เถาวัลย์สีเขียวมรกตเลื้อยปกคลุมไปทั้งกำแพง
ตรงหัวมุมของกำแพงยังมีบ่อปลาเล็กๆ ที่มีเพียงปลาสีดำและขาว ดูไร้สีสัน
ด้วยปลาหลากสีนั้นหากถูกนำมาปล่อยในบ่อนี้ ไม่นานนักก็จะถูกเฉินโย่วใช้แหช้อนขึ้นมา
เฉินโย่วน้อยชอบสิ่งของที่มีสีสันนัก
ข้างบ่อปลานั้นยังมีแปลงผักเล็กๆ อีกแปลง
บัดนี้จึงได้เห็นว่าแม่นางหลัวผู้สูงส่งได้เลิกปลูกดอกไม้เสียแล้ว แต่เปลี่ยนมาปลูกต้นผักพระพุทธแทน
ใบของมันหนานัก งอกขึ้นเป็คู่ๆ แล้วโน้มเข้าหากันจนดูราวกับมือที่กำลังประนม สามารถกินดิบได้ รสชาติหวานกรอบไม่เบา
ฤดูหนาวก็สามารถปลูกได้
นอกจากผักพระพุทธแล้ว บนูเาแห่งนี้ก็ยังปลูกผักอีกหลายชนิด เรียกได้ว่าแทบจะปลูกกันทุกครัวเรือน
บัดนี้ค่ายบนูเาแห่งนี้ไม่เรียกตนเองว่าค่ายอีกต่อไป นายท่านสามบอกว่า บัดนี้ค่ายของเราไม่ได้เป็โจรผู้ปล้นชิงอีกแล้ว ทุกคนล้วนเป็สุจริตชน ดังนั้นจึงเปลี่ยนชื่อที่นี่เป็หมู่บ้านไป๋กู่แทน
คนที่ร่างกายอ่อนแอก็ให้ปลูกผักอยู่บนเขา เลี้ยงแพะเลี้ยงแกะ ถึงเวลาก็ค่อยเอาไปขายในตลาด
ส่วนคนที่แข็งแรงหน่อยก็ให้เป็หน่วยลาดตระเวน หรือทำหน้าที่คอยสืบข่าวก็ได้เช่นกัน ทว่าหน้าที่เหล่านี้กลับไม่ได้มีเพื่อไว้ปล้นสะดมเหมือนเก่า แต่มีไว้เพื่อคอยเก็บค่าผ่านทาง
แม้จะไม่มีการปล้นทรัพย์ดั่งวันวาน แต่ชีวิตบนเขานี้ก็ดีขึ้นยิ่ง ทุกที่ล้วนเจริญงอกงาม
“พี่สวิน ช่วยข้าด้วย” เฉินโย่วน้อยคร่ำครวญขึ้น
บนร่างนางยังสะพายกระเป๋าหนังงูใบเล็กวิ่งไปะโไป
หลัวอู๋เลี่ยงวิ่งไล่นางครู่หนึ่งก็หอบแฮ่ก
ร่างกายของแม่นางหลัวนั้นนับวันก็ยิ่งแข็งแรงขึ้น น่าจะเป็เพราะเฉินโย่วน้อยทำให้นางโกรธอยู่เสมอ ทุกวันจึงต้องวิ่งไล่ร่างเล็กๆ นั้นเสียหลายครั้ง แม้จะไม่เคยจับตัวได้สักครา
เฉินโย่วน้อยก็นับวันก็ยิ่งซน
เมื่อหันกลับไปไม่เห็นแม่นางหลัวตามมาก็ยืนรออยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นเงาน้าหลัววิ่งมาทางตนแล้วใกล้จะจับตนได้อยู่รำไร ก็ออกวิ่งต่อ......
