พระอาทิตย์ขึ้นก็ทำงาน พระอาทิตย์ตกก็พักผ่อน
ยามพระอาทิตย์อัสดงลับลงหลังยอดเขา เหล่าคนที่ลงไปทำงานที่ตีนเขาก็ค่อยๆ ทยอยกันกลับมา
เส้นทางยามกลับไปหมู่บ้านไป๋กู่ทุกร้อยก้าวจะมีตะเกียงกระดูกแขวนอยู่ บนูเานั้นมีชายชราคอยรับหน้าที่ดูแลเื่นี้โดยเฉพาะ
ผู้คนเดินทางค่ำมืดก็ไม่ต้องกังวล แสงไฟจากตะเกียงกระดูกนั้นสว่างนานนัก แม้จะไม่ได้สว่างมาก แต่ยามลมพัดก็ไม่ได้ดับตามลม
เหล่าคนชุดสุดท้ายที่กลับมาคือทหารยามที่เก็บค่าผ่านทาง
ยามพวกเขากลับขึ้นูเา ประตูใหญ่ก็ปิดลงทันที
เดิมทีูเาแห่งนี้นั้นก็มิได้มีประตู ทว่าในปีนั้นโดนค่ายไป๋หู่โจมตีอย่างหนัก จึงได้สร้างประตูป้องกันขึ้นมา
ประตูบานนี้ดูหยาบกระด้างนัก มีโซ่เหล็กสำหรับรั้งประตูขึ้นร้อยอยู่ ทางเข้าออกยามราตรีก็จะถูกปิดลง ซ้ำในความเป็จริงยังมีกับดักอีกหลายชั้นสำหรับป้องกันหมู่บ้าน
ใต้ดินยังมีเหล็กแหลมถูกฝังไว้อีกหลายแถว
ยามผู้คนมาถึงูเากระดูกที่เรียงรายอยู่ ก็ยังเคยชินที่จะคุกเข่าลงคำนับ
บัดนีู้เากระดูกนั้นไม่ได้กองสูงไปด้วยกระดูกดั่งวันวาน แต่กลับแขวนห้อยผ้าหลากสีเอาไว้แทน
ด้วยนายหญิงน้อยนั้นชอบสีสันนัก
ยามนางเพิ่งจะเดินได้ ก็เดินโซซัดโซเซปีนขึ้นไปบนยอดูเากระดูก ในมือกำผ้าสีแดงผืนหนึ่งขึ้นไปแขวนข้างบน
ต่อมาผู้คนจึงพากันมาแขวนผ้าผืนงามสีสันสดใสไว้้าตามนายหญิงน้อย
ยามลมพัดผ่าน ผ้าเจ็ดสีเ่าั้ก็จะพลิ้วตามลม ดูแล้วงดงามนัก
เมื่อเคารพูเากระดูกเรียบร้อยแล้ว ทุกคนก็พากันแยกย้ายกลับไปกินข้าวที่บ้านตัวเอง
อาลู่ ชายหนุ่มที่ลงจากเขาไปยังป่าต้าเจ๋อหรือชายเ้าของแผงขายชาเมื่อตอนกลางวัน ก็กลับมาแล้วเช่นกัน
ซ้ำเขายังพาคนกลับมาด้วยอีกเป็พรวน
เมื่อเช้าเสี่ยวอู่มัดตัวคนเหล่านี้ไปส่งที่ด่าน คิดจะไปถามเสียหน่อยว่าคนเหล่าจะให้ส่งตัวให้ทางการหรือไม่ เพราะคนเหล่านี้นั้นเอาแต่โหวกเหวกโวยวายว่าพวกเขานั้นเป็ชาวเมืองหลวง พวกด่านชายแดนมิอาจมายุ่มย่ามกับพวกเขาได้ ดังนั้นเขาจึงได้แต่รอให้อาลู่มาจัดการ
วันนี้บนูเาเกิดเื่ใหญ่ขึ้น ทุกคนจึงจะมาร่วมกันหารือเพื่อตัดสินใจ
หลังจากจัดการเหล่าชายหนุ่มมัดไว้หน้าูเากระดูกเรียบร้อย อาลู่นั้นกลับกระท่อมไปกินข้าวก่อน
เด็กหนุ่มยังคงอาศัยอยู่ในกระท่อมไม้บนทุ่งหญ้าเหมือนเดิม
เพียงแต่กระท่อมไม้บัดนี้เปลี่ยนเป็หลังใหญ่ขึ้นกว่าเดิม ด้านข้างยังสร้างเพิ่มขึ้นอีกหลังหนึ่งไว้ให้อาสวินและเสี่ยวอู่อยู่
เหล่าปายังดูฝูงม้าอยู่
