บทที่ 6 เกียรติยศของบัณฑิต และคมดาบของพ่อค้า
ภายในร้าน...บรรยากาศแตกต่างจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง
พนักงานทั้งห้าคนในชุดทำงานสีน้ำเงินเข้มที่ดูสะอาดสะอ้านและทะมัดทะแมง ยืนเข้าแถวเรียงหนึ่งด้วยท่าทีสงบนิ่งแต่แฝงไปด้วยความตื่นเต้นระคนประหม่า พวกเขาไม่ใช่กลุ่มคนี้เีที่รอวันเจ๊งอีกต่อไปแล้ว ตลอดสามวันที่ผ่านมา พวกเขาถูกไป๋ฟางซินเคี่ยวกรำราวกับทหารฝึกใหม่ ทั้งมารยาท การบริการ และที่สำคัญที่สุดคือจิติญญาของ "ทีม"
ผู้จัดการซุนสูดหายใจลึก เขามองออกไปนอกประตูเห็นฝูงชนมหาศาลแล้วอดที่จะขาสั่นไม่ได้ "พระโพธิสัตว์ช่วย! ข้าเปิดโรงน้ำชามาสามสิบปี ไม่เคยเห็นภาพแบบนี้มาก่อนเลย! นี่เราจะขายเครื่องดื่มหรือจะแจกของกันแน่! แล้วถ้าเกิดเื่วุ่นวายขึ้นมาจะทำอย่างไร? เถ้าแก่เนี้ย...นางจะรับมือไหวจริงๆ หรือ?"
ราวกับอ่านใจเขาออก ไป๋ฟางซินที่ยืนอยู่หัวแถวกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉียบขาด "ไม่ต้องตื่นตระหนก ทุกอย่างอยู่ในแผนการของข้าแล้ว"
นางหันมาเผชิญหน้ากับทีมของนาง "จงจำสิ่งที่ข้าสอนไว้ให้ดี! อาซื่อ เ้าอยู่หน้าประตู คอยจัดระเบียบลูกค้าและแจกป้ายไม้ไผ่หนึ่งร้อยอันแรก ใครไม่มีป้ายห้ามเข้ามาในร้านเด็ดขาด! เสี่ยวหลี่ เ้าดูแลการรับเงินและออกใบเสร็จ! ผู้จัดการซุน ท่านควบคุมภาพรวมในร้านและดูแลการเสิร์ฟ! ส่วนอีกสองคนดูแลในครัว ห้ามทำพลาดแม้แต่ขั้นตอนเดียว! ความเร็ว! ความแม่นยำ! และรอยยิ้ม! คือหัวใจสำคัญในวันนี้! พวกเ้าทำได้หรือไม่!"
"ทำได้ขอรับ เถ้าแก่เนี้ย!" เสียงขานรับดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียงและหนักแน่น ดวงตาของทุกคนลุกโชนไปด้วยไฟแห่งความมุ่งมั่น
ไป๋ฟางซินพยักหน้าอย่างพึงพอใจ "ดีมาก! เปิดประตูได้!"
สิ้นเสียงของนาง ประตูไม้บานใหญ่ของโรงน้ำชาสดับวสันต์ก็ถูกเปิดออกช้าๆ เผยให้เห็นภายในที่สว่างไสวและสะอาดตาจนทุกคนที่รออยู่ต้องอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ
อาซื่อก้าวออกไปยืนหน้าประตูด้วยท่าทีองอาจ "เรียนคุณชายคุณหนูทุกท่าน! โรงน้ำชาสดับวสันต์เปิดให้บริการแล้ว! เนื่องจากวันนี้เป็วันแรกและสินค้ามีจำนวนจำกัด เราจึงจะแจกป้ายไม้ไผ่สำหรับหนึ่งร้อยท่านแรกเท่านั้น! หนึ่งป้ายต่อหนึ่งถ้วย! ขอทุกท่านโปรดเข้าแถวตามลำดับด้วยขอรับ!"
