ป่ากวางอูฐ[1] ป่าก็เหมือนกับชื่อ ที่นี่มีกวางอูฐจำนวนมากอาศัยอยู่
เนื่องจากภูมิประเทศที่เปิดกว้างและสภาพอากาศชื้น สัตว์จํานวนมากที่คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมชุ่มชื้นจึงอพยพมาที่นี่ และแน่นอนว่าหนึ่งในนั้นยังมีสัตว์ปีศาจกลายพันธุ์เช่นกัน ซึ่งสิ่งที่แตกต่างจากสัตว์กลายพันธุ์ทั่วไปคือ กวางอูฐที่กลายพันธุ์ในป่ากวางอูฐนั้นมีหลายชนิด ยากแยกแยะจากลักษณะภายนอก โดยปกติแล้วนักผจญภัยจะมิค่อยยั่วโมโหพวกมันนัก
ร่องรอยของอินทรีสายฟ้าคือข่าวคราวที่หวาเอ่อร์ไปซื้อมาจากกิลด์ โดยทั่วไปผู้ติดประกาศจะเป็บุคคลระดับกลางของกลุ่มทหารรับจ้างขั้นสูง แหล่งที่มาคุ้มค่าแก่การเชื่อถือ ข่าวคราวชี้ว่าตัวคนผู้นั้นพบรังอินทรีสายฟ้าระหว่างปฏิบัติภารกิจ ทว่าด้วยภารกิจมีระยะเวลาจำกัด อีกทั้งยังมิคุ้มค่าแก่การวกกลับไปอีกครั้ง ทำได้เพียงขายข่าวนี้ออกไป กระนั้นข่าวนี้มิเพียงแต่มีบันทึกอย่างลวกๆ ยังมีแผนภาพที่ทำขึ้นอย่างมิละเอียดอีกหนึ่งแผ่น เป็ลายมือของกลุ่มอัศวินที่มีประสบการณ์มากมาย
“คงจะใกล้ถึงแล้วกระมัง...”
เก๋อจือล้วงหยิบแผนที่ออกมาพร้อมกับย่างเท้าหนักบ้างเบาบ้างลงบนทางเดิน
“โม่เจ๋อเอ่อร์ เหตุใดลางสังหรณ์เื่ทิศทางของเ้าดีถึงเพียงนี้? มิต้องดูแผนที่ก็รู้ทิศทาง ข้าอิจฉาเสียจริง”
“เหอะ อย่างเร็วที่สุดยังต้องใช้เวลาเป็วัน พยายามเข้าละกัน”
โม่จ้านคลี่ยิ้มมิเอ่ยสิ่งใด แผนที่ที่มีเส้นโค้งมิกี่เส้นผนวกกับวงกลมมิกี่วง มองเพียงมิกี่วิก็จดจำได้แล้ว
โม่จ้านเป็ผู้เชี่ยวชาญการเอาตัวรอดในป่ามาก่อน มิว่าจะตั้งค่าย จุดไฟหรือทำกับข้าวล้วนแต่คล่องแคล่ว ลาถีเท่อได้ฟัง “ความจริง” ที่ใส่สีตีไข่จากเก๋อจือ ภายใต้ความตกตะลึง ตนยังนึกสนใจเกี่ยวกับรายละเอียดการใช้ชีวิตที่ผ่านมาของโม่จ้านอย่างมาก โม่จ้านทำเพื่อเติมเต็มความสนใจใคร่รู้ที่ท่วมท้นของเด็กโข่งทั้งสอง ทำได้เพียงบอกว่าตนสูญเสียความทรงจำไปส่วนหนึ่ง จากนั้นสิ่งที่ได้รับกลับมาคือสายตาหยามเหยียดของเก๋อจือและแววตาเห็นใจของลาถีเท่อ
คนหนึ่งกลุ่มโชคดีมิน้อย ตลอดทางพบเพียงกวางอูฐที่ยังมิกลายพันธุ์มิกี่ตัว เก๋อจือโยนลูกไฟมิกี่ลูกก็วิ่งหนีด้วยความใแล้ว เดิมกลุ่มเล็กตกลงกันว่าจะใช้เวลาสี่วัน ทว่าเพราะตลอดทางราบรื่นอย่างมาก เดินสักสามวันก็คงถึง ห่างจากจุดที่ชี้ในแผนที่เพียงต้องเดินเท้าครึ่งวัน
กระนั้นยามที่คนมิกี่คนกำลังก้าวเข้าไปในเขตป่าทึบ ลาถีเท่อพลันเริ่มจิตใจกระสับกระส่ายเสียแล้ว
“ลาถีเท่อ เ้าเป็อันใด?” โม่จ้านััได้ว่าสีหน้าของลาถีเท่อมิปกติ
“หัวใจเต้นเร็วมาก นอกจากนั้น...ยังมีเหงื่อผุดออกมา” ลาถีเท่อเกาหัวอย่างค่อนข้างเขินอาย
“ข้าก็มิรู้ว่าเป็อันใดเช่นกัน ข้าเป็เช่นนี้เป็่ๆ คงเป็เพราะตื่นเต้นที่ใกล้เข้าใกล้จุดหมายแล้วกระมัง”
ก่อนหน้าก็เคยเป็มาก่อนงั้นหรือ? หรือนี่คือโรคเครียดที่เกิดขึ้นภายหลังเผชิญเหตุการณ์ะเืขวัญ?
