“ฟู่ๆ....”
กลางทุ่งหญ้าเงียบสงัด เสียงหายใจแรงๆ พลันดังขึ้น
ท่ามกลางความมืดและแสงดาว ชายชราผมเผ้ากระเซอะกระเซิง ทั้งร่างเต็มไปด้วยาแ กำลังยืนหยัดพาสังขารตัวเองไปทางทิศพายัพ
ค่ำคืนกลางทุ่งหญ้านั้นยังคงอันตรายนัก
ยามค่ำคืนนั้นหมู่บ้านไป๋กู่ไม่จำเป็ต้องเปลืองแรงส่งคนไปประจำการที่ด่านเก็บค่าผ่านทาง ด้วยเพราะยามราตรีของที่นี่ได้กลายเป็ดินแดนของเหล่าหมาป่า การรั้นจะเดินทางต่ออย่างเอิกเกริกนั้น ก็มีแต่จะได้กลายเป็อาหารของพวกมัน
ยิ่งไปกว่านั้นทุ่งหญ้ายามราตรีหนาวเหน็บนัก แตกต่างกับยามกลางวันที่อบอุ่นไปด้วยแสงตะวันโดยสิ้นเชิง ด้วยเพราะยามราตรีมีเพียงจันทราและความหนาวเย็นจับใจ
มองดวงจันทร์ขาวนวลดวงโต ดูคล้ายก้อนน้ำแข็งกลมๆ ที่ทำให้ยิ่งมองแล้วยิ่งรู้สึกหนาวจับขั้วหัวใจ
เสื้อผ้าของชายชราแม้จะดูขาดรุ่งริ่ง ทว่าก็ดูหนานัก ถึงกระนั้นส่วนที่ขาดเป็รูนั้นก็ยังมีปุยนุ่นโผล่ออกมา
ชายชราเดินไม่เร็วนัก โดยเฉพาะขาซ้ายที่ดูราวกับกำลังลากให้เดินไปข้างหน้า
หากว่าถอดชุดคลุมเก่าๆ ของเขาออก ก็ย่อมจะเห็นว่าขาของเขามีไม้สองท่อนที่ดามขาที่ถูกตีจนหักนั้นไว้ด้วยตัวเขาเอง
ราชครูจ้งฟางนั้นไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งจะต้องมาหนีตายเอาตัวรอดเช่นนี้
บางทีอาจจะั้แ่ที่เขานั้นละอายเกินกว่าที่จะยอมรับว่าเป็ความผิดของตนเอง เขาผิดไปแล้วจริงๆ ที่พาองค์หญิงใหญ่ไปทิ้งในแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์เช่นนั้น เขาช่างผิดมหันต์นัก
เขาผิดจนยากจะให้อภัย
บัดนี้จึงถึงเวลาที่เขาจะได้ลิ้มรสความขมขื่นจากผลไม้ที่เขาปลูก
เขาโดนศิษย์แท้ๆ ของตนเอง ศิษย์รูปงามของเขาที่เขาตั้งใจสอนสั่ง ถึงกับทรยศลงมือขายเขาออกมา
ความจริงแล้วที่เขาตกต่ำจนถึงจุดนี้ได้นั้นเป็เพราะเขาชะล่าใจ
ในคราแรก องค์หญิงน้อยยังถากถางเื่ที่เขาเชื่อเื่ไสยศาสตร์ว่าไร้สาระ ควรจะระวังตัวไว้เสียบ้าง
องค์หญิงน้อยนั้นทรงพระปรีชา
หนึ่งชันษาก็ตรัสได้ สองชันษาขับลำนำได้ สามชันษาก็ทรงแต่งบทกลอนได้
ชาตินี้เขายังไม่เคยเจอใครฉลาดถึงเพียงนี้ สิ่งที่นางคิดอ่านก็ช่างทำให้คนในัก
