หลันเยว่หรูมองเฟิ่งเฉี่ยนด้วยท่าทีลำพองใจ สายตาของนางแฝงนัยท้าทาย “หากตอนนี้เ้าคิดจะกลับคำก็ยังไม่สาย ขอเพียงเ้ามอบใบไม้ทองคำออกมา ข้ารับรองว่าจะไม่ถือสาหาความกับเ้า ซ้ำยังมีรางวัลขอบคุณเ้าอย่างงาม!”
มาถึงเวลานี้ นางยังจะเสแสร้งอะไรอีก!
ทั้งๆ ที่รู้ว่าเฟิ่งเฉี่ยนไม่รู้จะไปหาใบไม้ทองคำมาจากที่ใด นางยังจงใจแสดงท่าทีว่าเป็คนใจกว้างมีเมตตา
เห็นแววตาเยียบเย็นที่มองมา เฟิ่งเฉี่ยนได้แต่ยกยิ้มบางๆ “มีใบไม้ทองคำหรือไม่ เ้า ข้าต่างรู้อยู่แก่ใจ! หากเ้าไม่ถือสาหาความจริงๆ เหตุใดจึงร้องขอเป็คนเลือกตำรามาสร้างความลำบากให้กับข้าด้วยเล่า ในเมื่อ้าเป็หญิงคณิกา แล้วยัง้าสร้างอนุสรณ์...คุณหนูหลัน เ้าช่างเป็คนละโมบยิ่งนัก!”
ถูกต้อง ผู้ที่กล่าวว่าจะไม่ถือสาหาความเป็เ้า ผู้ที่ก้าวออกมาเสนอตัวเป็คนเลือกตำราแพทย์ก็เป็เ้าเช่นกัน ทำเช่นนี้ย้อนแย้งเกินไปแล้วกระมัง
คำพูดเพียงแค่สองสามประโยค ทำให้หลันเยว่หรูโกรธแค้นจนหน้าดำหน้าแดงไปถึงรากผม “เ้า...”
เฟิ่งเฉี่ยนยื่นมือออกไปพูดอีกว่า “ส่งมาเถิด!”
พ่าบ! หลันเยว่หรูเหวี่ยงตำราแพทย์ใส่ฝ่ามือของนางเต็มแรง ดวงตาที่แทบจะมีเปลวไฟออกมาคู่นั้นจ้องเฟิ่งเฉี่ยนเขม็ง
ท่านผู้าุโกล่าวเร่ง “เริ่มเถิด รีบหน่อย! อย่าได้เสียเวลาของทุกคน!”
เวลานี้เป็ยามเหม่าแล้ว คนบางส่วนต้องกลับไปเข้านอน ทว่าเื่ใบไม้ทองคำยังหาข้อสรุปไม่ได้ไม่ว่าผู้ใดล้วนไปจากที่นี่ไม่ได้ ดังนั้นทุกคนต่างพากันร้อนใจ
พวกเขาเร่ง เฟิ่งเฉี่ยนกลับไม่รีบร้อน นางมองพวกเขาด้วยสายตาเรียบเรื่อย “พวกเ้าเตรียมพร้อมแล้วใช่หรือไม่”
เชอะ! มาอีกแล้วหรือ!
คนทั้งหมดไม่มีคำพูดจะเอ่ย นี่ตกลงว่านางท่องจำ หรือพวกเขาท่องจำกันแน่นะ
เห็นทุกคนมองนางด้วยท่าทีร้อนใจ เฟิ่งเฉี่ยนจึงค่อยๆ ก้มหน้าลงเปิดตำราแพทย์ในมือ...
สวบๆๆๆๆ สวบๆๆๆ...
เร่งความเร็วอีกแล้ว! นางอ่านตำราเร็วกว่าเมื่อสักครู่เสียอีก!
ทุกคนไม่อยากจะเชื่อ พวกเขาเข้าไปดูใกล้ๆ กลับมองไม่ทันกระทั่งตัวอักษร นี่หากท่องจำได้ พวกเขายินดีที่จะคุกเข่าทันที
ทว่าเมื่อเฟิ่งเฉี่ยนอ้าปากท่องเนื้อหาในตำรา พวกเขาแทบจะคุกเข่าลงทันที!
“ถาม: ชีพจรมีหยินหยาง หมายถึง? ตอบ: ชีพจรเต้นแรง ลอย จำนวนครั้ง การเคลื่อนไหว ไหลลื่น เหล่านี้คือ หยาง ; ชีพจรลึก ไม่สม่ำเสมอ อ่อน ตึง เบา เหล่านี้คือ หยิน เมื่อมีอาการตัวร้อน เหงื่อออก ไม่รู้สึกหนาวแต่กลับร้อน อาการเหล่านี้เรียกว่าโรคขาดธาตุหยาง มักจะมีอาการปากขม คอแห้ง ตาพร่า ไม่อยากอาหาร อาเจียน (ผู้ที่มีธาตุหยางมากกว่าหยิน ก็จะเป็โรคขาดธาตุหยิน ส่วนผู้ที่มีธาตุหยินมากกว่าหยางก็จะเป็โรคขาดธาตุหยาง)...”