หลัวอู๋เลี่ยงนั้นโกรธจนควันแทบจะออกหู
เด็กหญิงน้อยวิ่งอ้อมูเาอยู่รอบหนึ่ง สุดท้ายก็วิ่งไปทางเรือนท่านลุงสาม
หน้าเรือนของท่านลุงสามมีบางอย่างกองอยู่ ดูแล้วเกะกะนัก
ยามนางมาที่เรือนนี้ทุกครั้ง นางก็จะอ้อมเข้าเรือนจากทางด้านหลังเสมอ
ด้านหลังเรือนนั้นมีโพรงเล็กๆ อยู่ ต่อมาพี่สวินก็ให้คนทำประตูขึ้น นางจะได้ไม่ต้องคลานลอดเข้ามา
มืออ้วนๆ ผลักประตูให้เปิดออกจนมีเสียงเอี๊ยดอ๊าดดังขึ้น
สวนหลังเรือนท่านลุงสามนั้นสวยนัก มีทั้งต้นไม้ สระทราย และองุ่น
ยามนางเข้ามาก็เห็นพี่สวินนั่งอยู่บนเก้าอี้หวายพิงต้นองุ่นอยู่ บนศีรษะนั้นยังมีหนังสือปิดไว้
เฉินโย่วน้อยค่อยๆ ย่องเข้าไปหา เพิ่งจะเดินไปถึงหน้าเขา ก็เห็นว่าบนค้างมีงูดอกไม้ตัวหนึ่งกำลังร่วงลงมา เด็กหญิงจึงกรีดร้องเสียงหลง แล้วจึงจับเ้างูตัวเดิมโยนกลับขึ้นไปบนค้างองุ่น
อาสวินก็จนใจได้แต่หยิบหนังสือที่ปิดหน้าของเขาลง
เฉินโย่วน้องเพียงครู่เดียวก็ปีนขึ้นไปบนเก้าอี้หวายแล้วนั่งลงบนตักอาสวิน จากนั้นก็หยิบองุ่นที่อยู่ด้านข้างโยนเข้าปากไป
อาสวินมองเฉินโย่วน้อยที่วิ่งมาจนเหงื่อโทรม ก็เอ่ยถามนางอย่างจนปัญญาว่า “เ้าไปซนมาอีกแล้วหรือ”
เฉินโย่วน้อยส่ายหน้า ทำเสียงอู้อี้ตามอาสวินพร้อมองุ่นเต็มปาก “เปล่าเสียหน่อย ข้าแค่วิ่ง ส่วนน้าหลัวก็ไล่ตาม ไล่ไป ไล่ไปก็เจอกับท่านลุงสาม ข้าเลยมาหาท่านที่นี่ไง”
อาสวินหยิบหนังสือขึ้นมาเคาะศีรษะเด็กหญิงบนตักตนเบาๆ
เฉินโย่วน้อยจึงยิ้มเ้าเล่ห์ออกมาทีหนึ่ง
ทว่าแม้แต่รอยยิ้มชั่วร้ายเช่นนี้นางก็ยังดูงดงามนัก
“เ้าแอบลงจากเขาไปก่อเื่อีกแล้ว”
“ข้าไม่ได้ก่อเื่ มีน้าชายกลุ่มหนึ่งะโบอกให้ข้ากินเผ็ด ข้าก็เลยบอกว่าข้าชอบกินเผ็ดเสียที่ไหน จากนั้นก็ไม่มีอะไรแล้ว” เฉินโย่วน้อยอธิบายให้อาสวินฟังด้วยท่าทีจริงจัง
จากนั้นศีรษะน้อยๆ นั้นก็ถูกหนังสือเคาะเข้าอีกทีหนึ่ง
“ข้าจะลงโทษเ้าให้ท่องหนังสือ ตอนบ่ายข้าจะมาตรวจ หากเ้าท่องไม่ได้ เย็นนี้ก็ไม่ต้องกินข้าว ข้าจะไปคุยกับเสี่ยวอู่และอาลู่เองว่าห้ามอ่อนข้อให้เ้า”
เฉินโย่วเมื่อได้ยินว่าต้องท่องหนังสือ ใบหน้าน้อยก็พลันก้มต่ำทันที
เดิมทีนางคิดจะมาอวดกระเป๋าหนังงูใบใหม่ของนาง
ใครจะคาดว่าผลลัพธ์กลับเป็การทำร้ายตัวเอง
นางช่างจนปัญญากับเื่การเรียนนัก เพราะไม่ว่าท่านลุงสาม น้าหลัว กระทั่งอาปาและพี่ชาย ต่างก็เห็นดีเห็นงามเหมือนกันทุกคน
