“โรคนี้ของท่านป้า เป็กระดูกทับเส้นประสาท ทำให้เกิดโรคหมอนรองกระดูกทับเส้น อีกครู่ข้าจะฝังเข็มให้ท่าน…” ‘เพื่อบรรเทาอาการ’ สามคำนี้ยังไม่ทันได้พูดออกไป ในโรงหมอพลันมีคนกลุ่มหนึ่งบุกเข้ามาจนมืดครึ้มไปหมด ผู้นำเป็คนในชุดสีเหลืองสด บนเข็มขัดรอบเอวแขวนป้ายหยกสีเหลืองทองไว้แผ่นหนึ่ง ้าเขียนอักษรไว้สองตัว ‘ไท่จื่อ’
“ใครก็ได้ จับตัวสตรีนางนี้ไว้!”
แขนยาวของไท่จื่อโบกครั้งหนึ่ง หลังสิ้นเสียงคำสั่ง ทหารหลวงที่อยู่เื้ัก็รีบบุกเข้ามาล้อมหลิงมู่เอ๋อร์ไว้ทันที
เดือนสิบสอง ฤดูหนาวใน่ท้ายปี เหล่าชาวบ้านที่อายุมากแล้วร่างกายก็มักจะไม่สบาย วันนี้ที่โรงหมอมีผู้คนมารวมตัวกันเป็จำนวนมาก เมื่อเห็นมีคนมารังแกแม่นางเซียนแพทย์ของพวกเขา ชายฉกรรจ์สองสามคนก็พากันพุ่งออกไปเบื้องหน้าทันที “ไม่อนุญาตให้พวกเ้ารังแกแม่นางเซียนแพทย์!”
“เหอะๆ เพียงแค่หมอคนหนึ่งเท่านั้น กลับได้รักความรักจากราษฎรถึงเพียงนี้ ข้าดูถูกเ้าไปจริงๆ” ไท่จื่อหัวเราะเสียงเย็น โบกมือเป็สัญญาณให้ทหารหลวงถอยไปก่อน
จากคำกล่าวที่ว่า ได้หัวใจของราษฎรก็ได้แผ่นดิน วันนี้เขายกขบวนมาอย่างเอิกเกริก หากจับตัวแม่นางเซียนแพทย์ที่พวกเขาปกป้องไปต่อหน้าประชาชนพวกนี้แล้ว ก็คงจะไม่เป็ผลดีต่อการขึ้นครองบัลลังก์ของเขาในวันข้างหน้าอย่างแน่นอน
“หลิงมู่เอ๋อร์? เ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าจึงมาจับกุมเ้า?” ดวงตาทั้งคู่ของไท่จื่อหรี่ลงครึ่งหนึ่ง ริมฝีปากบางโค้งอย่างชั่วร้าย มองนางอย่างคลุมเครือ ท่าทางราวกับมีความสนใจท่วมท้น
ลือกันว่าไท่จื่อไร้ความสามารถ ครานี้ดูๆ ไปแล้ว ถึงกับมีความดุร้ายเพิ่มขึ้นมาหลายส่วน
“หม่อมฉันกลับไม่ทราบว่า ที่ไท่จื่อทรงเสด็จมาอย่างยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้เป็เพราะเหตุใด” น้ำเสียงราบเรียบของหลิงมู่เอ๋อร์ไร้ซึ่งความตระหนก ปราศจากความลนลาน มองไม่ออกถึงความหวาดกลัวใดๆ
“เหอะ เมื่อวานเปิ่นเตี้ยนเซี่ย[1]ถูกคนลอบสังหาร คนของข้าเห็นอย่างชัดเจนว่า คนผู้นั้นมุดเข้าไปในจวนสกุลหลิงของเ้า แล้วมิได้ออกมาอีก หากมิใช่เ้าซ่อนตัวมือสังหารไว้ เช่นนั้น เ้าบอกข้ามา ว่าคนผู้นั้นอยู่ที่ใด?”