ไม่ต้องพูดถึงสิ่งประดิษฐ์ที่ยิ่งใหญ่เ่าั้ กระดาษหู เกือกม้า...แท้จริงแล้วแค่การละเล่นจากในวังเท่านั้น ทั้งหมดนั้นเป็ปรัชญา เลขสิบสามตัว สำหรับองค์หญิงนั้นเป็การรวมเื่สนุกไว้ให้องค์หญิงตั้งชื่อ
เขายามอยู่กับองค์หญิงก็เพื่อเื่นี้
เขารู้ว่าชื่อนั้นจะต้องมีความนัยมากกว่านั้น เหตุใดจึงจะต้องเป็เลขสิบสามตัว ไม่ใช่เลขสิบสี่ตัว ไม่ใช่เลขสิบสองตัว ว่ากันแล้วสิบสองนักษัตรนั้นยังนับว่าน่าสนใจกว่าเสียหน่อย
เขายังจำภาพองค์หญิงน้อยที่ยืนอยู่ตรงนั้น ั์ตาหงส์มองมาที่เขาแล้วกล่าวขึ้น “ท่านผู้เฒ่าเช่นท่าน คงจะไม่เข้าใจ”
เขาไม่เข้าใจเื่ไสยศาสตร์ของชนชั้นสูง หากเป็เื่คทาเทพนั้นเขายังพอเข้าใจ เทพนั้นก็หมายถึงความศักดิ์สิทธิ์บริสุทธิ์ ส่วนคทานั้นก็คือไม้ท่อนหนึ่ง ทว่าองค์หญิงนั้นกลับไม่เชื่อเื่เทพเซียน
กระนั้นเมื่อเขารู้ความคิดของนาง ก็หวั่นใจไปพักหนึ่ง
นางไม่เชื่อในเื่เทพเซียน องค์หญิงน้อยไม่มีเื่เทพในหัวใจ นางนั้นเป็ถึงคนที่อัญเชิญเทพมา มันเกิดอะไรผิดพลาดขึ้นกันนี่......
องค์หญิงน้อยนั้นหน้าตาหมดจด สติปัญญาเป็เลิศ ไม่ว่าใครก็ต้องนึกรักนาง กระทั่งศิษย์ของเขายามกล่าวถึงองค์หญิงน้อยก็ชมไม่ขาดปาก ถึงขนาดบางครั้งก็หน้าแดงขึ้นมา
เดิมทีเขาคิดว่าศิษย์ของตนนั้นเพียงแค่ยังเยาว์นัก
ทว่ากลับคาดไม่ถึงว่า ชีวิตนี้ของเขาจะพ่ายให้กับลูกศิษย์ที่เอาแต่หน้าแดงและกำมือขององค์หญิงน้อยผู้อ่อนหวานนั้น
เพราะเื่เล็กน้อยเช่นนี้ ฝ่าาถึงขั้นจะปะาเขา
ก็ไม่รู้ว่าั้แ่เมื่อใดที่ฝ่าาเดียดฉันท์เขาเพียงนี้
แม้เขาจะรู้ว่านี่เป็เพียงแค่หมากกระดานหนึ่งที่องค์หญิงและลูกศิษย์ของเขาสร้างขึ้น แต่เขาก็ยังปวดใจนัก
คืนนั้นเขากระอักเื จึงทำนายชะตาให้ตัวเองได้ พบว่าทางรอดเดียวที่เขามีคือต้องเดินทางไปยังทิศพายัพ
ดังนั้นเขาจึงหนีมาในคืนนั้น
ถึงกระนั้นบนเส้นทางก็ยังถูกไล่ฆ่า
เขารู้นิสัยของฝ่าาดีกว่าใคร พระองค์เพียงแค่หูเบาไปชั่วครู่ บัดนี้จึงได้โกรธขึ้นมา แม้เขาจะหนีมาเช่นนี้ ซ้ำยังหนีมานานนัก ฝ่าาก็ยังส่งคนมาไล่ลาไม่เลิกรา เห็นได้ชัดว่ามีคน้ายืมมือฝ่าามาเล่นงานเขา
เมื่อคิดขึ้นมาก็เห็นว่าคนที่จะส่งคนมากมายมาฆ่าเขาได้เช่นนี้ เห็นจะมีแค่คนเดียวคือฮองเฮาเท่านั้น
