นายท่านสามนั้นแซ่หวัง
เขาติดตามนายท่านใหญ่มานาน
สามปีก่อนยามค่ายไป๋กู่และค่ายไป๋หู่มีเื่กัน เหล่าโจรหนุ่มเืร้อนในค่ายก็ไปร่วมฆ่าฟันจนล้มตายไปไม่น้อย
ค่ายไป๋กู่แม้ชนะมาได้ แต่ก็ชนะแบบยับเยินนัก
ในงานเลี้ยงฉลองชัยชนะ นายท่านใหญ่ก็ดื่มจนเมามายสิ้นชีพไป
นายท่านสามจึงกลายมาเป็ศูนย์รวมใจของค่ายทันที
นายท่านสามนั้นไม่เหมือนนายท่านใหญ่ที่ชอบรบราฆ่าฟัน ด้วยตัวเขานั้นเดิมทีก็เป็บัณฑิตคนหนึ่ง
แน่นอนว่าต้องมีคนสงสัยว่าบางทีอาจเป็นายท่านสามที่เป็คนฉวยโอกาสลงมือฆ่านายท่านใหญ่ ทว่านายท่านใหญ่นั้นจิตใจอำมหิต ฆ่าคนเป็ผักปลา ดังนั้นเมื่อเปลี่ยนมาเป็นายท่านสาม ทุกคนก็รู้สึกวางใจขึ้นไม่น้อย
เพียงแต่นายท่านสามนั้นไม่เพียงจะไม่รับ่ต่อตำแหน่งของนายท่านใหญ่ ยังทำตามคำสั่งเสียของนายท่านใหญ่ ให้เด็กหญิงน้อยเป็นายใหญ่ของค่ายแห่งนี้
ทว่าเมื่อสิ้นนายท่านใหญ่แล้ว นายท่านสามก็ให้ทุกคนปรับเปลี่ยนชีวิตตนเองเสียหน่อย
เดิมทีในค่ายนั้นก็มีแต่คนเจ็บคนป่วย ย่อมไม่เหมาะนักที่จะไปปล้นสะดม ดังนั้นจึงได้แต่ฟังคำของนายท่านสาม ค่อยๆ ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตตนเอง
ในตอนแรกทุกคนต่างก็คิดว่าคงจะต้องพากันลำบากอยู่พักหนึ่ง ยามไปออกปล้นกับนายท่านใหญ่นั้นยังได้กินอิ่มบ้าง ไม่อิ่มบ้าง ยอมทนไปจนกว่าจะได้ออกปล้นครั้งใหม่เท่านั้น
บัดนี้จะไม่ได้ออกปล้นแล้ว ทว่ากลับคิดไม่ถึงว่าชีวิตของทุกคนนั้นมีแต่จะดีขึ้น
ทุกคนไม่ต้องกลัวว่าหากาเ็แล้วจะถูกนำไปทิ้งที่ถ้ำเชลยให้เอาชีวิตรอดด้วยตัวเอง บัดนี้กระทั่งคนในถ้ำเชลยก็ล้วนถูกรับตัวออกมาหมดแล้ว
นายท่านสามก็ให้คนอื่นๆ เรียกเขาว่าท่านหวัง
ค่ายไป๋กู่ก็เปลี่ยนชื่อเป็หมู่บ้านไป๋กู่
ถึงกระนั้นในวันปกติทุกคนก็ไม่ค่อยเคยชินนัก
คำพูดของนายท่านสามทำให้กลุ่มพ่อค้ามนุษย์นั้นนึกว่ามีความหวัง
ขอเพียงถูกปล่อยตัว อย่างมากพวกเขาก็แค่ย้ายไปที่อื่น และไม่กลับมาที่นี่อีก แคว้นเชินนั้นใหญ่ออกปานนี้ จะไม่มีที่ให้เขากับเหล่าพี่น้องเชียวหรือ
แน่นอนว่าหากครั้งนี้พวกเขาหนีรอดไปได้ อาศัยแค่เส้นสายของพวกเขาเจรจากับทางการให้พาคนมาปราบเ้าพวกโจรที่นี่ เช่นนั้นอย่าว่าแต่แม่หนูน้อยนั่นเลย กระทั่งพี่ชายนาง และเ้าเด็กหนุ่มที่กำลังตวัดพู่กันเขียนบางอย่างอยู่ เ้าเด็กนั่นผิวขาวผ่องนัก ดูแล้วมีราศียิ่งกว่าบัณฑิตของแคว้นเชินเสียอีก ซ้ำเมื่อครูยังเห็นสตรีที่อุ้มแม่หนูน้อยนั่นมา นางช่าง......
