หนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ หากให้พูดแล้วข้าหลวงในตำหนักเชียวชิวนั้นค่อนข้างวุ่นวายเป็อย่างมาก
จากเดิมรู้สึกหงุดหงิดใจแปรเปลี่ยนเป็ความกังวลตลอดเวลาแทน เนื่องจากสถานที่แห่งนี้กลายเป็ที่โปรดปรานของคนในวัง ดังนั้น การปฏิบัติตัวของผู้คนรอบข้างจึงเปลี่ยนจากหน้ามือเป็หลังมือในชั่วพริบตา
แต่ก่อนตำหนักเชียวชิวแห่งนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตำหนักเหลิ่งกง นอกจากนี้ องค์หญิงชิงอีองค์นี้ไม่ได้เป็ที่โปรดปรานของฝ่าาและไทเฮา ไม่ว่าผู้ใดยามเห็นคนในตำหนักนี้ต่างอยากเดินเลี่ยงกันทั้งสิ้น เพราะเกรงว่าจะโชคร้าย
ตอนนี้ฝ่าาทรงพระประชวร เซ่อเจิ้งอ๋องจึงเป็ผู้ดูแลงานราชการของราชสำนัก ทว่า เขากลับมีสัญญาอภิเษกสมรสกับองค์หญิงใหญ่ แถมทั้งคู่ก็ยังแสดงความสนิทสนมต่อหน้าผู้คน แม้กระทั่งองค์รัชทายาทแห่งวังตะวันออกที่ไม่เคยสนพระทัยในตำหนักเชียนชิวเลยแม้แต่น้อย ยามนี้หากมีเวลาพระองค์ก็จะมาเยือนที่นี่ถึงสองครั้ง
“เ้าว่างมากหรือไร?” ชิงอีมองไปยังองค์รัชทายาทที่นั่งเสวยขนมเกาปิง[1]อย่างสง่างามอยู่ฝั่งตรงข้าม นางทำหน้าเ็าใส่เด็กน้อยที่มารบกวน่เวลานอนอันสงบสุขอยู่บ่อยครั้ง “ดูเหมือนว่าเซียวเจวี๋ยจะจัดการเื่ต่างๆ ได้ดีเกินไป องค์ชายอย่างเ้าถึงได้กลายเป็ของตั้งโชว์ไปเสียแล้ว”
ฉู่จื่ออวี้เคี้ยวอยู่ครู่หนึ่งพลางส่งสายตาเ็าไปให้ เมื่อกลืนขนมและดื่มชาตามแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ทำให้แตกคอกันอย่างนั้นหรือ? ฉู่ชิงอี ท่านเข้าใจสถานการณ์ของตนเองหรือไม่ ภายภาคหน้าท่านต้องอภิเษกสมรสกับจวนเซ่อเจิ้งอ๋อง ท่านพ่อก็หน่ายหนีท่าน ข้าจึงเป็ห่วงใยท่านในฐานะพี่น้องและตั้งใจมาเยี่ยมท่านให้มากขึ้น ทว่า เป็เพราะประโยคเดียวของท่านทำให้ข้าและเซียวเจวี๋ยต่างผิดใจกัน ท่านอยากจะอยู่เฝ้าตำหนักเหลิ่งกงไปชั่วนิรันดร์จริงๆ หรือไร?”
แม้จะได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของชิงอีก็ยังคงเรียบเฉย นางทำเพียงยกมือเท้าคางมองเขาอย่างเนือยๆ ก่อนจะค่อยๆ ยกเท้าขึ้นมา
ฉู่จื่ออวี้เลิกคิ้วอย่างเย่อหยิ่ง สายตากลอกไปมาพลางสงสัยว่านาง้าจะทำอะไร?
ตึง
เพียงชั่วพริบตา ไม่รู้ว่าชิงอี้ไปเอาแรงมาจากที่ใด ขาขวาของนางยื่นออกเตะเขาลงจากเก้าอี้จนมานอนกองกับพื้น
องครักษ์ขององค์ชายที่เฝ้าอยู่ด้านนอกเมื่อเห็นแบบนั้นก็ไม่ได้พุ่งเข้ามา ส่วนข้าหลวงในตำหนักเชียนชิวต่างใจนไม่กล้าออกมา
พระเ้าช่วย! องค์หญิงใหญ่ประชวรอีกแล้ว!