เฉินโย่วบัดนี้มีเตียงไม้หลังน้อยเป็ของตัวเอง ไม่ต้องนอนบนโพรงหญ้าอีก เตียงน้อยของนางนั้นเป็ฝีมือพี่ชายตัดไม้มาประกอบให้ เตียงนี้ก็ช่างแข็งแรงดีนัก
อาหารเดี๋ยวนี้นั้นก็อุดมสมบูรณ์ เมื่อก่อนนั้นมีแต่จะกลัวท้องหิว ยามนี้มีอาหารให้กิน ทุกมื้อก็มากเสียจนแทบกินไม่ไหว
เด็กชายที่เคยร่างผอมเกร็งนั้น บัดนี้ก็ทั้งแข็งแรงทั้งอ้วนดำ ความสูงนั้นก็แซงอาลู่เสียแล้ว ทำให้ร่างนั้นบางคราก็ดูคล้ายเจดีย์สีดำ
ตอนนี้ให้เขาอุ้มอาสวินก็ยังอุ้มได้สบาย ทว่าร่างกายของอาสวินก็ดีขึ้นกว่าเก่า ท่านหมอหูบนูเานั้นนับว่าฝีมือการรักษาไม่เลว สามารถรักษาทั้งสองให้หายดีได้ บัดนี้อาสวินจึงสามารถเดินเองได้แล้ว
อาสวินนั้นตัวผอมสูง แม้จะกินอาหารได้มาก ทว่ากลับไม่อ้วนขึ้นสักที
เฉินโย่วน้อยก็จากตัวกลมๆ เป็ก้อนก็ค่อยยืดสูงขึ้น บัดนี้แม้จะยังอวบอ้วน แต่ก็กำลังน่ารักไม่เบา
มีเพียงคนเดียวที่ดูจะไม่เปลี่ยนแปลงนัก เห็นจะเป็เหล่าปา
เขายังคงแบกหลังปูดโปนของตัวเอง อืม เหมือนจะเห็นผมขาวขึ้นสักหน่อย แต่รอยยิ้มก็มากขึ้นเช่นกัน
บัดนี้มีเด็กมาอยู่ด้วยถึงสี่คน จึงทำให้รู้สึกครึกครื้นขึ้นไม่เบา
ยามกินข้าวก็รู้สึกอบอุ่นนัก
ทว่านอกจากเฉินโย่วน้อยที่เอาแต่กินๆ เล่นๆ ไปวันๆ คนอื่นก็ล้วนแต่ทำงานกันทั้งนั้น
อาลู่เป็หัวหน้าหน่วยลาดตระเวน รับหน้าที่คอยสืบข่าวคราว
เสี่ยวอู่นั้นก็ทำงานอยู่ที่ด่านเก็บค่าผ่านทาง รับผิดชอบจัดการเหล่าคนที่ไม่ยอมจ่ายค่าผ่านทาง และเหล่าโจรที่คอยดักปล้นระหว่างทาง
ส่วนอาสวินนั้นหากมองภายนอกก็เห็นว่าเขาเพียงแต่อ่านหนังสือ ทว่าแท้จริงกลับเป็คนที่ทำงานหนักที่สุด รายรับรายจ่ายในค่ายนั้นล้วนแต่ได้อาสวินเป็คนจัดการ งานของเขาจึงต้องทำร่วมกับนายท่านสามเสมอ
ทว่าเฉินโย่วน้อยนั้นเป็คนที่นายท่านสามแต่งตั้ง จึงไม่ต้องทำงานอะไร แต่ละเดือนแค่รอรับเงินเท่านั้น จึงนับได้ว่านางนั้นร่ำรวยที่สุดในกลุ่มพี่น้อง
มองนางกินข้าวคำโตคำหนึ่ง จากนั้นก็กินเนื้อตามอีกคำโต ผักในจานนั้นนางล้วนแต่หลีกหนีไม่ยอมกิน อาลู่จึงทำหน้าขรึมกล่าว “เ้าต้องกินผักให้หมด มิเช่นนั้นจะตัวสูงได้อย่างไร”
“ใช่แล้ว น้องสาวเ้าดูข้า มีอะไรก็กินหมดจึงได้โตไวเช่นนี้” เสี่ยวอู่ได้ยินคำของอาลู่ก็รีบพูดเสริม
เฉินโย่วทำหน้าตาขยะแขยงผักในชามตน นางสะบัดหน้าแรงๆ แล้วแย้งขึ้น “ข้าไม่อยากตัวสูง ตัวสูงแล้วจะไม่มีใครอุ้ม”
“ใครว่ากันเล่า ต่อให้เ้าตัวสูงพี่ก็ยังจะอุ้มเ้าอยู่ดี” อาลู่กล่าวไปก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมา
