ลาถีเท่อเข้าไปได้มินาน เก๋อจือพลันอ้าปากหาวพลางเดินออกมาเสียแล้ว
“เหตุใดจึงตื่นเสียแล้ว มิได้บอกว่าเมื่อวานนอนมิสบายงั้นหรือ?” โม่จ้านค่อนข้างประหลาดใจ
“สองวันมานี้เ้าปลุกข้าให้ตื่นตรงเวลาตลอด พอคุ้นชิน จะนอนชดเชยก็นอนมิค่อยหลับเสียแล้ว” เก๋อจือนั่งลงข้างกองไฟ “ข้าว่านะโม่เจ๋อเอ่อร์ เ้าคงมิได้เอาลู่ทางที่เ้านายเก่าของเ้าฝึกฝนพวกเ้ามาใช้ใช่หรือไม่? ลาถีเท่อทนได้ แต่ข้าทนมิไหว”
“พอได้แล้วกระมัง ข้าต่างหากที่เป็ผู้รับผิดชอบหน้าที่เฝ้ายามถึงแปดส่วน” โม่จ้านมองข้ามความคิดเพ้อเจ้อเสมือนม้าพุ่งทะยานขึ้นฟ้าของเก๋อจือ ก่อนกวาดสายตามองป่าที่อยู่ไกลออกไป “การนอนและตื่นให้ตรงเวลาเป็การฟื้นฟูดูแลร่างกาย รอกระทั่งพบาที่แท้จริง คุณชายน้อยเช่นพวกเ้าก็ต้องออกมาเฝ้ายามมิต่างกัน”
“า...หรือ” เก๋อจือใคร่ครวญ “หากมิเกิดขึ้นตลอดกาลก็คงจะดี...”
ครั้นเห็นสีหน้าของเก๋อจือ โม่จ้านอดที่จะหยอกล้อมิได้ “การเฝ้ายามทำให้ผู้อื่นรู้สึกรังเกียจถึงเพียงนี้เชียว?”
“สิ่งที่ข้าพูดคือความในใจ”
เมื่อเห็นสีหน้าเคร่งขรึมที่พบเห็นได้น้อยครั้งของเก๋อจือ สีหน้าของโม่จ้านถึงกับประคองมิอยู่เสียแล้ว ตนยกยิ้มเจื่อนออกมา
“ข้ายังนึกว่าเด็กน้อยวัยเท่าพวกเ้าอยากเข้าร่วมสนามรบเพื่อสั่งสมความสำเร็จ สร้างชื่อเสียงเกียรติยศให้แก่วงศ์ตระกูลเสียด้วยซ้ำ”
“โม่เจ๋อเอ่อร์ เมื่อหวาเอ่อร์ฝากข้าไว้กับเ้าแล้ว เช่นนั้นอย่างน้อยหมายความว่าจนกว่าภารกิจจะสำเร็จ เ้าสามารถไว้ใจได้”
ดวงตากลมโตของเก๋อจือจ้องมองโม่จ้านอย่างถ้วนถี่ โม่จ้านเก็บรอยยิ้มหยอกล้อแล้วลุกขึ้นนั่ง รอฟังประโยคต่อไปของอีกฝ่าย
“เ้าได้เห็นปฏิกิริยาเมื่อยามเช้าของลาถีเท่อแล้ว หากเ้าซักถามต่อไป เกรงว่าเขาจะต้องพูดออกมาเป็แน่” สีหน้าของเก๋อจือค่อนข้างหดหู่ “หากจะให้ลาถีเท่อเล่าอีกคราด้วยปากของตนเองคงจะโเี้ทารุณเกินไป ดังนั้นข้าจะเป็ผู้บอกเ้า”
โม่จ้านพยักหน้า บอกใบ้ว่าตนยินดีรับฟัง
เก๋อจือจ้องมองกองไฟโดยมิขยับเขยื้อน หลังสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งเฮือกจึงเอ่ยว่า “เ้าคงจะมิเคยได้ยินเื่ ‘าระหว่างอาณาจักร’ กระมัง?”