“ฉู่ชิง...อี...โอย...” ฉู่จื่ออวี้ลุกขึ้นจากพื้นเตรียมจะะเิความโกรธใส่หญิงสาว ทว่า ทันทีที่อ้าปากกรงเล็บปีศาจของนางก็กางออกมา
“ไม่นะ...เ้าสารเลว...หยุดนะ...”
“มะ ไม่ใช่แบบนี้สิ...”
ฉู่จื่ออวี้ร้องเสียงดังเป็ระยะๆ ร่างทั้งร่างถูกบีบอยู่ในมือของนาง กวาน[2]ที่ผมของเขาก็บิดเบี้ยวจนกลายเป็รังนกอันยุ่งเหยิง ความจริงแล้วหากเขาลงมือนางจะทำอะไรเขาได้เยี่ยงไร ทว่า มันแปลกจริงๆ ที่ความแข็งแกร่งของเขาพอตกอยู่ในเงื้อมมือของนางก็ราวกับว่ามันสูบออกไปจนแห้งเหือดอย่างไรอย่างนั้น
ออกแรงไปก็เสียแรงเปล่าๆ!
ในสายตาของผู้อื่น ฉู่จื่ออวี้ถูกจัดการจนไม่อาจตอบโต้กลับไปได้อย่างสมบูรณ์แบบ
เหล่าองครักษ์ขององค์ชายต่างตกตะลึงยิ่งกว่าเดิมว่าองค์หญิงใหญ่มีพลังมากถึงเพียงนั้นเลยหรือ? แม้กระทั่งองค์รัชทายาทยังถูกนางจัดการได้อย่างง่ายดาย...
“ฉู่ชิงอี! ท่าน ยังไม่หยุดอีก...”
“พะ...พี่...หญิง...”
ชิงอีหยุดมือทันทีและรอยยิ้มก็ดูขี้เล่นขึ้นมาเล็กน้อย “เมื่อครู่เ้าเรียกข้าว่าอะไรหรือ ข้าได้ยินไม่ชัด?”
ใบหน้าของฉู่จื่ออวี้แดงก่ำด้วยความอัปยศอย่างหาที่สิ้นสุดมิได้แล้วได้แต่ขึงตาใส่อย่างเคืองๆ แต่เมื่อเห็นฝ่ามือของนางที่ยังคงยกค้างไว้ เขาจึงส่งเสียงโวยวายด้วยความปรารถนาที่อยากจะมีชีวิตรอดขึ้นมาทันที เพราะไม่อยากให้สถานการณ์แย่ไปกว่านี้ “พี่หญิง! พี่หญิงพี่หญิงพี่หญิง...ตอนนี้ท่านได้ยินชัดแล้วใช่ไหม!”
“ไม่เลว” ฉู่ชิงอีลดฝ่ามือลง ส่วนฉู่จื่ออวี้รีบหลับตาลงด้วยความใพร้อมหดคอ กระนั้น เขากลับไม่รู้สึกถึงความเ็ปอย่างที่คาดการณ์ เขาจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้นและพบว่าฉู่ชิงอีกลับไปนั่งตำแหน่งเดิมแล้ว แถมยังยกชาขึ้นมาดื่มอย่างอ้อยอิ่ง
เสียงหัวเราะของเหล่าองครักษ์ดังมาจากข้างนอก ฉู่จื่ออวี้จึงจ้องเขม็งอย่างดุดันไปที่คนกลุ่มนั้น จนพวกเขาต้องรีบยืดตัวตรงทันทีและไม่กล้ามองความอับอายขององค์ชายอีกต่อไป
ในตำหนักเงียบลงทันตา
ฉู่จื่ออวี้เม้มปาก ทันใดนั้นก็เงยหน้าขึ้นและส่งสัญญาณให้เถาเซียงที่รับใช้อยู่ข้างกายชิงอีออกไป
หลังจากเหลือเพียงพวกเขาสองพี่น้อง เขาก็มองคนตรงหน้าอยู่นานก่อนจะพูดว่า “เกิดอะไรขึ้นกับท่านกันแน่?”