ฮองเฮาน้อยคนเดิมในปีนั้น
บัดนี้ทั้งหิวและกระหาย
ยามเขาได้กลายเป็ราชครู ก็ได้เตรียมพร้อมจะตายเพื่อแคว้นเชินไว้แล้ว ทว่าไม่ใช่การตายแบบคับอกคับใจเช่นนี้
ตระกูลจ้งของเขานั้นอุทิศตัวเพื่อแคว้นเชิน ทว่าไม่อยากจะเชื่อว่าบัดนี้จะตกต่ำได้ถึงเพียงนี้
เขานั้นมีวิธีป้องกันเื่ฝูงหมาป่าไว้แล้ว องค์หญิงนั้นกล่าวว่าตนคือคทาเทพ ทว่าแท้จริงแล้วบนโลกนี้ก็มีเื่ประหลาดอยู่ไม่น้อย
เครื่องรางบนร่างเขานั้นสามารถขับไล่สัตว์ป่าให้หลบหลีกไปได้
ทว่าก็ได้แต่เป็เช่นนี้ เขานั้นเหนื่อยจนแทบหายใจไม่ทัน
ขาซ้ายของเขาที่หัก กระทั่งพักสักครู่ก็ยังไม่พัก ซ้ำยังต้องหนีหัวซุกหัวซุน
เดินไปก็หอบไป มือหนึ่งถือไม้เท้า ค่อยๆ พาร่างตัวเองไปด้านหน้า
บางครั้งก็แหงนมองท้องฟ้า
เดินไปๆ ก็ไปถึงหน้าแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์
เสียงธารน้ำไหลริน ราชครูเมื่อมาถึงแล้วก็นั่งริมธารน้ำ ฟังเสียงน้ำไหลริน
ที่นี่คือสถานที่ที่เขาทำเื่น่าละอายใจที่สุดขึ้น กระนั้นก็อาจเป็สถานที่ฝังกระดูกเขาไว้เช่นกัน
แม้เด็กคนนั้นจะอยู่ได้อีกไม่นาน ทว่าถึงจะอยู่ได้อีกไม่นาน เขาก็ไม่ควรพรากชีวิตมาจากนางเลย ยิ่งกว่านั้นเขายังทิ้งร่างที่ยังมีชีวิตของนางลงไปในทะเลสาบ จนทำให้นางไม่อาจกลับชาติมาเกิดได้อีก
เขานั้นสมรู้ร่วมคิดกับฮองเฮา บัดนี้คนที่ไล่ล่าของเขาก็เป็ฮองเฮา ช่างยุติธรรมโดยแท้
เมื่อนั่งลงแล้วเขาก็หยิบถุงใส่น้ำขึ้นมา จากนั้นก็เปิดจุกแล้วเทเข้าปากอึกหนึ่ง
เย็นนัก ความชุ่มชื้นนั้นไหลลงคอที่แห้งผาก ราวกับน้ำที่มาดับถ่านร้อนจนมีเสียงปะทุดังขึ้นเบาๆ
ท่านราชครูรู้สึกอ่อนแรงนัก
แม้แต่นั่งก็ยังนั่งไม่ไหว จึงได้แต่นอนลงไปบนพื้น
มองดาวที่ระยิบระยับเกลื่อนฟ้า รู้สึกว่ามันช่างงดงามนัก
เขานอนจ้องเขม็ง ทว่ากลับไม่ใช่เพื่อทำนายชะตาเมือง ไม่ใช่เพื่อทำนายว่ามันจะดีหรือร้าย แต่เพียงเพื่อจะชมความงดงามของมัน
ไม่รู้ว่าศิษย์ของเขาบัดนี้จะทำอะไรอยู่ จะคิดถึงตนบ้างหรือไม่
ศิษย์คนนี้นั้นเขาเป็คนค้นพบด้วยตัวเอง ฉลาดเป็กรด การคำนวณก็ว่องไว เขาวางแผนให้เด็กคนนี้มาสืบทอดตำแหน่งของตน
......