โม่จ้านหันไปเอ่ยถามเก๋อจือด้วยความสงสัย “ยามอยู่ในป่าเคยเกิดเื่ใหญ่อันใดกับลาถีเท่อหรือไม่?”
“...แค่กๆ มิมีๆ เป็เพราะประสาทััเร็วเกินไป” ลาถีเท่อรีบขัดเอาไว้ “เดินต่อเถิด อย่าได้เปลืองเวลาเพราะข้า”
โม่จ้านััได้ว่าชายเสื้อของตนถูกเก๋อจือดึงเบาๆ
“เอาเถิด หากรู้สึกมิสบายส่วนใดจะต้องบอกล่วงหน้า”
ความผิดปกติของเก๋อจือทำให้โม่จ้านรู้สึกสงสัย เพียงแต่กระทั่งตะวันตกดินก็ยังมิมีสิ่งใดเกิดขึ้น ทุกอย่างล้วนเป็ปกติ
หลังกินข้าวเย็น เก๋อจือที่เมื่อวานนอนมิเต็มอิ่มกลับเข้าไปนอนชดเชยในกระโจม ทิ้งลาถีเท่อกับโม่จ้านนั่งอยู่ข้างกองไฟเพียงสองคน
เปลวเพลิงโลมเลียกิ่งไม้ เกิดเป็เสียงดังเปาะแปะออกมา ลาถีเท่อรู้สึกเหนื่อยเล็กน้อยเพราะอาการตื่นเต้นอย่างมาก เขากอดกระดูกสัตว์แล้วเริ่มสัปหงก
นี่เป็ครั้งแรกที่โม่จ้านได้มองลาถีเท่อยามมิสวมกระดูกสัตว์ในระยะใกล้อย่างละเอียด เดิมทีเส้นผมของเด็กหนุ่มเผ่าหมานมิได้สั้นชี้โด่เช่นเก๋อจือ ทว่าเป็ผมยาวระดับกลางสีดำแผงคอสิงโต เพราะเส้นผมค่อนข้างแข็ง หลังถอดหมวกกระดูกยังคงมีเส้นผมจำนวนหนึ่งกระดกขึ้น แสดงออกถึงการมีอยู่ของตนเอง
“ลาถีเท่อ เก๋อจือยังไปนอนแล้ว เ้าก็ไปนอนเถิด ข้าคนเดียวก็พอแล้ว”
โม่จ้านมองลาถีเท่อที่มิต่างกับไก่น้อยแล้วรู้สึกมิอาจหักใจ ท้ายที่สุดยังคงปริปากเอ่ยออกมา
“...ไม่ ถึงแม้ข้าจะต่อยตีมิได้ ทว่าหากเฝ้ายามยังพอไหว”
ลาถีเท่อถูกปลุก เขาขยี้เปลือกตาหนักอึ้ง ยังคงฝืนประคองสติเอาไว้
“เอาล่ะ เด็กน้อยต้องนอนให้มากจึงจะสูง รีบไปเถิด”
โม่จ้านตบพื้นเบาๆ ด้วยท่าทางหัวโบราณ นิ้วหัวแม่มือชี้ไปทางกระโจมด้านหลัง
ลาถีเท่อนิ่งงัน ใช้สายตายากอธิบายมองโม่จ้าน
“...ทั้งๆ ที่เ้าก็อายุมิต่างกับพวกเราเท่าใด มิต้องพูดเลียนแบบท่านลุงในกิลด์เ่าั้แล้ว”
“ในเมื่อเ้าดึงดันจะอยู่ต่อ เช่นนั้นก็ใช้บทสนทนาทำให้สดชื่นก็แล้วกัน”
โม่จ้านหัวเราะ ขยับก้นไปทางด้านข้างแล้วนั่งข้างกายลาถีเท่อ
“แท้จริงแล้วข้าอยากรู้มาตลอดว่าละแวกใกล้เคียงของเมืองแห่งนักดาบพเนจรมีกองฝึกอัศวินพวกนี้หรือไม่?”