ฝูงชนเริ่มเคลื่อนตัวเข้ามาอย่างเป็ระเบียบภายใต้การควบคุมของอาซื่อ ผู้ที่ได้ป้ายไม้ต่างแสดงสีหน้าดีใจราวกับถูกรางวัลที่หนึ่ง ส่วนผู้ที่พลาดไปก็ส่งเสียงโอดครวญ แต่ก็ยังไม่ยอมไปไหน ยังคงยืนรอดูสถานการณ์อยู่รอบนอก
เมื่อลูกค้าหนึ่งร้อยคนแรกเข้ามาในร้านจนเต็มแล้ว ไป๋ฟางซินก็ก้าวออกมาที่กลางร้าน ทุกสายตาจับจ้องมาที่นางเป็จุดเดียว
"ขอบคุณทุกท่านที่ให้เกียรติโรงน้ำชาสดับวสันต์ในวันนี้" นางกล่าวด้วยรอยยิ้ม แต่แววตานั้นทรงอำนาจ "เครื่องดื่มชาไข่มุกของเรา ใช้ใบชาชั้นเลิศจากแดนใต้ นมวัวสดใหม่จากฟาร์ม และไข่มุกสูตรพิเศษที่ทำขึ้นด้วยมืออย่างพิถีพิถันทุกเช้า ด้วยเหตุนี้ราคาของมันจึงอาจจะสูงกว่าชาทั่วไปอยู่บ้าง"
นางหยุดเล็กน้อย ก่อนจะประกาศราคาที่ทำเอาทุกคนแทบหยุดหายใจ
"ชาไข่มุก...ราคาถ้วยละ หนึ่งตำลึงเงิน!"
"อะไรนะ! หนึ่งตำลึงเงิน!!!"
เสียงฮือฮาดังกระหึ่มไปทั่วทั้งร้าน!
หนึ่งตำลึงเงิน! นั่นมันค่าอาหารของคนธรรมดาๆ ทั้งครอบครัวได้เกือบครึ่งเดือนเลยนะ! นี่มันไม่ใช่ชาแล้ว นี่มันทองคำเหลวชัดๆ!
'บ้าไปแล้ว! เถ้าแก่เนี้ยต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ! ตั้งราคาสูบเืสูบเนื้อขนาดนี้ ใครมันจะไปซื้อกิน!' ผู้จัดการซุนใจหายวาบ เหงื่อเย็นไหลซึมออกมาจากแผ่นหลัง
แต่ไป๋ฟางซินกลับยิ้มอย่างไม่สะทกสะท้าน นางรู้ดีว่านี่คือจิตวิทยาอย่างหนึ่ง...ยิ่งแพง ยิ่งหายาก ยิ่งแสดงถึงสถานะ! สำหรับบรรดาคุณชายคุณหนูที่มาในวันนี้ เงินหนึ่งตำลึงเป็เพียงเศษเงินเท่านั้น แต่การได้ดื่มชาไข่มุก ที่ราคาแพงลิบลิ่วและมีจำกัดนี้ มันคือการประกาศศักดา! มันคือแฟชั่น!
และมันก็ได้ผล!
"ฮ่าๆๆ! หนึ่งตำลึงก็หนึ่งตำลึงสิ! ข้าสวี่จิ้งไม่เคยกลัวของแพง กลัวแต่ของไม่ดีเท่านั้น! เสี่ยวเอ้อร์! เอามาให้ข้าถ้วยหนึ่ง!" สวี่จิ้งะโขึ้นเป็คนแรก พร้อมกับโยนเงินหนึ่งตำลึงลงบนโต๊ะเสียงดังเคร้ง!
เมื่อมีคนเปิด เหล่าคุณชายคนอื่นๆ ก็ไม่ยอมน้อยหน้า "ข้าเอาด้วยถ้วยหนึ่ง!" "ทางนี้ด้วย!"
การสั่งซื้อเริ่มขึ้นอย่างบ้าคลั่ง! เสี่ยวหลี่รับเงินจนมือแทบเป็ระวิง ผู้จัดการซุนและพนักงานเสิร์ฟวิ่งวุ่นยกชาไข่มุกไปเสิร์ฟตามโต๊ะ ทุกอย่างดำเนินไปอย่างรวดเร็วและเป็ระบบตามที่ฝึกซ้อมมา
และเมื่อลูกค้าคนแรกได้ดื่มชาไข่มุกเข้าไป
"โอ้...์! รสชาติ รสชาตินี้มัน... มันสุดยอดกว่าวันที่ข้าได้ชิมที่จวนเสนาบดีเสียอีก! ไข่มุกวันนี้ทั้งนุ่มทั้งหนึบกว่าเดิม! อร่อย! อร่อยจนข้าอยากจะร้องไห้!" สวี่จิ้งอุทานออกมาอย่างลืมตัว
คำอุทานของเขายิ่งกระตุ้นต่อมความอยากของคนอื่นๆ ที่ยังไม่ได้ดื่ม ทุกคนรีบดื่มชาของตนเอง และเสียงร้องแห่งความพึงพอใจก็ดังขึ้นระงมไปทั่วทั้งร้าน!