ไท่จื่อก้าวเข้าไปอีกหลายก้าว ย่นระยะห่างระหว่างหลิงมู่เอ๋อร์ให้ใกล้ขึ้น ค้อมเอวลงจ้องใบหน้าของนางอย่างละเอียด ราวกับ้าจะใช้แรงกดดันที่แข็งแกร่งของตนทำให้นางตื่นตะลึงและหวาดกลัว
ทว่า หลิงมู่เอ๋อร์ได้เตรียมการป้องกันไว้ก่อนแล้ว “หม่อมฉันไม่ทราบจริงๆเพคะ ว่าที่ไท่จื่อทรงตรัสหมายถึงสิ่งใด จวนสกุลหลิงของหม่อมฉันไม่มีมือสังหาร หากมิทรงเชื่อ องค์ไท่จื่อสามารถส่งคนไปตรวจสอบได้เพคะ”
นางยืนตรงอยู่เบื้องหน้าของไท่จื่อ มือทั้งสองวางไว้ข้างเอว ไม่อ่อนน้อมไม่ต่อต้าน สงบนิ่งเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังิญญา หากเป็สตรีทั่วไป เมื่อเห็นใบหน้าที่ขมึงทึงเช่นนี้ของไท่จื่อ กลัวว่าจะใจนหลั่งน้ำตาเป็ดอกสาลี่ต้องฝนไปเสียแล้ว สตรีผู้นี้ ถือได้ว่าเป็ผู้ที่มีความกล้าหาญอย่างยิ่ง
“ได้ซ่อนมือสังหารไว้หรือไม่ ในใจเ้ารู้ดี หลิงมู่เอ๋อร์ ตัวข้าผู้เป็รัชทายาทไม่มีเวลามาอ้อมค้อมกับเ้า เ้าควรรู้ว่า ผู้ที่เป็ปรปักษ์กับเปิ่นไท่จื่อไม่มีผลลัพธ์ที่ดี” ไท่จื่อกล่าวอย่างพิโรธ ดวงตาที่ลึกล้ำมีไอสังหารคุกรุ่น มือที่ยื่นออกมาราวกับจะหักคอของนางให้ขาด เขาเป็ถึงรัชทายาท อยู่ใต้เพียงคนเดียว อยู่เหนือคนนับหมื่น ทำคนตายสักคนโดยไม่ใส่ใจ ก็ไม่นับว่าเป็สิ่งใด
สตรีนางนี้ หากยังคงอวดเก่งเช่นนี้ต่อไป เขาจะต้องให้นางได้รู้ว่า สิ่งใดเรียกว่า สุราคารวะไม่ดื่ม จะดื่มสุราจับกรอก
“องค์ไท่จื่อ มิควรข่มขู่แม่นางเซียนแพทย์ของพวกเราเช่นนี้นะพ่ะย่ะค่ะ แม่นางเป็พระโพธิสัตว์อวตาร เป็คนดีที่มีจิตเมตตา” หนึ่งในบรรดาชาวบ้านทนดูไม่ไหว คุ้มครองหลิงมู่เอ๋อร์ไว้ที่ด้านหลัง ราวกำลังปกป้องบุตรสาวของตน
“นั่นสิเพคะองค์ไท่จื่อ แม่นางเซียนแพทย์เป็เพียงสตรีที่อ่อนแอผู้หนึ่งเท่านั้น จะขวัญกล้าเทียมฟ้าถึงขนาดซ่อนตัวมือสังหารไว้ได้อย่างไร น่าจะทรงหาผิดคน หาผิดที่แล้วเพคะ” เมื่อมีคนแรกออกมาหนุนหลัง แน่นอนว่าย่อมมีคนที่สอง ต่อจากนั้น ชาวบ้านจำนวนมากก็พากันก้าวออกมา ราวกับว่า ขอเพียงคนของเขาบุกเข้าไป พวกเขาก็จะเสี่ยงชีวิตอย่างแน่นอน
“คนของเปิ่นไท่จื่อเห็นด้วยตาของตนเอง หรือจะเป็เื่เท็จไปได้อย่างไร?” ไท่จื่อถูกมวลชนกระตุ้นโทสะ “ใครก็ได้ ลากเหล่าชาวบ้านที่โง่เขลาพวกนี้ออกไป แล้วนำตัวหลิงมู่เอ๋อร์ไปเสีย”
“หยุดมือ!” แม้ชาวบ้านจะมีจำนวนมากเท่าใด ก็ไม่มากเท่ากองทหารหลวง ถึงพวกเขาจะมีเรี่ยวแรงมากเพียงใด ก็ไม่อาจทรงพลังเท่าทหารหลวง หลิงมู่เอ๋อร์กลัวว่าราษฎรผู้บริสุทธิ์จะได้รับาเ็ จึงรีบะโห้าม “องค์ไท่จื่อ นี่กำลังทรงบังคับให้หม่อมฉันรับสารภาพ หม่อมฉันกล่าวแล้วว่ามิได้ซ่อนก็คือมิได้กระทำ แต่หากพระองค์ทรงมั่นพระทัยว่า หม่อมฉันมีเจตนาร้ายแอบซ่อน เช่นนั้นก็มิมีสิ่งใดให้กล่าวแล้วเพคะ!”