ชิงอีเกียจคร้านที่จะเงยหน้าขึ้นมาและทำเพียงหาว แล้วค่อยพูดว่า “มีอันใดก็พูดมาตรงๆ เถอะ ข้าเกียจคร้านเกินกว่ามานั่งคาดเดา”
หางตาของฉู่จื่ออวี้ถึงกับกระตุก
“ในวังมีคนบอกว่าท่านเป็โรคอี้เจิ้ง สมองมักจะเลอะเลือนจึงมีอารมณ์แปรปรวนยิ่ง” ฉู่จื่ออวี้จ้องนางอย่างใจจดใจจ่อ “บางคนก็บอกว่านี่คือโฉมหน้าที่แท้จริงของท่าน ท่าทางขลาดกลัวก่อนหน้านั้นล้วนแล้วเป็เพียงการเสแสร้งทั้งสิ้น”
“แล้วเ้าคิดเยี่ยงไรล่ะ?” ชิงอีเหลือบมองเขาพร้อมรอยยิ้ม
“ข้าว่าดูไม่เหมือนเลย” ประกายระยิบระยับในดวงตาของฉู่จื่ออวี้ รวมถึงท่าทางเหมือนเด็กน้อยซุกซนก็จางหายไปในชั่วพริบตาและแปรเปลี่ยนเป็ความลึกล้ำที่หาเปรียบมิได้ “ท่านจำคำพูดของท่านที่พูดกับข้าในตอนที่ท่านถูกลดตำแหน่งแล้วถูกส่งไปเมืองหย่งเย่ได้หรือไม่?”
มีแสงสลัวในดวงตาอันสวยงามของชิงอี ฉู่จื่ออวี้จ้องนางไม่วางตา แม้กระทั่งสีหน้าท่าทางที่เปลี่ยนไปเล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่ยอมปล่อยผ่าน เขากำมือที่อยู่บนเข่าแน่น
ผ่านไปนาน ชิงอียังคงไม่ตอบและหลับตาอยู่เช่นนั้น ทำให้ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
ฉู่จื่ออวี้ค่อยๆ ใจเย็นลง จริงๆ แล้วยังมีข่าวลืออีกเื่ที่เขาไม่ได้พูดออกมา นั่นก็คือคนตรงหน้าเขาไม่ใช่ฉู่ชิงอีตัวจริง!
แม้ว่าเซียวเจวี๋ยบอกไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่าได้หาคนมายืนยันตัวตนของนางแล้ว ทว่า หลังจากที่ไปมาหาสู่กันใน่นี้ ฉู่จื่ออวี้ยังคงพบว่านางนั้นแตกต่างจนเกินไป
ความจริงแล้วนางไม่ได้ถูกลดตำแหน่งอะไร เพียงแค่หลายปีที่ผ่านมานางทำตัวกำเริบเสิบสาน ทั้งยังโอหังและอวดดี เพราะได้นับความโปรดปรานจากเสด็จพ่อเท่านั้น ถึงอย่างนั้น มันก็แตกต่างกันมากเกินไป สมมติว่านางจงใจแสร้งทำเป็เป็คนขี้ขลาดตาขาวในตอนที่นางกลับวังมา ในตอนนี้นางไม่ได้เสแสร้งแล้ว ทว่า เหตุใดถึงได้แตกต่างกันราวกับเป็คนละคน ขนาดสิ่งที่ชอบก็ไม่น่าจะต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงเช่นนี้?