นางนั้นพยายามต่อต้านตั้งหลายครั้ง ทว่ากลับไม่เกิดผลใด
อาสวินมองน้องสาวที่ทำท่าราวกับกำลังน้อยใจ ก็รีบหันหน้าไปทางอื่น ด้วยรู้ทันว่าเ้าตัวเล็กจะมาไม้นี้อีกแล้ว
หากเพียงไม่ระวังก็ย่อมต้องโดนนางหลอกเข้าให้
หลัง่บ่าย
ในเรือนนั้นปรากฏภาพอาสวินกำลังอ่านหนังสืออยู่ เฉินโย่วเองก็กำลังอ่านหนังสือเช่นกัน
อาสวินยามอ่านหนังสือนั้นเงียบงันด้วยความตั้งใจ ยามนั่งหลังก็ตรงดุจพู่กัน บางครั้งก็จะหยิบพู่กันขึ้นมาบันทึกบางอย่าง ค่อยๆ พลิกอ่านทีละหน้าไปเรื่อยๆ
ส่วนเฉินโย่วยามอ่านหนังสือนั้นช่างมีชีวิตชีวิตชีวา เสียงใสๆ ของนางก็ดังฟังชัด
“โค่นแล้วจำจันทร์เ้า ลอยล่องเร้าตามสายธารธารใสเกลียวธารา
มิหว่านพฤกษ์เก็บไหนเลย สามร้อยโยชน์พรรณพฤกษาหนีแก้วตาไปไหนเลย
อดสูเ้าสุกรยามนิทราถูกล่าเอย บ้านใดปลิดชีวาท่านป้าน้าหรือลุงเฉลย
ไม้จันทน์ทำซี่ล้อ แล้ววางต่อข้าสายธารธารใสเกลียวธารา
มิหว่านพฤกษ์เก็บไหนเลย สามร้อยรวงธัญญาใยแก้วตาจำอาดูร
อดสูเ้าสุกรยามนิทราถูกล่าเอย บ้านใดปลิดชีวาท่านป้าน้าหรือลุงเฉลย
ไม้จันทน์ทำลูกล้อ แล้ววางว่องข้องสารธารธารใสเกลียวธารา
มิหว่านพฤกษ์เก็บไหนเลย สามร้อยรวงธัญญาไยกระทาห้อยแขวนเอย
อดสูเ้าสุกรยามนิทราถูกล่าเอย บ้านใดปลิดชีวาท่านป้าน้าหรือลุงเฉลย”
นอกเรือน นายท่านสามยืนมองพื้นที่ไกลๆ ด้วยความเคอะเขิน
ข้างกายเขามีแม่นางหลัวยืนอยู่
แม่นางหลัวนั้นไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด หากมีอะไรเปลี่ยนไป ก็คงมีเพียงแต่นางที่ดูงดงามขึ้นเท่านั้น เมื่อก่อนนั้นนางดูงดงามทว่าเ็านัก จึงทำให้รู้สึกว่านางนั้นดูราวกับไร้หัวใจ
ทว่านางในปัจจุบัน แม้แต่รอยยิ้มน้อยๆ ของนางก็ล้วนแต่ดูอบอุ่น จนทำให้คนนึกสนใจ
แม้ว่าคืนนั้น เขาจะเห็นนางเป็คนลงมือผลักนายท่านใหญ่ลงสระกระดูก
ทว่ากลับทำให้เขายิ่งนึกรักนางเสียด้วยซ้ำ
ท่าทางยามนางผลักคนนั้นดูแล้วช่างดุดันมั่นใจเช่นวีรบุรุษ เด็ดขาดไร้ความลังเล
“นางช่างฉลาดจริงๆ”
นายท่านสามพยักหน้าเห็นด้วย
เขารู้ว่าแม่นางหลัวนั้นกำลังพูดถึงเ้าตัวน้อยที่กำลังโคลงศีรษะท่องหนังสืออยู่นั้น
เด็กหญิงวัยเพียงห้าขวบ สอนไปเพียงครั้งเดียวก็สามารถจดจำตัวอักษรทั้งหมดจนสามารถอ่านหนังสือได้เอง ทั้งที่นางนั้นไม่ได้ตั้งใจอันใด มีแต่จะี้เีตัวเป็ขน มีเพียงยามเล่นเท่านั้นจึงจะจริงจังขึ้นมา