เหล่าปาที่ผู้าุโของบ้านนั้นยังคงก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อ พร้อมรอยยิ้มเต็มหน้า
ในอดีตนั้นในค่ายฟังคำสั่งจากคนเพียงผู้เดียว นายท่านใหญ่พูดอะไรก็ว่าตามนั้น ไม่มีใครกล้าโต้แย้ง ส่วนคนที่กล้าโต้แย้งก็ล้วนไม่มีชีวิตเหลือแล้ว
บัดนี้นายท่านใหญ่ก็จากไปแล้ว ทายาทของนายท่านใหญ่ก็เป็เพียงเด็กสาวที่ยังนั่งนิ่งๆ ไม่ได้เสียด้วยซ้ำ ด้วยเหตุนี้จึงกลายมาเป็ระบบที่ทุกคนสามารถออกความเห็นได้ จากนั้นก็เลือกตัวแทนสักคนออกมาอภิปราย สิ่งที่อภิปรายก็จะถูกบันทึกไว้ หากว่าสิ่งที่เสนอได้รับการยอมรับ ผู้ที่เสนอก็จะได้รางวัล ส่วนรางวัลนั้นก็เป็ของง่ายๆ เช่นเนื้อแห้งสักชิ้นหรือผ้าสักผืน จากนั้นจึงส่งมอบให้หลังการประชุม
เมื่อเป็เช่นนี้ ยามมีเื่อะไร ทุกคนจึงกระตือรือร้นที่จะออกความเห็นนัก ซ้ำยังรอบคอบ
“ส่งให้ทางการเถอะ จะได้ไม่ต้องมายุ่งยาก...”
เมื่อมีคนพูด ก็มีคนหนึ่งแย้งทันที
“ข้าไม่เห็นจะได้ยินเ้าพวกนั้นพูดเสียหน่อยว่าตัวเองเป็ชาวเมืองหลวง หากส่งให้ทางการ พวกเราไม่ทันจากไป เ้าพวกนี้ก็คงจะโดนปล่อยตัวแล้ว บนเขาก็นับวันยิ่งมีเด็กมากขึ้น หากเ้าพวกนี้มาขโมยเด็กๆ จะทำอย่างไรเล่า”
เื่นี้เกี่ยวพันกับทุกคน ท่าทีของพวกเขาจึงดูจริงจังเป็พิเศษ
ทุกคนนั้นล้วนไม่ได้สังเกตเห็นว่าไม่รู้ว่าั้แ่เมื่อใดที่บนเขาแห่งนี้เริ่มมีเด็กกำเนิดมา แต่ก็คาดว่าคงจะั้แ่ที่อาลู่และน้องสาวขึ้นมาอยู่บนเขา
เหล่าชายที่โดนมัดไว้ด้วยกันที่มุมห้อง เมื่อเสี่ยวอู่เข้ามาก็เตะพวกเขาทีหนึ่ง จากนั้นก็ทำหน้าถมึงทึงมองชายฉกรรจ์ในห้องที่กำลังตัวสั่นงันงก
พวกเขานั้นโดนจับกลับมาที่หมู่บ้านจริงหรือ?
เหตุใดชายชราที่เช็ดเก้าอี้อยู่ จึงมีรอยแผลเป็จากคมมีดบนศีรษะได้เล่า
“นายท่านสาม ข้าว่าพวกเรามิต้องยุ่งยากถึงเพียงนั้นหรอก พวกเราค่ายกระดูกขาวกลัวใครเสียที่ไหน เ้าพวกสารเลวนี่ถึงขั้นกล้าลงมือกับเด็ก หมู่บ้านข้างๆ ก็มีเด็กหายไปหลายคน ข้าว่าฟันมันให้ตายแล้วเอาไปให้สุนัขกินก็สิ้นเื่แล้ว”ชายฉกรรจ์ในกลุ่มคนหนึ่งกล่าวขึ้น
นายท่านสามโบกมือปัด แล้วกล่าวเสียงขรึม “ข้าบอกแล้ว ต่อไปเรียกไปข้าว่าท่านก็พอ บัดนี้พวกเราล้วนเป็คนธรรมดาแล้ว ไม่ต้องเรียกยศเรียกตำแหน่งอันใดอีก บัดนี้ที่แห่งนี้ยิ่งไม่ใช่ค่ายไป๋กู่ แต่เป็หมู่บ้านไป๋กู่ อ้าปากก็จะพูดแต่เื่ฆ่าแกงไม่ได้อีกแล้ว”
เฉินโย่วน้อยที่นั่งอยู่กลางเก้าอี้ เมื่อกินอิ่มตาก็เริ่มปรือ ทันใดก็มีเสียงท่านลุงสามดังขึ้น เด็กหญิงก็พลันใ จึงได้ร่วมะโออกไปว่า “ขายหน้านัก!”