว
เถาซื่อใส่ใจถังชิงอวี่อย่างเงียบๆ อยู่ตลอด เห็นนางท่าทางเขินอาย เอาแต่ก้มศีรษะไม่พูดจา ในใจไม่ชอบเล็กน้อย สตรีสุภาพสงบเสงี่ยมก็ค่อนข้างดีอยู่แต่เกินไปก็ดูขี้ขลาดยิ่งนัก
“ชิงอวี่ เหตุใดไม่พูดไม่จาเลย ฟังพวกน้าคุยกันแล้วรู้สึกน่าเบื่อใช่หรือไม่ เฮ้อ น่าเสียดาย น้ามีลูกผู้พี่ของเ้าเป็ลูกชายเพียงคนเดียว หากมีลูกสาวจะได้ให้นางต้อนรับแม่นางน้อยเช่นเ้าแล้ว” เถาซื่อทอดถอนใจอย่างจริงจัง นางหวังเป็อย่างมากว่าจะสามารถให้กำเนิดบุตรสาวได้อีกหนึ่งคน
“ลูกสาวมีอะไรดีกัน แต่ละคนล้วนเป็เ้าหนี้หน้าเื [3] ทั้งนั้น เ้าน่ะมีจวิ้นเอ่อร์แล้ว อย่าไปโหยหาอะไรเหล่านี้เลย” ฮูหยินถังใบหน้าเรียบนิ่ง ชำเลืองมองบุตรคนที่สี่ที่แสดงท่าทางน้อยเนื้อต่ำใจ เหอะ... ไม่รู้ว่าชิงอวี่ผู้นี้ไปเรียนรู้มาจากผู้ใด มักไม่ทันไรก็เอาแต่ทำท่าทางน้อยใจน้ำตาจะไหลอยู่เป็ประจำ มีชีวิตอยู่ราวกับผู้คนล้วนปฏิบัติต่อนางไม่ยุติธรรมอย่างไรอย่างนั้น
ฮูหยินถังทนมองท่าทางเช่นนี้ไม่ได้มากที่สุด หันไปถลึงตาใส่นางทีหนึ่งราวกับเป็การเตือน แล้วจึงหันหน้าไปพูดคุยกับเถาซื่อต่อ
สองคนคุยกันอีกสักพัก เถาซื่อจึงส่งสัญญาณให้เยว่หลันพาถังชิงอวี่ไปชมดอกไม้ที่ห้องเพาะเลี้ยงบุปผา
ถังชิงอวี่ดวงตาเป็ประกาย ห้องเพาะบุปผาของจวนเจิ้นกั๋วกงงั้นหรือ หากนางได้ไปเยี่ยมเยือน พอกลับไปก็สามารถโอ้อวดต่อหน้าพี่น้องได้สักหน่อยพอดี ด้วยเหตุนี้นางจึงตามเยว่หลันไปด้วยความดีใจร่าเริง
จนกระทั่งนางจากไป ฮูหยินถังจึงเอ่ยปากขึ้น “แยกคนออกไปแล้ว มีอะไรก็พูดมาเถอะ”
น้ำเสียงเรียบนิ่งมาก เถาซื่ออดยิ้มเจื่อนขึ้นอย่างเสียมิได้
“ท่านพี่ ได้ยินท่านแม่กล่าวว่า ท่านอยากมอบชิงอวี่ให้เหยียนเอ่อร์?”