แม้รูปลักษณ์ของแม่หนูน้อยสำหรับพวกเขาแล้วจะนับว่างามล่มบ้านล่มเมือง ทว่าสตรีตรงหน้าพวกเขาในตอนนี้นั้นก็งดงามจนแทบจะทำให้เกิดภัยพิบัติได้
ไม่คาดคิดว่าหมู่บ้านในหุบเขาลึกเช่นนี้จะมีหญิงงามปรากฏตัวออกมาได้ กระทั่งในหออู๋เปียนที่พวกเขาสนิทสนม สตรีนางใดในหอพวกเขาล้วนเคยเห็นมาหมดแล้ว ทว่าไม่มีนางใดที่จะงดงามเท่าสตรีตรงหน้าพวกเขาในตอนนี้
แม้กระทั่งบนร่างนางจะไม่มีทั้งไข่มุกและปิ่นเงินประดับกาย ทว่ายามมองนางที่นั่งอยู่ ก็ให้ความรู้สึกสะอาดสะอ้านมองแล้วปลอดโปร่งโล่งใจนัก
เหล่าสตรีที่หออู๋เปียนบ่มเพาะนั้นต่างก็ได้รับการสั่งสอนจากสตรีคนอื่นๆ ทว่าร่างกายนั้นกลับมีกลิ่นอายอีกแบบหนึ่ง
ทว่าสตรีที่นั่งอยู่ตรงหน้านี้ แม้จะเทียบกับแม่นางคนอื่นได้แล้ว ทว่ายังดูคล้ายแม่นางคนหนึ่งอยู่ดี
ชายเ่าั้ย่อมมิอาจเข้าใจ หลัวอู๋เลี่ยงนั้นได้รับการบ่มเพาะตามขนบสตรีที่จะเข้าวังั้แ่เล็ก คนที่ดูแลนางล้วนเป็นางกำนัลาุโที่ถูกส่งมาจากวัง ทุกย่างก้าวทุกการเคลื่อนไหวล้วนสลักอยู่ในกระดูกของนาง
ประกอบกับผ่านประสบการณ์ความเป็ความตายในค่ายแห่งนี้มาหลายปี นางนั้นไม่ได้เปลี่ยนเป็คนใจดำอำมหิต นั่นก็เพราะเ้าทารกน้อย ซ้ำนางยังเป็เป็คนจิตใจงดงามอ่อนโยนกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ
เหล่าพ่อค้ามนุษย์สี่ห้าคนนี้ ด้วยเพราะทำงานประเภทนี้มานาน แววตาจึงชั่วร้ายนัก
ทว่าเมื่อพวกเขาหันมาเจอเ้าเด็กอ้วนดำที่ลากพวกเขามานั้น พวกเขาก็อดจะตัวสั่นขึ้นอีกครั้งไม่ได้
ไม่รู้จากเ้าเด็กนี่โผล่มาจากที่ใด ไฉนแรงจึงได้เยอะนัก ยามถือลูกเหล็กก็มั่นคงนัก ฟาดลงมาจนพวกเขาหน้ามืดตาลาย กระอักเืกันไปหมด
เ้าเด็กหญิงคนนี้แม้จะเห็นว่าหน้ากลมๆ อายุยังน้อย รูปลักษณ์น่ามองชวนให้คนชอบพอ ทว่าแค่คิดถึงเื่นั้นพวกเขาก็พลันปวดบั้นท้ายขึ้นมาแล้ว
“ข้าบอกกี่ครั้งแล้วว่าห้ามพูดเื่ฟันแทงอีก พวกเราเป็ชาวสุจริตชนแล้ว พวกเราแค่เพาะปลูก เลี้ยงสัตว์และตัดไม้เท่านั้น แล้วเช่นนี้พวกเราจะไปฆ่าคนได้อย่างไร” นายท่านสามกล่าวอย่างเคร่งเครียดอีกครั้งหนึ่ง
ชายหนุ่มพยักหน้าตอบด้วยความเคารพ “ท่านหวัง ข้าก็แค่พูดเลื่อนเปื้อน เช่นนั้นท่านว่าเอาอย่างนี้ดีหรือไม่ พวกเราก็เอาเ้าพวกนี้ไปโยนลงสระกระดูก เดี๋ยวไม่กี่วันกระดูกเ้าพวกนี้ก็ลอยขึ้นมาเอง เช่นนี้พวกเราก็ไม่ต้องไปฟันแทงใครแล้ว”
นายท่านสามเมื่อได้ยินความคิดนี้ก็ยิ้มๆ แล้วพยักหน้า หันหน้าไปคุยกับอาสวิน “ความคิดเช่นนี้ค่อยใช้ได้หน่อย อาสวิน เ้าจดลงไปที”
ชายหนุ่มไม่คิดว่าข้อเสนอของตนจะถูกบันทึกลงไปเช่นนี้ ใบหน้าจึงปรากฏแววตื่นเต้น
คนอื่นๆ ก็พากันพูดขึ้นมาเช่นกัน
“เอาพวกมันไปไว้ในถ้ำเชลยดีกว่า!”