“ท่านจำไม่ได้หรือจริงๆ แล้วท่านไม่รู้กันแน่?” เสียงของฉู่จื่ออวี้เย็นะเืขึ้นมาทันใด
หลังจากผ่านไปอีกครู่หนึ่ง ก็ยังไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ
ฉู่จื่ออวี้มีสีหน้าเ็าราวกับน้ำแข็ง ทันใดนั้น เขาเห็นศีรษะของชิงอีก้มลงและพยักหน้าสองครั้งเล็กน้อย
ช้าก่อน เหตุใดนางจึงดูเหมือนว่ากำลัง...
ฉู่จื่ออวี้ก้มศีรษะลงเล็กน้อยเพื่อให้อยู่ในระดับเดียวกับโต๊ะจะได้เห็นสีหน้าท่าทางของนางอย่างชัดเจน วินาทีต่อมา ใบหน้าของเขาก็เคร่งขึ้น
ให้ตายสิ ผู้หญิงคนนี้!
“ฉู่ชิงอี!!!”
กล้าดีอย่างไรถึงทำให้เื่ที่เขาพูดเมื่อครู่กลายเป็เื่ไร้สาระ หญิงสาวผู้นี้ร่างกายท่อนบนเป็ผีี้เีหรืออย่างไรกัน? ถึงยังนอนหลับได้?
ชิงอีตื่นขึ้นมาพร้อมกับศีรษะที่หนักอึ้ง
นางขยี้ตาก่อนจะหาวออกมา แล้วค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมามอง “หืม? เหตุใดเ้าถึงยังไม่ไปอีกล่ะ”
ฉู่จื่ออวี้ไม่สามารถควบคุมสีหน้าของตนได้ เขาหายใจเข้าลึกๆ พร้อมกับสติที่กำลังจะขาดผึง
มุมปากของชิงอียกขึ้นเล็กน้อยจนแทบจะมองไม่เห็น จากนั้นค่อยๆ ลุกขึ้นแล้วพูดว่า “ในเมื่อเ้ายังไม่ไป เช่นนั้นก็ไปเดินรอบๆ เป็เพื่อนข้าเถอะ”
“สรุปแล้วเมื่อครู่ท่านได้ยินที่ข้าถามหรือไม่!” ฉู่จื่ออวี้ตวาดถามอย่างไม่พอใจ
ชิงอีเกาหูและยังคงเมินเขาเหมือนเดิม แล้วเปิดประตูเดินออกไป
ฉู่จื่ออวี้รีบตามไปติดๆ พลางถามไม่หยุดหย่อน
“ฉู่ชิงอี้ ท่าน...เอ่อ...”
“จู้จี้จุกจิกอย่างกับยายแก่ เ้าไม่เบื่อหรือไง?” ชิงอีหันกลับมาบีบแก้มของฉู่จื่ออวี้กะทันหันจนปากที่พูดพล่ามของเขากลายเป็ปากเป็ดประกอบกับดวงตาที่เบิกกว้างนั่น พอมองแล้วก็ดูโง่อยู่นิดๆ
พอชิงอีเห็นก็พ่นลมหายใจสองครั้ง แล้วค่อยยื่นมือมาลูบหัวเขา มันให้ััที่อย่างคาดไม่ถึง ผมของเด็กคนนี้ค่อนข้างนุ่มไม่ได้ต่างไปจากขนของเ้าแมวอ้วนเลย
ขณะเดียวกัน ฉู่จื่ออวี้ตกตะลึงอย่างอธิบายไม่ถูก ยามเห็นแววดวงตาที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยของนาง
“อย่าสร้างปัญหา พาข้าไปหาตาแก่ที่ยังไม่ตายนั่นก่อน”
“ตาแก่ที่ยังไม่ตาย ผู้ใดกัน?”
“พ่อของเ้า”
ฉู่จื่ออวี้ :??!!
พูดราวกับว่าเขาไม่ใช่พ่อของท่านอย่างไรอย่างนั้น?!
**********************
[1] ขนมเกาปิง คือ ขนมลักษณะทรงกลมที่ทำมาจากแป้ง
[2] กวาน (冠) คือ สิ่งที่ชนชั้นสูงชาวจีนในสมัยโบราณใช้สวมครอบบนศีรษะ เพื่อเป็เครื่องบอกระดับประดับพระยศพระเกียรติ