หลิงมู่เอ๋อร์คิดจะใช้การโต้ตอบทางวาจากดดันไท่จื่อ บัดนี้ นางยืนกรานอย่างเด็ดขาดถึงเพียงนี้ หากไท่จื่อยังจะบังคับนำตัวนางไปด้วยกำลังแล้วละก็ ก็จะกลายเป็การไม่แยกแยะผิดถูก ใส่ร้ายหญิงสาวที่มือไร้เรี่ยวแรงแม้แต่จะฆ่าไก่ผู้หนึ่ง
“ยังจะตะลึงอะไรอยู่อีก นำตัวไป!” ไท่จื่อพิโรธอย่างยิ่ง ไม่สนใจการกดดันด้วยคำพูด คิดเพียงว่า ขอแค่นำตัวคนไป นวลเนื้อที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้ทนรับการทรมานไม่ไหว อย่างไรก็ต้องยอมรับสารภาพแน่ ถึงเวลานั้น ต่อให้เสด็จพ่อทรงตำหนิ เขาก็มีคำพูดให้กล่าวอ้าง
“พวกเ้าสามารถพาข้าไปได้ แต่ข้าขอแนะนำให้ทุกท่านคิดให้ชัดเจนก่อน ตัวข้านั้น เป็คู่หมั้นของผู้บัญชาการหน่วยราชองครักษ์หลวง ซั่งกวนเซ่าเฉิน”
หลิงมู่เอ๋อร์มิได้ต่อต้าน เพียงแต่ใช้น้ำเสียงที่ภูมิใจอย่างยิ่งแสดงฐานะของตนให้เป็ที่ประจักษ์ นางจำได้อย่างชัดเจนว่า วันนั้นที่อวี้เซิงจี ในยามที่พูดชื่อซั่งกวนเซ่าเฉินกับองค์ชายเจ็ด คนเบื้องหน้ามีอาการตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด
หากพี่บุญธรรมเป็เพียงผู้บัญชาการหน่วยราชองครักษ์หลวงธรรมดา จะทำให้ผู้ที่เป็ถึงองค์ชายคนหนึ่งชะงักงันได้อย่างไร ดังนั้น เื่นี้สามารถพิสูจน์ได้ว่าฐานะของพี่บุญธรรมนั้นไม่ธรรมดา
แต่สิ่งที่ทำให้นางคิดไม่ถึงก็คือ องค์รัชทายาทกลับไม่รู้ถึงอีกฐานะของซั่งกวนเซ่าเฉิน
“หึ ฮ่าๆๆ ข้าว่านะสาวน้อย เ้าคงมิได้ใจนโง่เขลาเสียแล้วกระมัง เปิ่นเตี้ยนเซี่ยเป็ถึงรัชทายาท เ้ากลับนำราชองครักษ์ตัวเล็กๆ มากดดันข้า?” ไท่จื่อราวกับได้ยินเื่ที่ตลกเทียมฟ้า หัวเราะเสียงเย็น
มิน่า ผู้คนจึงกล่าวกันว่ารัชทายาทผู้นี้ไร้ความสามารถ ช่างเป็คำพูดที่มิได้เกิดจากการจินตนาการแม้แต่น้อย
เป็ถึงองค์รัชทายาท กลับรู้ไม่เท่าองค์ชายเจ็ด นี่แสดงถึงสิ่งใด? แสดงว่า เขาอยู่ในราชสำนักมิได้รับความสำคัญ ช่างน่าเวทนานัก
“ที่น่าขำคงเป็ไท่จื่อมากกว่าเพคะ มีบางเื่ แม้แต่ไท่จื่อก็ยังไม่ทรงรู้ เยี่ยงนั้น ก็ถือว่าคำพูดเมื่อครู่ของหม่อมฉันไม่ได้กล่าวแล้วกันเพคะ”
คำพูดเดียว กระตุ้นความอยากรู้ของไท่จื่อขึ้นมาได้อยู่หมัด
ไท่จื่อก้าวเข้าไปก้าวหนึ่ง บีบคางของนางอย่างไม่เกรงใจ กัดฟันว่า “นังสารเลว คำพูดเมื่อครู่ของเ้าหมายความเช่นไร? จงพูดมาให้เปิ่นไท่จื่อฟังอย่างชัดเจน!”