นายท่านสามส่ายหน้าอีกครั้ง “เพ้อเจ้ออีกแล้ว พวกเราคือหมู่บ้านไป่กู๋ พวกเราจะมีถ้ำเชลยได้อย่างไร นั่นคืออุโมงค์ใต้ดินของหมู่บ้านเราต่างหาก ทว่าให้พวกเขาไปซ่อมอุโมงค์ใต้ดินก็นับว่าเป็ความคิดที่น่าสนใจ อาสวิน เ้าจดลงไปที”
“ท่านหวัง ไม่สู้ขายพวกมันให้แคว้นจิงจะไม่ดีกว่าหรือ ได้ยินว่าแคว้นจิงยามทำอาวุธนั้น้าทาสที่พร้อมตาย เ้าพวกนี้ก็ดูกำยำดี ขายไปเป็ทาสที่พร้อมตายก็น่าจะได้ราคาไม่เบา” อาโต่วจากหน่วยลาดตระเวนมีความเห็นจึงกล่าวขึ้นมา
เหล่าพ่อค้ามนุษย์จากที่เห็นความหวังอยู่รำไรก็พลันสิ้นหวัง ทั้งร่างพากันสั่นเทิ้ม อะไรคือสระกระดูกกัน แล้วถ้ำเชลยอีกเล่า กระทั่งทาสพร้อมตายก็ยังคิดกันขึ้นมาได้ จะมองอย่างไรก็เห็นว่าพวกเขากำลังอยู่ในรังโจรนี่นา
ชายคนที่ดูเหมือนจะเป็ผู้นำร้อนรนรีบยกมือกล่าวขึ้น “นายท่าน ข้ามีความเห็น”
คนที่นั่งอยู่ในห้องจึงพากันหันไปมอง นายท่านสามเองก็สนใจขึ้นมาเช่นกัน ทำท่าฉงนครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถาม “นี่เป็การออกความเห็นภายในของพวกเาาวหมู่บ้านไป๋กู่ พวกเ้าไม่ใช่คนในหมู่บ้าน จึงมิอาจออกความเห็นได้”
คนอื่นๆ จึงพากันหัวเราะ “ต่อให้พวกเ้าเลือกจะตาย ก็มิอาจได้รางวัลหรอก”
ทุกคนพากันหัวเราะครืน
“ต่อไปเราจะคุยเื่ที่สองกัน เดี๋ยวนี้คนสัญจรบนเส้นทางค้าขายมีแต่จะมากขึ้น พวกเรานั้นควรส่งคนไปค้าขายบ้างดีหรือไม่”
เพิ่งจะสิ้นเสียงนายท่านสาม ด้านล่างก็พลันเกิดความวุ่นวายขึ้น
ในตอนแรกที่ไม่ให้คนในหมู่บ้านไปออกปล้นนั้นก็มีคนคิดอยากจะไปค้าขาย ทว่าตอนนั้นค่ายเพิ่งจะผ่านการต่อสู้มา ทุกคนจึงไม่ค่อยคุ้นเคยกับการค้าขายนัก ซ้ำยังไม่กล้าทำอะไรส่งเดช
ทว่าบัดนี้หน่วยลาดตระเวนนั้นทำหน้าที่ได้ดีนัก เห็นผู้คนที่สัญจรเส้นทางนี้ยอมจ่ายค่าผ่านทางจำนวนมากเพียงเพื่อจะได้เดินทางผ่านเส้นทางสายนี้ ทุกครั้งก็นำของกลับมามากมาย ขายแต่ละครั้งก็ได้กำไรงามนัก ช่างทำให้คนนึกอิจฉา
นายท่านสามไม่ได้เร่งรีบ เพียงกล่าวขึ้นท่ามกลางเสียงอึกทึกของทุกคน
รอจนทุกคนพูดกันพอแล้ว ก็ให้คนลุกขึ้นออกความเห็น แล้วให้อาสวินคอยบันทึก
แท้จริงแล้วนายท่านสามนั้นก็ได้ข้อสรุปในใจแล้ว ภายนอกนั้นให้ทุกคนหารือกัน แต่ความจริงแล้วเพียงแค่อยากจะดูท่าทางของพวกเขาเท่านั้น