เมื่อเห็นโม่จ้านส่ายหน้า เก๋อจือจึงเอ่ยต่อไปว่า
“ยามนั้นข้าเพิ่งอายุสองขวบ ท่านอาหวาเอ่อร์เป็ผู้เล่าเื่าให้ข้าฟัง เมื่อสิบสี่ปีก่อน ราชอาณาจักรอันปู้เอ่อร์กับราชอาณาจักรข่ายเจ๋อออกทัพด้วยกัน กลืนกินราชรัฐไท่เหวยที่อยู่กึ่งกลางระหว่างพวกเขา”
“เ้าคงจะพอเดาสาเหตุได้ ราชรัฐไท่เหวยมีแหล่งทรัพยากรแร่ธาตุที่อุดมสมบูรณ์ถึงเพียงนั้น ทว่าดยุคของไท่เหวยกลับไร้ความสามารถ ทำได้เพียงกินสมบัติเก่า”
เก๋อจือกอดเข่าทั้งสองข้างก่อนวางปลายคางลงบนหัวเข่า
“เหล่าประชาชนเคียดแค้นดยุคนัก พวกเขาจึงค่อยๆ หนีไปยังราชอาณาจักรอันปู้เอ่อร์และราชอาณาจักรข่ายเจ๋อ”
“เช่นนั้นครอบครัวของลาถีเท่อก็...?”
เก๋อจือส่ายหน้าอย่างเคร่งขรึม ภายในั์ตาสะท้อนแสงไฟพลิ้วไหว
“ครอบครัวของลาถีเท่อเลี้ยงดูตนโดยการพึ่งพาตนเอง น้อยครั้งนักจะติดต่อกับโลกภายนอก มิรู้เื่การมีอยู่ของเวทมนตร์แม้แต่น้อย ระหว่างที่กองทัพของอันปู้เอ่อร์มุ่งหน้าไปยังราชรัฐไท่เหวย เพื่อโจมตีอย่างฉับพลันจึงจุดไฟเผาป่า ท้ายที่สุดพบร่องรอยของพวกเขา”
โม่จ้านใ ตนพอจะเดาได้แล้วว่าภายหลังเกิดสิ่งใดขึ้น
“เ้าจะต้องคิดว่าคนทั้งเผ่าของเขาล้วนถูกไฟคลอกตาย เหลือเพียงเขาที่รอดมาได้กระมัง?”
หน้าผากของเก๋อจือแตะระหว่างเข่าทั้งสองข้าง โม่จ้านไร้หนทางมองสีหน้าของเขาอย่างชัดเจน
“หากเป็เช่นนั้นคงดีมิน้อย...”
“กองทัพบุกเข้าไปในกองเพลิงแล้วช่วยคนส่วนน้อยออกมา” เก๋อจือสูดจมูกอย่างแรง “กระนั้นจุดมุ่งหมายในการช่วยคนของพวกเขา นึกมิถึงว่าจะเป็เพราะถูกใจรูปร่างของเผ่าหมาน คิดจับพวกเขาไปเป็ทาส ทั้งๆ ที่เป็ผู้รับราชการทหาร ทว่ากลับทำตัวเป็คนค้ามนุษย์”
“พวกเขารู้ว่าประชาชนของราชรัฐไท่เหวยอาจมีจอมเวทซ่อนตัวอยู่ มิอาจแตะต้องบุ่มบ่าม ด้วยเหตุนี้จึงลงมือกับเผ่าหมานที่ไร้ที่พึ่งพิง”
น้ำเสียงของเก๋อจือเจือเสียงสะอื้น โม่จ้านตบบ่าเขาแ่เบา
“เผ่าหมานจึงถูกราชอาณาจักรใหญ่ ‘ฉวยโอกาส’ ทำลายทั้งเช่นนี้ ราชอาณาจักรอันปู้เอ่อร์ยังเอ่ยว่าระหว่างทั้งสามอาณาจักรทำให้เกิดอุบัติเหตุไฟไหม้ มีเพียงกลุ่มคนโง่ที่อยู่ห่างไกลาเท่านั้นที่เชื่อ”
“ท่านพ่อของลาถีเท่อกับคนร่วมเผ่ามิกี่คนพยายามสุดชีวิตเพื่อให้ท่านแม่พาเขาหนีออกจากกองเพลิงมายังเมืองแห่งนักดาบพเนจร แม้ยามนั้นเมืองจะสงบแล้ว ทว่าว่าปัจจัยในแต่ละด้านล้วนขาดแคลนอย่างมาก มิมีปัจจัยทางการแพทย์ที่สามารถรักษาท่านแม่ผู้าเ็สาหัส”
น้ำเสียงอู้อี้ของเก๋อจือลอดจากซอกเข่าทั้งสองข้าง
