ผมหยิบมือถือขึ้นมากดหาธันน์ทันที
“กูมีเื่อยากให้ช่วยว่ะ”
“เื่อะไร”
“สืบเื่ครอบครัวของคุณหมอนาวิน” ธันน์เงียบไปครู่หนึ่ง ด้วยนิสัยของมัน ผมรู้ว่ามันกำลังแปลกใจ
“กูคิดแล้ว ว่าคนอย่างมึงไม่ปล่อยพรรณีไปง่าย ๆ เพราะงั้นมึงให้พวกกูหยุดทำไมวะ”
“ที่ผ่านมากูไม่เคยขออะไรมึง กูขอ ว่าเื่ที่กูให้มึงสืบ ช่วยเก็บเป็ความลับที่สุด กูไม่อยากให้ไอริสกับเจย์รู้เื่ด้วย มีแค่มึงกับกู” มันเงียบไปก่อนจะพูดเสียงหนัก
“ถ้างั้นมึงก็ต้องบอกกู ว่ามึงกำลังจะทำอะไร คีย์ ถึงแม้กูจะรู้จักมึงไม่กี่ปี แต่กูก็รู้ว่ามึงเป็คนยังไง แค่มึงบอกว่ามึงจะไม่ปล่อยพรรณีไป แค้นนี้มึงอยากชำระ พวกกูก็พร้อมลุยเต็มที่ ถ้าพึ่งกฎหมายไม่ได้ จะใช้กฎหมู่แก้แค้นก็ยังได้ ไม่เห็นต้องบอกให้พวกกูหยุด และมึงก็ต้องมาสืบเองคนเดียวอย่างนี้อะนะ” ผมรู้ว่ามันเป็ห่วงและหวังดี แต่จุดประสงค์ของผมในตอนนี้ไม่ใช่เื่ที่ผมถูกรถชน เื่นี้ผมปัดตกไปนานแล้ว แต่จะอธิบายยังไงให้ธันน์เข้าใจก็ยากเหมือนกัน
"สักวันมึงก็จะเข้าใจเอง ตอนนี้กู้าข้อมูลทุกอย่างของหมอนาวิน กูรู้ว่ามึงทำให้กูได้” ผมพูดจบก็กดวางสาย ไม่อยากฟังมันซักไซ้อะไรให้มากความ ก่อนก้มมองรอยปานสีชมพูที่ติดตัวผมมาั้แ่เกิด
‘ชาติที่แล้วโง่งม ชาตินี้อย่าซ้ำรอยอีก’ ผมพูดกับตัวเองเบา ๆ แล้วหันมองไปยังประตูทางเข้า ไม่ว่านับจากนี้อะไรจะเกิดขึ้น ผมจะไม่ถอยอีกแล้ว
ในทุกวันที่ผมรักษาตัวและกายภาพอยู่โรงพยาบาล หมอนาวินก็จะเข้ามาดูแลตามหน้าที่ ผมเริ่มชวนคุยถึงส่วนตัว และตีสนิทมากขึ้น จากที่ไม่ค่อยเห็นรอยยิ้มของเขาก็ได้เห็นในบางมุม สืบได้คร่าว ๆ ว่าเขาเป็คนชอบวาดภาพ และชอบเข้าวัดป่าอยู่บ่อย ๆ ไลฟ์สไตล์เป็คนเก่งที่เรียบง่าย กินอาหารง่าย ๆ ใช้ชีวิตอยู่ในกรอบพอสมควร เื่ดื่ม เื่เที่ยวไม่ค่อยถนัดเท่าผม
“ถ้าผมออกจากโรงพยาบาลแล้ว คุณหมอมีเวลาให้ผมสักวันได้ไหม” มือที่กำลังจดรายละเอียดชะงักค้างกลางอากาศ ั์ตาสงบนิ่งเบนมองมาทางผม เหมือนประเมินว่าคำถามนี้ควรตอบยังไงดี
“ผมอาจไม่มีเวลา มากขนาดนั้น”
“วันไหนก็ได้ ที่หมอไม่ต้องอยู่เวร ผมแค่อยากรู้จักหมอในแบบที่ไม่ใส่เสื้อกาวน์กับหน้าที่” ผมยิ้มไม่ได้คาดหวังคำตอบในทันที แต่อย่างน้อยก็อยากให้เขารับรู้ ว่าหลังจากนี้ผมจะเดินเข้าไปอยู่ในชีวิตเขา