คนในค่ายเหล่านี้นั้น เมื่อเทียบกับคนภายนอกแล้วก็นับว่าเก่งกาจเื่ต่อยตีนัก ทะเลาะทุกครั้งก็สู้แบบไม่เสียดายชีวิต ทว่าคนฉลาดเฉลียวนั้นกลับไม่มี ส่วนพวกคนที่ฉลาดทำฉลาดคิดนั้นก็ล้วนแต่ตายเร็วนัก
เื่ที่สองนั้นไม่นานก็ได้ข้อสรุปว่าในหมู่บ้านนั้นจะส่งคนพร้อมกับม้าที่ฉลาดสักหน่อยไปทดสอบเื่น้ำก่อน ทว่าเื่สำคัญนั้นยังเป็การไปสืบข่าว
ยามหารือกันนั้น เฉินโย่วยังคงถูกจัดให้อยู่ตรงกลางถัดจากนายท่านสามที่เมื่อก่อนเป็ตำแหน่งที่นายท่านใหญ่หลีโฉ่วเคยนั่ง ทว่าบัดนี้กลับมีเด็กน้อยใบหน้างดงามราวกับหยกชมพูสลักนั่งอยู่ ทั้งยังทำหน้าราวกับกำลังตั้งใจฟัง ทำให้คนที่นั่งมองอยู่นั้นอดนึกขันไม่ได้
“ส่วนเื่ที่สาม เด็กบนูเาก็ยิ่งมากขึ้นทุกวัน เช่นนั้นเื่เรียนหนังสือจะทำอย่างไร”
เฉินโย่วรู้สึกไม่ชอบใจหัวข้อนี้นัก แค่ได้ยินเื่เรียนหนังสือนางก็ปวดหัวแล้ว ทว่าก็ยังคงนั่งที่เดิมอย่างว่าง่าย
รู้สึกว่าบนเขาลูกนี้นั้นพี่สวินช่างเป็คนประหลาดที่สุด วันๆ เอาแต่ถือหนังสือไม่ห่างมือ
“นายท่านหวัง ท่านว่าควรทำเช่นไรดี”
หากพูดถึงเื่การเรียนหนังสือแล้ว แคว้นเชินนั้นนับว่าศักดิ์สิทธิ์และสมภาคภูมิที่สุด ครั้งนี้ทุกคนไม่ได้พูดส่งๆ เพียงแต่รอให้นายท่านสามกล่าวออกมา
“แน่นอนว่าสามารถสร้างสำนักศึกษาสักที่บนเขาลูกนี้ได้ย่อมดีที่สุด ไม่เพียงแต่จะทำให้เด็กๆ ได้เรียนรู้หนังสือ แต่ต่อไปคนที่จะออกไปค้าขายนั้นก็จำเป็ต้องรู้หนังสือ มิเช่นนั้นจะขาดทุนเอาได้ ติดแต่เพียงจะเชิญอาจารย์สักคนมานั้นไม่ง่ายดาย”
เมื่อได้ยินว่าบนเขาจะสร้างสำนักศึกษาขึ้น ทุกคนก็พลันยินดี
ท่านอาจารย์เชิญมาไม่ง่ายงั้นหรือ จริงๆ แล้วก็ไม่มีปัญหาอะไรนี่ ตอนแรกนายท่านใหญ่ก็บอกว่าบนเขานั้นไม่มีหมอ จากนั้นก็ไปฉุดท่านหมอมากฝีมือคนหนึ่งมาได้
ทุกคนคิดเช่นนั้นก็มองท่านหมอหู ชายเคราแพะด้วยสายตาเป็ประกาย
“อะแฮ่ม!” นายท่านสามเคาะโต๊ะแรงๆ ขึ้นเป็สัญญาณให้ทุกคนเงียบเสียงลง
“ต้องใช้คำว่าเชิญ เหล่าบัณฑิตล้วนแต่มีเกียรติ ล้วนต้องให้พวกเขายินยอมพร้อมใจมาเองเท่านั้น”
เฉินโย่วบัดนี้ก็กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจังเล็กๆ ของนาง “ข้าเห็นด้วยเื่ตามหาอาจารย์ เพียงแต่จะต้องให้ข้าเป็คนออกไปตามหาเองเท่านั้น”