ในยามที่ซางจือและเจี้ยงเซียงจัดการเื่ที่ร้านยาเสร็จ แล้วเร่งกลับมานั้น ก็เห็นคุณหนูของตนถูกคนข่มขู่ คนทั้งสองพากันคุกเข่าลงเบื้องหน้าของไท่จื่อ “คุณหนูของพวกเราเป็ผู้บริสุทธิ์ ขอองค์ไท่จื่อโปรดไว้ชีวิตด้วยเพคะ”
เห็นหลิงมู่เอ๋อร์มีท่าทางต่อให้ตีตายก็ไม่พูด ไม่เกรงฟ้า ไม่กลัวดินเช่นนั้น รัชทายาทที่ถูกทำให้โมโหอย่างหนักก็ปล่อยคางของนางออกอย่างรุนแรง ในยามที่ทุกคนคิดว่าเขาจะจากไปนั้น เขาพลันดึงกระบี่พกขององครักษ์ที่อยู่ด้านหลังออกมา พาดลงบนคอของเจี้ยงเซียง “หากวันนี้เ้าไม่ตามเปิ่นไท่จื่อไป ข้าก็จะสังหารสองคนนี้ซะ ทางที่ดี เ้าจงคิดให้ชัดเจนก่อนแล้วค่อยตอบ”
เจี้ยงเซียงเดิมก็ขี้กลัว นี่ก็เป็ครั้งแรกในชีวิตที่ประสบกับเหตุการณ์เช่นนี้ ในเสี้ยววินาทีนั้นจึงใจนร้องไห้ออกมา “ไม่นะ คุณหนู คุณหนูช่วยข้าด้วยเ้าค่ะ”
หัวใจที่เคร่งเครียดของหลิงมู่เอ๋อร์พลันพุ่งขึ้นมาถึงคอภายในเสี้ยววินาที หางตากวาดมองไปรอบทิศทาง คิดคำนวณถึงโอกาสที่จะชนะ
เมื่อวาน ในยามที่ทหารหลวงบุกไปที่จวนสกุลหลิน มีซูเช่อมาได้ทันเวลา วันนี้ไท่จื่อพลันมาปรากฏตัวอย่างกะทันหัน เกรงว่านางคงไม่มีโชคที่ดีขนาดนั้นแล้ว
คนที่อยู่ในบริเวณนี้มีประมาณสิบห้าคน หากยามนี้ นางสาดยาสลบออกไป แล้วพาซางจือกับเจี้ยงเซียงจากไป เยี่ยงนั้น ประชาชนที่อยู่รอบๆ จะทำอย่างไร? นี่ไม่เท่ากับสร้างเื่ให้กลายเป็จริง ว่านางหลบหนีเพราะความผิดหรือ?
“เปิ่นไท่จือให้เวลาเ้านับหนึ่งถึงสาม หนึ่ง…สอง…สาม”
ในยามที่คำพูดสุดท้ายของไท่จื่อจบลง ก็เป็เวลาเดียวกับที่กระบี่ในมือของเขาจะแทงไปที่เจี้ยงเซียง อาวุธลับชิ้นหนึ่งบินมาจากที่ไกล กระบี่พกถูกซัดลงสู่พื้นดังเคร้ง กำลังภายในที่แรงกล้าผลักให้ไท่จื่อถอยหลังไปหลายก้าว
ไท่จื่อหันสายตามาอย่างไม่อยากเชื่อ ใช้เรี่ยวแรงทั่วทั้งร่างคำรามอย่างโมโหว่า “เป็ผู้ใดกัน ไสหัวออกมาให้เปิ่นไท่จื่อ!”