“…มารดาเ้าไม่ใช่ว่าปฏิเสธแล้วหรือ? ยังมีอะไรต้องคุยอีก ข้าก็ไม่ได้หน้าด้านหน้าทนว่าต้องให้ชิงอวี่ไปอยู่ที่จวนสกุลเถาให้ได้เสียหน่อย” กล่าวเื่นี้ขึ้นมา น้ำเสียงของฮูหยินถังแย่ยิ่งขึ้น ท่านป้าผู้นั้นของนาง แต่ไหนแต่ไรมารังเกียจความจนชื่นชอบความมั่งคั่งร่ำรวย ให้ความสำคัญกับฐานะทางสังคม ลูกผู้น้องผู้ชายของนางเป็เพียงขุนนางขั้นสี่ ที่อาศัยฐานะเน่ยเก๋อเสวียซื่อของท่านลุงเท่านั้น กลับไม่เห็นพวกนางอยู่ในสายตาเสียนี่ ทำเอานางโมโหนัก ยามนั้นจึงสะบัดแขนเสื้อจากมาเสียเลย
“แหะๆ ท่านพี่ ท่านน่าจะรู้ว่าท่านแม่ข้าน่ะ ชินกับการปากหนักไม่รู้จักพูดจา ภายหลังนางได้มาหารือกับท่านพ่อข้า จึงรู้สึกว่าชิงอวี่คู่กับเหยียนเอ่อร์ช่างเหมาะสมอย่างยิ่ง ท่านดูสิเื่นี้ต้องให้ท่านพ่อข้าพูดจึงจะเป็คำไหนคำนั้นสิใช่ไหมล่ะ” เถาซื่อรีบทำหน้าที่สานสัมพันธ์ขึ้น ยิ้มและกู้หน้าให้ผู้เป็มารดา
ทว่าฮูหยินถังกลับไม่สนใจ บุตรสาวของนางก็ไม่ใช่ว่าไม่มีคนมาขอแต่งงาน เดิมทีอยากให้แต่งเข้าบ้านท่านป้าของนาง เพราะคิดว่าไม่ต้องเป็กังวลอะไรมาก การวางตัวของเหยียนเอ่อร์ทื่อๆ เล็กน้อย เหมือนผู้เป็บิดาของเขาไม่มีผิด หนทางการเป็ขุนนางในวันข้างหน้า คาดว่าก็ไม่มีทางมีความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่อะไร สิ่งที่นางพึ่งพอใจก็คือเขาอุปนิสัยใจเย็นและซื่อตรง ทั้งภายในลานของพวกเขายังไม่มีเื่ฮูหยินกับอนุต่อสู้แย่งชิงความโปรดปรานอย่างวุ่นวายเ่าั้ด้วย
อุปนิสัยของถังชิงอวี่นางรู้ดี ดังนั้นเลยอยากหาคนที่ทำให้สบายใจได้ และเป็คนที่รู้จักพื้นเพชัดแจ้งเป็อย่างดีสักหน่อยให้นาง แม้ความสำเร็จของเหยียนเอ่อร์ในวันข้างหน้าอาจดูไม่เท่าไร แต่เขามีท่านปู่เป็เน่ยเก๋อเสวียซื่อ มีอาเป็ฮูหยินกั๋วกง ต่อให้แย่แค่ไหนก็ไม่แย่สักเท่าไรหรอก
แต่ในเมื่อถูกท่านป้าของนางทำให้อับอายขายหน้า นางจึงโมโหจนนอนหลับไม่สุขใจอยู่ทุกวัน
จนกระทั่งนางเริ่มมองหาครอบครัวถัดไปให้ถังชิงอวี่ พวกนางกลับะโออกมาเสียนี่
เหอะ... เื่ไม่ได้ง่ายดายหรอกนะ
“เช่นนั้นไม่ได้หรอก ข้าเลือกคนถัดไปให้ชิงอวี่แล้ว บุตรชายคนที่สามของหงหลูซื่อชิง [4] ปีนี้อายุสิบหกปี อายุกำลังเหมาะสม ทั้งยังผ่านการสอบบัณฑิตเด็กมีฐานะเป็ซิ่วฉายอย่างเป็ทางการ ข้าได้คุยกับฮูหยินของครอบครัวเขาแล้ว เหลือเพียงหาเวลาไปพบกันสักหน่อยเท่านั้น” ฮูหยินถังทำท่าทางเชิดสูงขึ้น
เถาซื่อจะดูไม่ออกเสียที่ไหน แต่จะทำอย่างไรได้ ผู้ใดให้ท่านแม่ล่วงเกินคนไปเช่นนั้นล่ะ
ช่วยไม่ได้ นางทำได้เพียงขออภัยแทนท่านแม่อีกครั้งก็แล้วกัน
สองคนพูดคุยฉุดรั้งกันไปมาอยู่ในห้อง