ท่ามกลางความวุ่นวายนั้น ที่อีกฟากหนึ่งของถนน...
ชายวัยกลางคนในชุดผ้าไหมเนื้อดีกำลังยืนกอดอกมองภาพความสำเร็จของโรงน้ำชาสดับวสันต์ด้วยใบหน้าบูดบึ้ง เขาคือ "ผู้จัดการเกา" แห่งโรงน้ำชา "เหอิเซวียน" (หอวิหคเหิน) ซึ่งเป็โรงน้ำชาที่หรูหราและโด่งดังที่สุดในเมืองหลวง
"ฮึ! พวกโง่เง่า! ยอมจ่ายเงินหนึ่งตำลึงเพื่อซื้อน้ำชาผสมแป้งปั้นก้อน! ไร้สาระสิ้นดี! แต่ ดูจากท่าทีของลูกค้าแล้ว ของสิ่งนั้นมันคงจะมีรสชาติดีจริงๆ" เขากล่าวกับลูกน้องข้างกาย "อาเปียว เ้าไปต่อแถวซื้อมาให้ข้าถ้วยหนึ่ง ข้าจะเอากลับไปให้พ่อครัวของเราแกะสูตร! อีกไม่เกินสามวัน ชาไข่มุกของหอวิหคเหินจะต้องวางขายในราคาแค่ครึ่งตำลึง! ข้าจะรอดูสิว่าโรงน้ำชาซอมซ่อแห่งนี้จะอยู่รอดไปได้อีกกี่น้ำ!"
แต่เขาก็ต้องผิดหวัง เพราะเมื่ออาเปียวพยายามจะแทรกตัวเข้าไป ก็พบว่าป้ายไม้ไผ่ทั้งหนึ่งร้อยอันถูกแจกไปหมดแล้ว!
ในขณะเดียวกัน ที่มุมหนึ่งของฝูงชน ชายหนุ่มในชุดบัณฑิตสีซีดเก่าๆ แต่สะอาดสะอ้าน กำลังยืนมองเหตุการณ์ทั้งหมดด้วยแววตาที่แตกต่างออกไป เขาไม่ได้สนใจรสชาติของชา แต่กำลังวิเคราะห์กลยุทธ์ที่อยู่เื้ัทั้งหมด
เขาคือ "จ้าวอี้เหวิน" บัณฑิตตกยากที่เพิ่งเดินทางมาถึงเมืองหลวงเพื่อเตรียมตัวสอบขุนนาง
'น่าสนใจ...' เขาลูบคางอย่างครุ่นคิด 'เถ้าแก่เนี้ยผู้นี้ นางไม่ได้กำลังขายชา แต่นางกำลังขาย "ประสบการณ์" และ "สถานะทางสังคม" การจำกัดจำนวน การตั้งราคาสูง การใช้กลุ่มผู้นำทางความคิด (เหล่าคุณชาย) เป็ผู้จุดกระแส...ทุกย่างก้าวล้วนผ่านการคำนวณมาอย่างแยบยล นี่มัน...นี่มันคือตำราพิชัยาภาคการค้าชัดๆ! สตรีที่คิดกลยุทธ์เช่นนี้ได้...นางเป็ใครกันแน่?'
สายตาของเขาจับจ้องไปยังร่างของไป๋ฟางซินที่กำลังยืนสั่งการอยู่กลางร้านอย่างสง่างาม ในแววตาของเขาเต็มไปด้วยความทึ่งและความชื่นชมอย่างแท้จริง
เวลาผ่านไปไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม...