สายลมแรงระลอกหนึ่งพัดมา เงาร่างหนึ่งพลิ้วกายมาจากไกลเป็ใกล้ นิ้วเท้าเพียงสะกิดเบาๆ ก็ร่อนลงเบื้องหน้าของหลิงมู่เอ๋อร์
นี่ยังเป็ครั้งแรกที่นางได้เห็นฝีมือเช่นนี้ของพี่บุญธรรม
เห็นแผ่นหลังแข็งแกร่งทรงพลังที่แสนคุ้นเคยนี้ หลิงมู่เอ๋อร์ก็ราวกับคว้าฟางช่วยชีวิตเส้นสุดท้ายไว้ได้ หัวใจที่แขวนลอยอยู่นั้น ในที่สุดก็วางลงได้ “พี่ใหญ่?”
ซั่งกวนเซ่าเฉินมิได้ตอบ เพียงแต่พยักหน้าให้นางเบาๆ
เมื่อมองไปที่ไท่จื่อ มือทั้งสองของเขากำเป็หมัด วาจาแม้จะสุภาพ แต่กลับมิได้แสดงความเคารพ “กระหม่อมน้อมพบองค์ไท่จื่อ มิทราบว่าพระองค์จะทรงจับคู่หมั้นของกระหม่อมด้วยเหตุใดพ่ะย่ะค่ะ”
น้ำเสียงของซั่งกวนเซ่าเฉินเ็าดุจน้ำแข็ง พลังอำนาจที่แสดงออกมาหนาวเหน็บเสียดแทง ความเย็นที่แผ่ออกมารอบกายเพียงพอจะทำให้ผู้คนถอยห่างไปเก้าลี้สิบลี้
ไท่จื่อหัวเราะอย่างเ็า “หึ ซั่งกวนเซ่าเฉิน เ้าจงมองให้ชัด ข้าคือรัชทายาท” อีกความหมายหนึ่งก็คือ เ้าเป็เพียงผู้บัญชาการหน่วยราชองครักษ์หลวงตัวเล็กๆ ถึงกับกล้าเป็ปรปักษ์กับข้า เ้าไม่กลัวหัวหลุดจากบ่าหรืออย่างไร
ซั่งกวนเซ่าเฉินกลับไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา “สายตาของกระหม่อมดีมาก ย่อมรู้ว่าทรงเป็องค์รัชทายาทอย่างแน่นอน ทว่าพระองค์ทรงรู้จักสิ่งนี้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ไม่กล่าววาจาไร้สาระให้มาก ซั่งกวนเซ่าเฉินหยิบป้ายคำสั่งออกมาจากเอวชิ้นหนึ่ง กุมไว้กลางฝ่ามือ ยื่นไปเบื้องหน้าของไท่จื่ออย่างสง่างาม
ป้ายคำสั่งที่ฝ่าาทรงประทานให้ด้วยพระองค์เอง เห็นป้ายนี้ประดุจฝ่าาเสด็จมาด้วยพระองค์เอง
ทหารหลวงทั้งหมดที่อยู่ด้านหลังเมื่อเห็นเช่นนี้ก็พากันคุกเข่าลง ส่งเสียงสรรเสริญฝ่าาทรงพระเจริญ ส่วนไท่จื่อมุมปากกระตุกไม่หยุด อวัยวะทั้งห้าเครียดขมึง “เ้า เ้าจะมีสิ่งนี้ได้อย่างไร?”
เขารู้มาตลอดว่า เสด็จพ่อมีป้ายทองละเว้นโทษตายชิ้นหนึ่ง แต่คิดไม่ถึงว่ากลับมอบให้ซั่งกวนเซ่าเฉิน คนผู้นั้นที่แท้มีความสามารถใดกันแน่ จึงได้รับความไว้วางพระทัยจากเสด็จพ่อถึงเพียงนี้?
มิน่า เมื่อครู่ นังแพศยาหลิงมู่เอ๋อร์คนนั้น จึงได้ใช้ซั่งกวนเซ่าเฉินมาข่มขู่ หรือว่า ในเื่นี้มีความลับที่เขาไม่รู้อยู่จริงๆ?
“ซั่งกวนเซ่าเฉิน เ้ารู้หรือไม่ว่าผู้หญิงของเ้าแอบซ่อนนักโทษ เปิ่นไท่จื่อจะจับไปเข้าสู่กระบวนการไต่สวน หากเ้าเป็ผู้รู้สถานการณ์ ก็หลีกไปเสีย!”