“ข้ายามอายุเท่านางก็ยังมิได้สนใจอักษรเท่านาง พูดไปแล้วอาโย่วนั้นเก่งกว่าข้าเสียอีก” หลัวอู๋เลี่ยงยามพูดถึงเฉินโย่ว ใบหน้างามก็พลันยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้
“อาสวินเองก็เก่งนัก หากว่าเขาสามารถเข้าเรียนได้ ย่อมต้องได้ที่หนึ่งเป็แน่ เสียดายนักที่บัดนี้ข้าไม่มีอะไรจะสอนเขาแล้ว ทว่าโชคดีที่หลายปีมานี้ หนังสือที่มีบนูเานั้นก็นับว่าไม่น้อยเลย”
นายท่านสามแอบมองแม่นางหลัวทีหนึ่ง ก็จะรีบหลบสายตาไปมองสถานที่ไกลๆ ร่างของชายหนุ่มยืนตัวตรง ซ้ำยังแข็งทื่อ
“ไปเรียนงั้นหรือ...” หลัวอู๋เลี่ยงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่ได้กล่าวอะไร
มิรู้ว่าั้แ่เมื่อใดที่เสียงอ่านนั้นยิ่งดังใกล้เข้ามาทุกที
หลัวอู๋เลี่ยงนั้นพลันรู้สึกว่าเหนือศีรษะนางนั้นมีอะไรเคลื่อนไหวอยู่ ที่แท้ก็เป็เ้าตัวน้อยกำลังปีนกำแพง มือข้างหนึ่งยังถือหนังสือไว้ อีกข้างก็กำดอกไม้ไว้แล้วจึงโยนมาทางนาง
เพียงพริบตา ดอกไม้ดอกน้อยสีเหลือง ก็โปรยเต็มร่างของคนทั้งสอง
นายท่านสามนั้นแท้จริงสามารถหลบทัน ทว่าเขากลับไม่ยอมหลบ
เ้าของใบหน้างามนั้นแหงนขึ้นมองเ้าตัวแสบที่กำลังยิ้มกว้าง ร่างน้อยๆ นั้นก็ยังโคลงไปโคลงมาตามจังหวะการอ่านของตน นางรู้สึกโกรธจนไม่รู้จะทำเช่นไร
โปรยมาครั้งเดียวก็มีดอกไม้ร่วงมามากถึงเพียงนี้ เมื่อครู่ย่อมจะต้องเก็บดอกไม้อยู่เป็แน่ กระนั้นนางก็ยังสามารถอ่านท่องหนังสือไปด้วยได้ ทำทั้งสองเื่พร้อมกันเช่นนี้ แน่นอนว่านางจะต้องตั้งใจเก็บดอกไม้มากกว่านี้เป็แน่
“เ้าลงมานี่เดี๋ยวนี้!” แม่นางหลัวที่บนศีรษะยังมีดอกไม้ปักอยู่ ะโเรียกเ้าตัวน้อยด้วยความโกรธ
เฉินโย่วน้อยจึงส่ายหน้าแรงๆ “ไม่ได้หรอก ข้ายังต้องอ่านหนังสือ มิมีเวลามาเล่นเป็เพื่อนท่าน”
ยามพูดไปก็ยกหนังสือขึ้นมา แล้วโคลงศีรษะไปมา สองขาก็โยกตาม ลูกปัดดอกไม้บนรองเท้านางจึงวิบวับไปมา ยามแสงตกกระทบก็ยิ่งทำให้มันดูน่ามองนัก
จากนั้นเสียงหวานของเด็กสาวก็ดังขึ้น
“นกจีจิวขันร้องเรียกหาคู่, อยู่บนเกาะแก่งกลางแม่น้ำ
สาวงามแสนดีเอย, เ้าเป็ที่หมายปองของชายหนุ่ม
ผักซิ่งในแม่น้ำมีทั้งใหญ่เล็กปะปนกัน, สาวเ้าสาละวนเด็ดผักซิ่ง เดี๋ยวด้านซ้าย เดี๋ยวด้านขวา
สาวงามแสนดีเอย, ข้าตามเกี้ยวนางทั้งยามตื่นและยามหลับ
เกี้ยวนางยังไม่สมหวัง, เฝ้าคำนึงถึงนางทั้งยามตื่นและยามหลับ”
แสงอาทิตย์อัสดงสาดลงบนแก้มของแม่นางหลัว “ลู่เฉินโย่ว เ้าลงมานี่เดี๋ยวนี้!!!”