"เรียนทุกท่าน! ชาไข่มุกหนึ่งร้อยถ้วยของวันนี้...ขายหมดแล้วขอรับ!" อาซื่อะโประกาศขึ้น
เสียงโอดครวญจากผู้ที่พลาดหวังดังขึ้นระงม แต่ไป๋ฟางซินกลับเดินออกมาที่หน้าร้านแล้วย่อกายคารวะทุกคนอย่างงดงาม
"ขอบคุณทุกท่านที่ให้การสนับสนุน" นางกล่าวเสียงดังฟังชัด "สำหรับท่านที่พลาดไปในวันนี้ พรุ่งนี้เชิญมาใหม่ได้ั้แ่ยามเฉิน (เจ็ดโมงเช้า) เราจะยังคงขายเพียงวันละหนึ่งร้อยถ้วยเช่นเดิม เพื่อรักษาคุณภาพและมาตรฐานที่ดีที่สุดไว้เ้าค่ะ!"
คำพูดของนางนอกจากจะไม่ทำให้ลูกค้าโกรธแล้ว กลับยิ่งทำให้พวกเขารู้สึกว่าการรอคอยนั้นช่างคุ้มค่า และสาบานว่าจะต้องมาให้เร็วกว่าเดิมในวันพรุ่งนี้!
เมื่อฝูงชนเริ่มสลายตัวไปแล้ว ไป๋ฟางซินก็กลับเข้ามาในร้าน พนักงานทั้งห้าคนต่างมองนางด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความเคารพและเลื่อมใสอย่างสุดหัวใจ พวกเขาไม่เคยคิดฝันมาก่อนเลยว่าจะได้เป็ส่วนหนึ่งของปรากฏการณ์เช่นนี้!
ผู้จัดการซุนเดินเข้ามาหานาง เข่าของเขาอ่อนลงจนแทบคุกเข่าลงกับพื้น "เถ้าแก่เนี้ยข้าน้อย ข้าน้อยโง่เขลาเบาปัญญา! ที่เคยคิดดูแคลนท่าน! ท่านคือเทพธิดาแห่งการค้าจุติมาเกิดโดยแท้!"
ไป๋ฟางซินเพียงแค่ยิ้มบางๆ "นี่ยังเป็เพียงแค่การเริ่มต้นเท่านั้น ท่านผู้จัดการซุน"
นางเดินเข้าไปยังห้องทำงานด้านหลัง โดยมีชิงเหอเดินตามเข้าไปด้วยความตื่นเต้น
บนโต๊ะทำงาน มีถุงเงินใบใหญ่วางอยู่ มันหนักอึ้งจนต้องใช้สองมือยก
ไป๋ฟางซินเทมันลงมา...
"เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง!"
เสียงก้อนเงินตำลึงกระทบกันดังกังวานไปทั่วห้อง แสงสีเงินวาววับส่องประกายจนแสบตา
ชิงเหออ้าปากค้าง "นี่...นี่มัน...เงินหนึ่งร้อยตำลึง! พระเ้า! นี่คือรายได้จากการขายของเพียงแค่ชั่วยามเดียว! มันมากกว่ารายได้ทั้งปีของโรงน้ำชาในสมัยก่อนเสียอีก!"
ไป๋ฟางซินมองกองเงินนั้นด้วยสายตาเรียบเฉย แต่มุมปากของนางยกสูงขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ ในใจของนางกำลังคำนวณต้นทุนทั้งหมด ใบชา นม น้ำตาล แป้ง ค่าจ้างพนักงาน หักลบกันแล้ว
วันนี้เพียงวันแรก นางทำกำไรไปได้ไม่ต่ำกว่า แปดสิบตำลึงเงิน!
นี่คือหินก้อนแรกที่นางใช้ปูทางไปสู่การเป็เศรษฐีนีอันดับหนึ่ง!
แต่ในขณะเดียวกัน นางก็รู้ดีว่าพายุที่แท้จริงยังมาไม่ถึง ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่นี้ ได้สร้างศัตรูที่มองไม่เห็นขึ้นมาแล้ว สายตาของหอวิหคเหิน และสายตาของใครอีกหลายคนที่กำลังจับจ้องนางอยู่ในเงามืด
าการค้าแห่งเมืองหลวง เพิ่งจะเปิดฉากขึ้นอย่างเป็ทางการเท่านั้น