ซั่งกวนเซ่าเฉินไม่เพียงไม่หลีกทาง ในทางกลับกัน ยังตวัดมือใหญ่ออกไปโอบหลิงมู่เอ๋อร์เข้ามาไว้ในอ้อมกอด “คู่หมั้นของกระหม่อมมือไร้เรี่ยวแรงแม้แต่จะฆ่าไก่ ไม่มีทางทำเื่ที่ไท่จื่อทรงตรัสได้ กลัวว่าน่าจะเป็ไท่จื่อที่ทรงหาคนผิด ยังคงขอเชิญให้ไท่จื่อทรงทำการตรวจสอบอย่างละเอียดด้วยพ่ะย่ะค่ะ” พูดจบ เขาก็ทำสัญลักษณ์มือเป็การเชิญ ความหมายคือ เ้าหาคนผิดแล้ว ตอนนี้สามารถจากไปได้แล้ว
“เ้าเชื่อหรือไม่ว่าเปิ่นไท่จื่อจะไปทูลร้องเรียนเ้าที่เบื้องพักตร์ของเสด็จพ่อ คอยดูว่าเ้าจะมีโทษตายอย่างไร?” ในยามปกติ ไท่จื่อมิเคยได้รับความอัปยศเช่นนี้มาก่อน เขาถึงกับพ่ายแพ้ให้กับผู้บัญชาการหน่วยราชองครักษ์หลวงผู้หนึ่ง? ไม่ นั่นเป็ไปไม่ได้!
“องค์ไท่จื่ออยู่ใต้เพียงคนเพียงผู้เดียว อยู่เหนือคนนับหมื่น สิ่งที่ทรงปรารถนาจะกระทำ กระหม่อมไร้ซึ่งกำลังไปขัดขวาง ทว่า หลิงมู่เอ๋อร์เป็คู่หมั้นของกระหม่อม หากให้ฝ่าาทรงทราบว่า ไท่จื่อใช้กำลังบีบบังคับสตรีอ่อนแอนางหนึ่ง กลัวว่าฝ่าาคงจะไม่ทรงปล่อยไปง่ายๆ แน่ ยังขอให้ไท่จื่อทรงใคร่ครวญด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“เ้าถึงกับกล้านำเสด็จพ่อมากดดันข้า?” ไท่จื่อโมโหอย่างมาก หยิบกระบี่พกบนพื้นขึ้นมาอีกครั้ง ชี้ไปที่ใบหน้าของเขา
ซั่งกวนเซ่าเฉินไม่เพียงไม่หลบหลีก ในทางกลับกัน ยังก้าวเข้าไปอีกสองสามก้าว ใช้สองนิ้วคีบปลายกระบี่ไว้ จาก้า ย้ายลงมายังบริเวณหน้าอกของเขา “หากพระองค์ทรง้าชีวิตของกระหม่อม ก็สามารถนำไปได้เลยพ่ะย่ะค่ะ แต่ทรงทราบหรือไม่ว่า ป้ายในมือของกระหม่อมชิ้นนี้ มีประโยชน์อย่างไร?”
ป้ายทองละเว้นโทษตายของฮ่องเต้ มีอำนาจในการปะาก่อนกราบทูลทีหลัง มิว่าจะเป็กับผู้ใดหรือเื่ใด
ส่วนผู้บัญชาการหน่วยราชองครักษ์หลวงนั้นวรยุทธ์สูงล้ำ ต่อให้ปลายกระบี่จ่ออยู่ที่หัวใจของเขา ขอเพียงเขาคิดขัดขืน ก็สามารถไร้รอยขีดข่วนแม้เพียงเส้นขน ในทางกลับกัน ยังสามารถโจมตีเขาให้สิ้นชีพภายในกระบวนท่าเดียวได้อีกด้วย
ไท่จื่อจ้องไปที่เบื้องหน้าอย่างดุร้าย จดจำซั่งกวนเซ่าเฉินและหลิงมู่เอ๋อร์ไว้ในใจ กระบี่พกในมือไหวไปด้านหลัง เสียบลงในปลอกเื้ัอย่างแม่นยำ “ล้วนคอยดูเปิ่นไท่จื่อให้ดี!”
[1] เปิ่นเตี้ยนเซี่ย เป็สรรพนามที่รัชทายาทใช้เรียกตนเอง หมายความว่า ตัวข้าผู้เป็องค์ชาย (รัชทายาท)