“งั้นผมจะรีบหาเวลา” เขาไม่เพียงไม่เก็บอาการ แต่โน้มกายเข้ามาหาแล้วตอบกลับ ซึ่งผมเองก็ไม่ทันตั้งตัว และได้สะดุดกับคำพูดนั้น แวบหนึ่งผมเห็นแววตาเขาไม่ใช่แค่คนเป็หมอที่ตอบตามมารยาท แต่มันคือคำสัญญาเล็ก ๆ ที่จริงใจ
“ถ้างั้นผมจะนับวันรอ!” เขาไม่ตอบหากแต่ปิดแฟ้มลง แล้วมองตรงมา ซึ่งไม่ใช่สายตาที่อ่านง่ายนัก
“คุณเป็คนไข้ที่กล้าพูดอะไรตรง ๆ ดีนะครับ” ผมยักไหล่ พอให้ดูไม่จริงจังนัก
“ก็แค่อยากลองมีเพื่อนเป็หมอดูบ้าง” เขายิ้มน้อย ๆ แล้วหันเดินออกจากห้องพักฟื้นของผมไป
ผมใช้เวลที่มีทั้งหมดในการพักฟื้นร่างกายให้กลับมาปกติเหมือนเดิม จะได้กลับไปเรียน กลับไปเจอเพื่อน และได้อยู่กับครอบครัว ที่สำคัญ ได้กลับไปแก้แค้น! ไม่มีอะไรสำคัญไปมากกว่านี้ ผมนั่งเงียบอยู่บนเตียง มองแสงแดดตกระทบผ้าม่าน ทุกอย่างที่เกิดขึ้นก่อนที่ผมจะเข้าโรงพยาบาล ยังติดตา แสงไฟของรถสว่างจ้า เสียงเบรก และแรงกระแทกสุดท้ายที่ทำให้ผมอยู่ในสภาพอย่างนี้ แต่นั่นก็ไม่มีใครรู้ ว่าผมไม่ได้าเ็แค่เพียงร่างกาย แต่หัวใจผมเองก็ถูกดูดกลืนไปด้วย และผมจะต้องทำอะไรสักอย่าง เพราะมีใครบางคนต้องจ่ายในสิ่งที่ทำไว้กับมยุรา หญิงสาวที่อ่อนโยนไม่ทันโลก...
ภาพในภวังค์หวนย้อนคืนกลับมาอีกครั้ง ผมยังคงอยู่ในชุดของโรงพยาบาล มองตรงไปยังอาหารกลางวันของพรรณีที่ภูมิพลตักเข้าปากไปพร้อมรอยยิ้ม เขามองหน้าเธอราวกับว่าโลกทั้งใบมีเพียงแค่คนตรงหน้า ในสายตาของเขา มยุราก็แค่เครื่องมือที่เขาไว้ใช้ทดแทนบุญคุณพ่อแม่เท่านั้น
“ช่วยทำอาหารเช้าให้ผมแบบนี้ทุกวันเลยได้ไหม?” น้ำเสียงอ่อนโยนของชายหนุ่มในชุดตำรวจเอ่ยกับหญิงสาว ผมเห็นเธอยิ้มแล้วตอบกลับ
“ถ้าคุณ้า ฉันก็ไม่ขัดค่ะ แต่ว่า....” เธอหยุดพูดไป
“ผมรู้ว่าคุณกำลังคิดอะไรพรรณี” เขาวางช้อนลง แล้วเอื้อมมากุมมือพรรณีเบา ๆ ซึ่งผมที่ยืนอยู่ไม่ห่างก็ตั้งใจฟังอย่างดี
“ผมรู้ว่าทุกอย่างตอนนี้ไม่เหมือนเดิม ผมแต่งงานมีภรรยา มีพันธะ ทำให้เราสองคนอยู่ในจุดที่ลำบาก แต่ยังยืนยัน ว่าคนที่ผมรักมากที่สุดก็คือคุณ ผมไม่เคยรักใคร รักคุณมาั้แ่เด็ก คุณก็รู้” ผมที่ยืนฟังอยู่ยกมือขึ้นกอดอก ไม่ว่ายุคสมัยไหน วลีหลอกหญิงมันก็คล้ายกันหมด รักกันมาั้แ่เด็กงั้นเหรอ ถ้ารักกันมากแล้วทำแบบนี้ทำไมวะ ดึงผู้หญิงอีกคนนึงเข้ามาให้เ็ปทำไม? ผมยังคงมีคำถามมากมายอยู่ในใจ ก่อนพรรณีจะดึงมือออกจากภูมิพลอย่างแ่เบา แล้วถามกลับด้วยเสียงเรียบเย็น
“แล้วคุณจะทำยังไง จะอยู่กันไปสามคนแบบนี้น่ะเหรอ?”