“สนามฝึกอัศวินจะมีเพียงในเมืองหลวงกับกิลด์นักรบเท่านั้น อัศวินพเนจรจำนวนหนึ่งมักไปรับภารกิจที่กิลด์นักรบ”
ลาถีเท่ออ้าปากหาว หยิบกิ่งไม้ขึ้นมาโยนใส่กองไฟ
“หนทางไปนั้นง่ายมาก หากเ้าอยากไป หลังทำภารกิจเสร็จเ้าเพียงตามขบวนพ่อค้าไปเป็พอ”
โม่จ้านนั่งขัดสมาธิและโยนกิ่งไม้เข้าไปเช่นกัน
“เ้ามิอยากบ้างหรือ? ด้วยคุณสมบัติร่างกายของเ้า หลังฝึกฝนจะต้องกลายเป็อัศวินได้โดยมิมีปัญหาอย่างแน่นอน”
ผ่านไปครู่หนึ่งก็ยังมิได้ยินเสียงตอบกลับ ในใจโม่จ้านรู้สึกสงสัย ครั้นผินหน้ามากลับเห็นว่าลาถีเท่อกัดฟันแน่น ภายในแววตาทอประกายแห่งความเกลียดชัง
“...ข้ามิมีทางไปที่นั่นเด็ดขาด มิมีทางไปชั่วชีวิต!”
โม่จ้านถูกทำให้สะดุ้งใ ลาถีเท่อที่นิสัยอ่อนโยนะเิอารมณ์ออกมากะทันหัน ทำเอาผู้ที่เริ่มหัวข้อสนทนาอย่างตน มิรู้จะทำอย่างไร
“เอ่อ...ขออภัย ข้า...” ลาถีเท่อััได้ว่าตนเองเสียมารยาทเช่นกัน ตนจึงรีบเอ่ยขออภัย
“มิเป็ไร ข้าก็มิได้จะไปเช่นกัน เพียงถามดูเท่านั้น”
โม่จ้านปิดปากมิเอ่ยถึงอีก ทว่าในใจกลับฝังต้นกล้าแห่งความสงสัยเอาไว้
“อาณาจักรที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ จะมิมีที่อื่นที่สามารถฝึกฝนทักษะการต่อสู้ด้วยกายเนื้อเลยหรือ?”
“ราชอาณาจักรข่ายเจ๋อคงพอมีกระมัง เพราะถึงอย่างไรเผ่าสัตว์กลายร่างเ่าั้ก็มีพลังต้านพลังเวทอย่างมาก สามารถเผชิญหน้ากับจอมเวทในา”
ลาถีเท่อลูบหมวกกระดูกแ่เบา อารมณ์ค่อยๆ กลับเข้าสู่ความปกติ
“...หากเป็มนุษย์ มิว่าจะทำอย่างไรก็ทำมิได้กระมัง”
บ่มเพาะนักรบเผ่ามนุษย์สิบคนก็ยังมิอาจอยู่เหนือจอมเวทเพียงหนึ่งคน คุณสมบัติด้อยเกินไป นี่คือเหตุผล
“เก๋อจือมีพร์มาก ภายหน้าจะต้องกลายเป็จอมเวทระดับสูงแน่นอน” โม่จ้านอยากเบี่ยงเบนหัวข้อสนทนา “ในฐานะที่เ้าเป็สหาย จะต้องคอยสนับสนุนเขาตลอดไปด้วย”
“ใช่แล้ว ทั้งดีใจทั้งอิจฉา หากข้ามีความสามารถบ้างและได้เรียนวิชาเวทไปกับเขาก็คงดี”
เมื่อเอ่ยถึงเก๋อจือ มุมปากของลาถีเท่ออดหยักยกมิได้
“หากเ้าเกี้ยวเขาจนอยู่ในกำมือ มิเท่ากับให้เขาเป็ผู้สอนเ้าได้แล้วงั้นหรือ?” โม่จ้านเอ่ยเสียงเบา
“อะ ย่าห์ เ้าๆๆๆๆๆ----” ลาถีเท่อที่หูเป็เลิศได้ยินคำพูดของโม่จ้าน เขาใจนถีบเท้าถอยหลังไปหลายก้าวและเกือบจะเตะฟืนเข้ากองไฟตรงหน้า สีหน้าเปลี่ยนจากเหลืองเป็แดง ตามด้วยเปลี่ยนจากแดงเป็ม่วง “...เ้ารู้ได้อย่างไร!”