ณ พระราชวัง บนเตียงหยกขาวมีชายหนุ่มรูปงามราวกับหยกขาวกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ด้วยจิตใจกระวนกระวาย
ขณะนั้นเองก็มีนางกำนัลเดินเข้ามา พร้อมชามกระเบื้องสีขาว
“ท่านราชครูน้อย นี่คืออาหารมื้อดึกที่องค์หญิงประทานให้ท่าน พระองค์ตรัสว่าท่านอย่าลงโทษตัวเองเพราะเื่เข้าใจผิดนั้นเลย เดี๋ยวจะาเ็เอาได้”
นางกำนัลคนนี้นั้นปราดเปรียวนัก
เมื่อส่งอาหารเรียบร้อยแล้วก็จากไปทันที กิริยาคำพูดล้วนเรียบร้อยนัก ไม่เหมือนกับนางกำนัลคนอื่นที่เจอเขาก็เอาแต่พูดจาเรื่อยเปื่อย
เด็กหนุ่มไม่อยากเข้าฌานต่อแล้ว จึงเปิดถ้วยกระเบื้องสีขาวนั้นดูเสียหน่อย พบว่าด้านในนั้นคือน้ำแกงบัวหิมะตุ๋น แค่มองก็รู้สึกว่าน่ากินแล้ว
เขาลองชิมคำหนึ่ง รสชาตินั้นไม่หวานนัก ถือว่ากำลังดี เป็รสชาติที่เขาชอบ
เขาไม่ชอบรสหวาน
เมื่อดื่มน้ำแกงหมดแล้ว เขาจึงหลับไป
ก่อนหน้านั้นเขานั้นเป็ห่วงท่านอาจารย์จนมิอาจข่มตาหลับได้เสียหลายคืน
เขาฝัน...ฝันว่าด้านหนึ่งมีท่านอาจารย์ผมขาวยืนอยู่ อีกด้านมีองค์หญิงผมดำยืนอยู่
ท่านอาจารย์ผมขาวราวกับขนนกกระเรียน ใบหน้ามีแต่รอยยับย่น และจุดด่างดำ
องค์หญิงนั้นผมดำดุจหมึก ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ดูน่ารักนัก
เขายื่นมือออกไปจับมือองค์หญิงไว้ แล้วพานางวิ่งหนีไปจากท่านอาจารย์ วิ่งไปไกลแสนไกล
เมื่อเขาหันกลับมามองก็เห็นทุ่งหญ้าเวิ้งว้าง เมื่อเขาร้องเสียงดังออกมาทีหนึ่ง เขาก็พลันลืมตาเสียแล้ว
ฟ้าสว่างแล้ว
แสงแดดยามเช้าตกกระทบลงบนเตียงหยกขาว จึงเห็นเป็ลำแสงอ่อนนุ่มสายหนึ่ง
อาจารย์อยู่บนทุ่งหญ้าหรือ
แสงตะวันสาดส่องเต็มฟ้า
น้ำค้างพราวเต็มหน้ายับย่นของราชครู เขายื่นมือออกเช็ดทีหนึ่ง
เขาโซซัดโซเซลุกขึ้นแล้วเดินไปริมทะเลสาบ ก็มองเห็นเงาของชายแก่ที่ผ่านโลกมาอย่างโชกโชนคนหนึ่ง เขายื่นมือวักน้ำขึ้นล้างหน้า
เมื่อมองลงไปยังทะเลสาบอีกครั้ง ก็เห็นใบหน้างดงามของหนูน้อยปรากฏขึ้น เขาใจนลงไปก้นจ้ำเบ้ากับพื้น
จ้งฟาง ชายแก่ที่นั่งอยู่บนพื้นไม่รู้ว่านางมาอยู่ตรงหน้าั้แ่เมื่อใด เหตุใดเขาจึงไม่รู้สึกตัวเลยว่ามีม้าสีนิลที่มีเด็กหญิงนั่งอยู่บนหลังยืนอยู่ ซ้ำยังทำหน้าจริงจังถามเขาว่า “ท่านผู้เฒ่า ท่านรู้หนังสือหรือไม่”