“กิลด์รับเลี้ยงเขาเอาไว้ ทั้งยังช่วยเขาเก็บชุดของเผ่าหมานและคงความคุ้นเคยดั้งเดิมเอาไว้ ยามนั้นเขาอายุสามขวบแล้ว ข้ากับท่านพ่อมาเข้าร่วมการประชุมเพื่อความร่วมมือระหว่างกิลด์จึงได้รู้จักกับเขา”
เก๋อจือเงยหน้าขึ้น ใช้มือปาดหางตา ก่อนมองไปทางแสงไฟพลิ้วไหวอีกครั้ง
“ภายหลังความสัมพันธ์ของพวกเราดีขึ้นเรื่อยๆ มีครั้งหนึ่งเขาฝันร้าย หลังข้าปลุกเขาให้ตื่น เขาพลันกอดข้าร้องไห้ทั้งคืน ภายหลังเล่าเื่เผ่าให้ข้าฟัง ข้าจึงได้รู้ว่าเขามีแผลใจเกี่ยวกับเหตุการณ์ไฟไหม้ในป่าอย่างรุนแรงมาโดยตลอด ยามพวกเราพูดคุยกัน เขาล้วนแต่พยายามหลีกเลี่ยงหัวข้อนี้”
เหตุนี้เองยามเข้าใกล้ชายป่าจึงได้พยายามฝืนความกลัวเอาไว้
โม่จ้านถอนหายใจ แม้จะรู้ว่าตนต้องทรมาน กระนั้นก็ยังฝืนตามมาทำภารกิจกับเก๋อจือ...
โม่จ้านมองสายตาของเก๋อจือ ทันใดนั้นนึกเกลียดที่หลอมเหล็กมิเป็เหล็กกล้า กลายเป็มิต่างกับมารดาชราที่เห็นบุตรชายมิเอาไหน
คุณชายน้อยเก๋อจือผู้ใสซื่อ เ้าจะมีหัวใจสักนิดได้หรือไม่ เ้าชอบสตรีหรือไม่ข้ามิรู้ ทว่าลาถีเท่อซื่อตรงจริงใจต่อเ้ามาโดยตลอด อย่างน้อยเ้าก็ช่วยให้คำตอบเขาสักคำ?
“ลาถีเท่อเขา...เคยคิดอยากจะแก้แค้นหรือไม่?” โม่จ้านส่ายหน้า สลัดความคิดยุ่งเหยิงในหัวออกไป
“แก้แค้น? แก้แค้นอย่างไร? ผู้ที่มิรู้วิชาเวท จะไปแก้แค้นดยุคผู้นำกองทัพได้อย่างไร?”
เก๋อจือกรอกตาขาว ใช้สายตามิต่างกับมองคนโง่มองโม่จ้าน
“ลาถีเท่อเคยเล่าเื่คำสั่งเสียของท่านแม่เขาให้ข้าฟัง หวังว่าเขาจะมีชีวิตที่ดีต่อไป มิต้องคิดจะแก้แค้น ผู้ที่เป็สหายอย่างข้า แน่นอนว่าต้องฟังคำพูดของท่านป้า”
กระนั้นในสายตาของเ้ากลับมิเป็เช่นนั้นน่ะสิ โม่จ้านมองความมิยอมในส่วนลึกของดวงตาสีส้มของเก๋อจือด้วยความรู้สึกซับซ้อนและแจ่มแจ้งแก่ใจ
มิใช่ว่ามิอยาก แต่คล้ายจะมิอาจทำ แม้มารดาของลาถีเท่อกับเก๋อจือจะมิเคยพบหน้ากัน ทว่าต่างฝ่ายต่างเข้าใจในข้อนี้ จึงได้แต่หวังว่าลาถีเท่อจะเก็บซ่อนความแค้นไว้ในใจและใช้ชีวิตอย่างสงบสุขปลอดภัยต่อไป ทั้งๆ ที่เก๋อจือรู้ว่าตนเองถูกบิดาใช้ประโยชน์โดยเห็นเป็เครื่องมือ เขาก็ยังดึงดันจะกลายเป็จอมเวทขั้นสูง เกรงว่าคง้าจะปกป้องลาถีเท่อให้ดี
บรรยากาศหนักอึ้งโอบล้อมระหว่างคนทั้งสอง ทำให้ค่ายเล็กเงียบสงัดเป็เวลากว่าครึ่งชั่วยาม
ท้ายที่สุด เก๋อจือหยัดกายลุกขึ้น “โม่เจ๋อเอ่อร์เ้าไปนอนก่อนเถิด ถึงอย่างไรยามนี้ข้าก็นอนมิหลับ ถึงตอนนั้นข้าจะเรียกเ้า”
.....