โม่จ้านกุมขมับ ด้วยท่าทางเช่นนี้ของเ้า ต่อให้มิรู้ ทว่ามิช้าก็เร็วต้องถูกหลอกถามอยู่ดี
“ในฐานะที่ข้าเป็หัวหน้ากลุ่มเล็กชั่วคราว แน่นอนว่าจะต้องเอาใจใส่ปัญหาทางความรู้สึกของสมาชิก”
ลาถีเท่อกุมหัวใจที่เต้นระรัวมิหยุดของตน จากนั้นลอบเหลือบมองโม่จ้าน “เ้า...มิรู้สึกประหลาดหรือ?”
เพราะข้าก็เป็ประเภทเดียวกัน โม่จ้านวิจารณ์ในใจ “มีอันใดแปลก ทว่า เ้าเข้าใจเก๋อจือแล้วจริงๆ งั้นหรือ?”
“...มิมีผู้ใดรู้จักเก๋อจือไปมากกว่าข้าแล้ว!”
ลาถีเท่อโต้กลับโม่จ้านอย่างมิค่อยมีความมั่นใจ
“ข้ากับเขานอนด้วยกันตั้งหลายครั้ง บนตัวเขามีไฝที่ใดบ้าง ข้าล้วนแต่รู้ดี!”
โม่จ้านที่กำลังจะโยนฟืนเข้ากองไฟชะงักมือ คลี่ยิ้มคล้ายมิยิ้มมองไปทางลาถีเท่อ ลาถีเท่อได้สติพลันรู้ตัวว่าถูกหลอกถาม ใบหน้ากลายเป็สีแดงก้นลิงอย่างฉับพลัน
“พวกเรามิเคยทำอันใดทั้งนั้น! เขามองข้าเป็เพียงสหาย! ข้า...”
สีหน้าของโม่จ้านเปลี่ยนเป็แปลกประหลาดทันใด จากนั้นหัวไหล่พลันสั่นไหวอย่างมิอาจควบคุม ท้ายที่สุดะเิเสียงหัวเราะออกมา หัวเราะจนถึงกับกลิ้งไปทั่วพื้น ลาถีเท่อที่เืขึ้นหน้าได้สติรู้ตัวอีกครั้งว่าตนเปิดเผย “เื่ส่วนตัว” พลันลุกขึ้นด้วยความโมโหก่อนเดินไปทางกระโจม
“หากเ้าเพียงอยากรักษาสถานภาพในยามนี้เอาไว้ เช่นนั้นข้าก็มิมีสิ่งใดจะพูดแล้ว”
โม่จ้านยักไหล่ ปิดเปลือกตาลงก่อนนอนลงข้างกองไฟ
“หนทางในวันข้างหน้าของเขานั้นยากลำบากนัก จะต้อง้าความช่วยเหลือจากเ้าอย่างแน่นอน หากนอกจากตามใจและให้กำลังใจเขา เ้าก็มิอาจทำสิ่งอื่นได้อีก เช่นนั้นหนทางในภายหน้าของพวกเ้าคงจบสิ้นแต่เพียงเท่านี้”
แผ่นหลังของลาถีเท่อชะงัก ท้ายที่สุดยังคงแทรกกายเข้าไปในกระโจม
เชิงอรรถ
[1] กวางอูฐ 麋鹿 หรือกวางหนอก กวางปักกิ่ง เเละกวางพ่อดาวีด (Père David's deer) เป็กวางประจำถิ่นที่มีเฉพาะในประเทศจีน มีถิ่นที่อยู่ทางตอนกลางและตอนใต้ของลุ่มแม่น้ำแยงซี ชื่อทางวิทยาศาสตร์คือ Elaphurus davidianus