“ผมรู้ว่าคุณยังรักผม อยู่กันไปแบบนี้ก็ได้ไม่ใช่เหรอ พรรณี ผมไม่อยากเสียคุณไปจริง ๆ นะ ช่วยอยู่ข้างผมแบบนี้ไปตลอดเลยได้ไหม” เขาเอื้อมไปดึงมือพรรณีเข้ามากุมอีกครั้งด้วยสีหน้าขอร้อง ทว่าท่าทางลังเลของพรรณี ผมได้แต่ส่ายศีรษะไปมา ผู้ชายว่าเลวแล้ว ผู้หญิงก็ไม่ต่าง
“ถ้าให้ฉันอยู่ คุณรับปากได้ไหม ว่าทุกวันสำคัญ คุณต้องมาอยู่กับฉัน ถ้าทำไม่ได้ ฉันก็จะหาทางเดินใหม่เป็ของตัวเอง”
“ได้ ผมทำให้ได้!” เขาตอบตกลงในทันที
“ก่อนตอบฉัน คุณคิดแล้วหรือยังว่าภรรยาของคุณจะว่ายังไง ถ้ารู้ว่าเรายังติดต่อกันอยู่แบบนี้” คราวนี้ผมสังเกตเห็นสีหน้าลังเลของภูมิพลชัดเจนมากขึ้น
“ตอนนี้ผมรอเลื่อนขั้น อีกแค่สองขั้นเท่านั้น หน้าที่การงานผมก็จะมั่นคงมากกว่านี้ หลังจากนั้นผมจะหย่า” ผมที่ยืนฟังอยู่ถึงกับจุกจนพูดอะไรไม่ออก มยุราในชาติที่แล้วต้องเจอกับผู้ชายเลว ๆ ที่ใช้ฐานะของเธอไต่เต้าในหน้าที่การงานแบบนี้ ไม่รู้ไปทำเวรกรรมอะไรไว้ และดูเหมือนคำตอบของเขา ทำให้พรรณีพอใจอยู่ไม่น้อย จึงได้เห็นรอยยิ้มจาง ๆ เผยออกมาจากใบหน้า
ก่อนเสียงเคาะประตูดังขึ้น ผู้ใต้บังคับบัญชาของภูมิพลเข้ามาแล้ว หันมองไปยังพรรณีแล้วทำท่าอึกอัก
“มีอะไรก็พูดมา”
“คุณพ่อกับคุณแม่ของผู้กอง รออยู่ด้านนอกครับ” ผมที่ยืนมองเหตุการณ์อยู่ หันไปยังภูมิพล เขาใจนแทบทำอะไรไม่ถูก รีบเก็บปิ่นโต แล้วกำชับให้พรรณีอยู่แต่ในห้อง สายตาของหญิงสาวสั่นไหวและหวาดกลัว เธอรีบหาที่หลบหลังจากเขาออกไป...
ทว่าไม่กี่วินาทีถัดมา ประตูที่เพิ่งถูกปิด...ก็เปิดออก เผยให้เห็นร่างของผู้ใหญ่สองท่านเดินเข้ามาด้วยท่าทางไม่พอใจ ผมที่ยืนมองเหตุการณ์อยู่ยังต้องชะงัก ด้วยความใไม่ต่างกัน
“พล! นี่แก ยังกล้าเก็บผู้หญิงคนนี้ไว้อีกเหรอ?” เสียงพ่อเขาขึ้นเสียงอย่างไม่พอใจ ผมหันมองไปยังพรรณี ที่รีบวิ่งไปหลบด้านหลังภูมิพลด้วยความหวาดหวั่น จะไม่กลัวยังไง...ขนาดผมที่ยืนมองอยู่นิ่ง ๆ ยังอยากหาที่หลบเลย ให้ตายเถอะ คนสมัยก่อนดุเป็บ้า
“ฉันสั่งแกไปแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าให้เลิกยุ่งกับยัยแม่ค้าคนนี้ แกไม่เคยฟังเลยใช่ไหม?” ผู้ใต้บังคับบัญชาที่อยู่แถวนั้น ต่างรีบแยกย้ายกันคนละทางอย่างรู้หน้าที่ ก่อนคุณภูมิพลจะเดินออกมาปกป้องพรรณีด้วยสายตาบริสุทธิ์
“ผมกับเธอ เรารักกันครับพ่อ” เสียงยังไม่ทันจบดี ฝ่ามือพ่อเขาก็ฟาดเข้าที่ใบหน้าอย่างจัง ร่างของภูมิพลผงะเล็กน้อยไปตามแรงตบ ผมเบิกตากว้างด้วยความใ พรรณีที่หลบอยู่ด้านหลังรีบพุ่งมาขวางไว้ แต่ถูกแม่ของภูมิพลกระชากตัวออกห่างอย่างแรง
“ฉันขอสั่ง ให้เธอเลิกยุ่งกับลูกชายของฉัน เขามีเมียแล้ว เธอจะหน้าด้านเป็เมียน้อย เพื่อทำลายอนาคตลูกชายฉันไม่ได้!”
“แม่ครับ!”