...ถังชิงอวี่อยู่ในห้องเพาะบุปผากับเยว่หลันไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ชมพืชดอกไม้สายพันธุ์โด่งดังและล้ำค่าจำนวนมากที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน และออกจากห้องเพาะบุปผาด้วยจิตใจที่เปี่ยมไปด้วยความอิ่มเอมใจ
พวกนางเดินออกมาจากห้องเพาะบุปผาแล้วข้ามทางเดิน เดินผ่านส่วนที่เชื่อมต่อกันด้วยทางเดินที่ตกแต่งอย่างสวยงาม กองหิมะทับทมบนทางเดินล้วนกำจัดออกไปอย่างสะอาด แต่หอศาลาและูเาเทียมยังคงถูกปกคลุมอยู่ภายใต้หิมะขาวดังเดิม
ถังชิงอวี่มองซ้ายแลขวาด้วยความสนใจอย่างยิ่ง หาได้ยากที่จะมาจวนของเจิ้นกั๋วกงสักรอบ นางต้องดูให้มากหน่อยพอกลับไปจะได้หยิบมาเป็หัวข้อเย้ยพวกนางได้
ขณะที่เดินผ่านสะพานหินแห่งหนึ่ง ถังชิงอวี่ถูกเงากายที่ปรากฏผ่านไปด้านนอกประตูโค้งจากที่ไกลๆ ดึงดูดเข้า นางหยุดฝีเท้าลงทันที
่นี้นางตาลายไปแล้วใช่หรือไม่ เหตุใดจึงเห็นเงากายของหลัวจิ่งอยู่ในจวนเจิ้นกั๋วกงได้ ทั้งบนกายของเขายังพาดเสื้อคลุมสีดำปักขนสุนัขจิ้งจอกเงินตัวใหญ่ด้วย ใต้ฝ่าเท้าย่ำเดินอยู่บนรองเท้าที่ยาวขึ้นถึงหน้าแข้งเย็บจากหนังแกะสีดำเสริมพื้นสูงขึ้น เส้นผมทั้งศีรษะดำสนิทมัดเป็ช่อยกสูง คนทั้งกายสง่างามองอาจและดูสูงศักดิ์ เห็นได้ชัดว่าดูโดดเด่นไม่ธรรมดา
“คุณหนู ทำไมไม่เดินต่อหรือเ้าคะ?” เยว่หลันหันศีรษะกลับมายิ้มและถามขึ้น
ถังชิงอวี่มองประตูโค้งที่ว่างเปล่าไร้คน บนใบหน้าประดับรอยยิ้มไร้เดียงสาขึ้น “พี่เยว่หลัน ตรงนั้นเป็เขตที่พักของผู้ใดกันหรือ? ดูแล้วงดงามมีสง่ายิ่งนัก”
“เรียนคุณหนู ทางนั้นคือลานอันหวา เป็บ้านรับแขกเ้าค่ะ” เยว่หลันตอบด้วยความระมัดระวัง
“อ้อ แล้วที่นั่นมีแขกพักอยู่หรือไม่?” นางถามได้รีบร้อนไปหน่อย
เยว่หลันเงยหน้าชำเลืองมองนางปราดหนึ่ง “มีแขกสตรีอาศัยอยู่เ้าค่ะ”
แขกสตรี? ไม่ใช่สิ เช่นนั้นนางจะเห็นเงากายของหลัวจิ่งได้อย่างไร หรือนางตาลายกัน? หรือ่กลางวันมีปัญหาที่ยังแก้ไม่ตก พอตอนกลางคืนก็เก็บเอาไปฝันถึง?
ไม่ๆ นางดูไม่ผิด นั่นเป็หลัวจิ่ง รูปร่างหน้าตารูปงามโดดเด่นไม่ธรรมดาปานนั้น นางจะมองผิดได้อย่างไร
เชิงอรรถ
[1] จื่อติงเซียง คือ ดอกไลแลค หรืออีกชื่อคือ ดอกไซรินยา
[2] มือที่ยื่นออกมาย่อมไม่ตบหน้าคนที่ส่งยิ้มให้ หมายความว่า ถ้าทำผิดแล้วยอมรับผิดแต่โดยดี อีกฝ่ายย่อมไม่อาจใจแข็งทำอะไรรุนแรง
[3] เ้าหนี้หน้าเื คือ เป็คำเรียกบุคคลที่สองหรือสาม ในเชิงความหมายว่าคนผู้นั้นแบมือขอเงินจากเราอยู่ตลอด มีคนแบ่งประเภทไว้สามอย่าง ได้แก่ 1. พ่อแม่ที่แบมือขอเงินลูก 2. ลูกที่แบมือขอเงินพ่อแม่ 3. ขุ่นเคืองหรือคับข้องใจที่คนๆ นี้มาเป็ลูก
[4] หงหลูซื่อชิง คือ ขุนนางที่ทำหน้าที่ต้อนรับแขกที่เป็เ้าผู้ของแคว้นหัวเมือง ตลอดจนชนเผ่าต่างๆ และคณะทูต เป็ผู้แนะนำพิธีการขั้นตอนของราชสำนักให้ทราบ เพื่อความถูกต้องในการปฏิบัติ