แสงไฟส่องผ่านม่านกระโจมที่เปิดออกเพียงครึ่ง สะท้อนเงาที่สั่นไหวบนผืนผ้า โม่จ้านนอนตะแคงบนเบาะที่ทําจากผ้าหยาบ มองไปยังลาถีเท่อที่ขดตัวนอนหลับแล้วรู้สึกปวดใจอยู่บ้าง
เด็กน้อยไร้ที่พึ่ง มิว่าจะอยู่ในโลกใด ในอาณาจักรใด หรือในเผ่าพันธุ์ใดต่างก็มีอยู่ทุกหนแห่ง แม้ตนคิดอยากช่วยเหลือ ทว่าความจริงแล้วกลับไร้ความสามารถ ตนในยามนี้กระทั่งมีชีวิตอยู่ต่อไปก็ยังมิง่าย
ั้แ่เมื่อใดกันที่เริ่มกลายเป็คนจมปลักอยู่กับความทุกข์? โม่จ้านยกยิ้มขมขื่น
ความเืร้อนในชาติก่อนของตนใช้ประโยชน์อันใดมิได้สักอย่าง ท้ายที่สุดยังคงถูกโลกแห่งความเป็จริงที่ไม่ลึกลับซับซ้อนลับคมจนทื่อ ครั้นมาถึงโลกนี้ กลับแย่ยิ่งกว่า --- เป็าาปีศาจที่มิอาจใช้เวทมนตร์ เป็นักโทษที่ถูกประกาศจับทั่วอาณาจักร หากเอ่ยออกไปคงจะทำให้ผู้อื่นหัวเราะจนฟันร่วง
ภายในมิกี่ลมหายใจเข้าออก โม่จ้านพลันผล็อยหลับไปเสียแล้ว
ทันใดนั้นโม่จ้านรู้สึกราวกับตนกลับไปยังสถานีตำรวจที่คุ้นเคย อธิบดีมองตนด้วยสายตาเหลือเชื่อ “ด้วยความสามารถของนาย ถ้าอยู่ในสังกัดกองกำลังตำรวจติดอาวุธของสถานีตำรวจจะต้องเป็คนโดดเด่นแน่นอน มาที่หน่วยสันติบาลก็ไร้หนทางแสดงฝีมือน่ะสิ” ตนกลับตอบกลับไปด้วยสีหน้าจนปัญญาว่า “คะแนนแย่ไปสักหน่อย ผมจะไปทำอะไรได้”
เพียงชั่วพริบตาเดียว ตนตัดสินใจลาออกแล้วบินไปต่างประเทศ เหล่าเพื่อนร่วมงานมีทั้งร้องไห้และเหนี่ยวรั้ง มีทั้งแย้มยิ้มสนับสนุน และยังมีทั้งที่ช่วยโทรศัพท์หางาน มิตรภาพล้วนแทรกซึมในดวงตาและเจือโทนสีอบอุ่นเอาไว้ โม่จ้านโบกมือ ก้าวเท้าไปจากสถานที่ที่มอบประสบการณ์มากมายให้ตน
คุณพ่อที่เคร่งขรึมและคุณแม่ที่อบอุ่นกลับบ้านไปพักฟื้นร่างกายหลังจากหายป่วย กำลังนอนดูโทรทัศน์บนโซฟา จากน้องชายรู้สึกขับไล่กลายเป็เ็า ก่อนจะกลายเป็ยอมรับ ทำให้ตนรู้สึกดีใจอย่างมาก ทว่าคล้ายกับหลังจากเข้าทำงานก็พลันกลับมาเ็าอีกครั้ง ทำเอาตนถึงกับคาดเดามิถูก ส่วนน้องสาวกลับเข้าใกล้อย่างระแวดระวัง เป็ฝ่ายมาหาตนเพื่อขอคำปรึกษาด้านการเรียน หลังจากสอบเข้ามหาวิทยาลัยก็ก้าวหน้าอย่างมาก ภายหน้าจะต้องกลายเป็ยอดหญิงที่สง่างามเป็แน่
โม่จ้านที่อยู่ในความฝันน้ำตาซึมเสียแล้ว
ขอโทษ พวกเราคงไม่มีทางได้พบกันอีกแล้ว การได้พบกับทุกคน ช่างดีจริงๆ