“หยุดนะพล! อย่าแม้แต่จะปกป้องมัน ไม่ว่าเื่นี้จะเป็ยังไง พลก็ผิด เป็ถึงตำรวจแต่ทำตัวแบบนี้ รู้ไปถึงไหนอายไปถึงนั่น!” ระหว่างนั้นภูมิพลเงียบกริบ ไม่ปริปากตอบโต้ ผมเลื่อนสายตามองไปยังพรรณีตัวต้นเหตุ เธอค่อย ๆ ก้าวออกมาหาภูมิพลแล้วเอ่ยทั้งน้ำตา
“เห็นหรือยังคะ ว่าถ้าดื้อดึงแล้วเป็ยังไง คราวนี้เราควรจบจริง ๆ ซะที” พรรณีพูดจบ ก็เบี่ยงตัวเดินจากไป ก่อนมือของภูมิพลจะคว้าไว้ ผมมองมือของเขาที่พยายามเหนี่ยวรั้งเธอ น้ำตาของผมก็เอ่อขึ้นพร้อมเข็มนับล้านพุ่งปักเข้ากลางใจ ทำไม์ต้องให้ผมจำ ว่าเคยรักเขามากเท่าไร ทำไมไม่ให้ผมลืม.... คำถามผุดขึ้นมากลางใจอีกครั้ง!
และผมก็ตื่นขึ้นในตอนเช้าตรู่ของอีกวัน ทุกอย่างยังคงดำเนินเหมือนเดิมที่เคยเป็ ทว่าไม่กี่วันต่อมาหลังจากที่ผมได้ทำกายภาพกับคุณหมอนาวินเรียบร้อยแล้ว เสียงเคาะประตูจากด้านนอกก็ดังขึ้น ร่างของธันน์เดินเข้ามาพร้อมผลไม้ในมือ นอกจากนั้นยังมีเอกสารในซองสีน้ำตาลติดมือมาด้วย
“ถ้าไอริสกับเจย์มาเยี่ยมมึงเวลานี้ ก็ช่วยหาคำแก้ตัวให้กูด้วยแล้วกัน ว่าทำไมกูถึงไม่ชวนพวกมันมาเยี่ยมมึง” ผมยิ้ม แม้มันจะเป็คนนิ่ง ๆ ไม่ค่อยแสดงความรู้สึกอะไร แต่สุดท้ายก็ยอมช่วยโดยไม่พูดอะไรสักคำ มันใช้ขาเขี่ยเก้าอี้ออกมานั่งข้างเตียง วางผลไม้ไว้ข้าง ๆ แล้วก็ยื่นซองเอกสารสีน้ำตาลส่งมาให้ผม
“ข้อมูลทั้งหมดของแพทย์ประจำตัวมึง” ผมหยิบเอกสารขึ้นมามอง
“กูไม่รู้นะว่ามึงกำลังคิดจะทำอะไร แต่ถ้ามึง้าความช่วยเหลือ หรือถึงทางตัน ก็อย่าลืมว่ามีพวกกูอยู่ข้าง ๆ ไม่ไหวก็แค่บอก เข้าใจไหม?”
“ขอบใจ” มันพยักหน้าตอบรับ สายตามองตรงไปยังซองเอกสารสีน้ำตาลที่ผมพึ่งหยิบมา
“อาการมึงก็ดีขึ้นมากแล้ว พร้อมไปเรียนเมื่อไรก็บอกกูละกัน” มันเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยขึ้น
“กูได้ข่าวมา ว่าแม่มึงปล่อยหน้าที่ทุกอย่างให้ทนายจัดการแล้วนะ เื่ สส.พิชัย กับพรรณี ดูเหมือนจะแม่มึงจะยอมอ่อนลง ฝีมือมึงใช่ไหม” คำพูดของมัน เหมือนคำยืนยัน ทำให้ผมรู้ความเคลื่อนไหวของแม่ ซึ่งเป็ผลดีต่อแผนการของผม
“กูก็แค่อยากให้เป็ไปตามกระบวนการ” มันเลื่อนสายตามองมายังซองสีน้ำตาล
“ไม่น่าจะรวมถึงสิ่งที่ให้กูสืบ!” ผมเงียบไม่ตอบคำถามมัน ก่อนมันจะเอื้อมมาตบไหล่ผมเบา ๆ แล้วลุกขึ้นยืน เตรียมจะจากไป
“หายไว ๆ นะ พวกกูรอ..” พูดจบมันก็เดินจากไป ทิ้งซองสีน้ำตาลไว้ให้ ผมรีบเปิดอ่านรายละเอียดที่เกี่ยวกับคุณหมอนาวินทันทีด้วยความรีบร้อน แม้แต่เสี้ยววินาที ก็ไม่อยากให้เสียไปโดยเปล่าประโยชน์