เมื่อท่องมาถึงอักษรตัวที่หนึ่งร้อย ท่านผู้าุโเงยหน้าขึ้นขวับ
เมื่อท่องมาถึงอักษรตัวที่สองร้อย หลันเยว่หรูมีสีหน้าซีดขาวปานกระดาษ นางมองเฟิ่งเฉี่ยนด้วยสายตาเหลือเชื่อ
เมื่อท่องมาถึงอักษรตัวที่สามร้อย คนทั้งหมดล้วนหยุดหายใจและหันไปมองเฟิ่งเฉี่ยนราวกับไม่อยากจะเชื่อ!
เฟิ่งเฉี่ยนไม่ได้รับผลกระทบจากปฏิกิริยาของใครทั้งสิ้น นางยังคงท่องต่อไป “ถาม: เมื่อมีไข้และเหงื่อออก แก้อาการอย่างไร? ตอบ: ชีพจรเต้นเบาและตึง ด้วยร่างกายอ่อนแอดังนั้นเมื่อมีไข้จึงมีเหงื่อออก ผู้ที่ธาตุหยินพร่อง เมื่อร่างกายเกิดอาการต่อต้าน ดูได้จากชีพจรที่เต้นเบา ให้พยายามทำให้ร่างกายขับเหงื่อออกมาเพื่อบรรเทาอาการ หากชีพจรลอยและนับครั้งได้ กดฟังดูแล้วไม่กลวง แสดงว่าร่างกายของคนผู้นี้ไม่ได้มีอาการธาตุหยินพร่อง หาก้าแก้อาการเอง ให้เหงื่อออกทางหู...”
《ซาง หาน ลุ่น》และ《หวง เหล่า จิง》แตกต่างกัน 《หวง เหล่า จิง》กล่าวถึงวิธีการดำเนินชีวิตที่เป็อายุวัฒนะ ซึ่งน้อยนักที่คนในวัยหนุ่มสาวจะศึกษา ทว่า 《ซาง หาน ลุ่น》เป็วิชาภาคบังคับของสำนักศึกษาเทียนหง แทบจะกล่าวได้ว่าศิษย์ทุกคนที่อยู่ในที่นี้ล้วนท่องได้อย่างคล่องแคล่วและไหลลื่น ดังนั้นหลังจากพวกเขาได้ยินเฟิ่งเฉี่ยนท่องเนื้อหาออกมา ก็จะทราบและตัดสินได้ในทันทีว่าที่นางท่องออกมานั้นถูกต้องหรือไม่
ในสายตาของพวกเขา การที่นางสามารถท่องออกมาได้สามร้อยคำเป็เื่ที่มหัศจรรย์อยู่แล้ว เพราะมันเป็เื่ที่แทบจะเป็ไปไม่ได้ ทว่าเฟิ่งเฉี่ยนยังคงท่องต่อไป!
“ถาม: มีอาการสามวัน ชีพจรเต้นเบาและนับครั้งได้ ร่างกายผู้ป่วยเย็นเพราะเหตุใด? ตอบ: อาการจะทุเลาในยามกลางคืน ผู้ที่ชีพจรเต้นเบาและลอย ต้องทำให้ร่างกายขับเหงื่อออกมา ; ผู้ที่ชีพจรเต้นเร็ว ต้องทำให้กินอาหารได้; ผู้ที่ชีพจรเต้นเบา เดี๋ยวมีเดี๋ยวไม่มี ต้องทำให้ร่างกายขับเหงื่อออกมา...”
สี่ร้อยคำแล้ว!
ห้าร้อยคำแล้ว!
หนึ่งพันคำแล้ว!
ทุกคนมีสีหน้าตกตะลึงพรึงเพริด!
เมื่อท่องมาจนถึงตอนสุดท้าย เฟิ่งเฉี่ยนยังคงท่องไปเรื่อยๆ ไม่รีบร้อน “ผู้ที่มีอาการเย็นผลักร้อน คือความร้อนส่วนบนถูกความเย็นส่วนล่างดันขึ้น ทำให้อาเจียนทันทีหลังกินอาหาร ให้ดื่มน้ำแกงที่ต้มจาก ขิงแห้ง หวงหลิง หวงเหลียน โสมคน”
นางหยุดครู่หนึ่งเพื่อกระแอมกระไอให้โล่งคอ “เมื่อสักครู่ข้าท่องตามปกติ ตอนนี้ข้าจะท่องกลับหลังรอบหนึ่ง!”
โดยที่ไม่ต้องหยุดพักเพื่อหอบหายใจ นางเริ่มท่องกลับหลังทันที อีกทั้งยิ่งท่องยิ่งเร็ว เร็วกว่าตอนที่ท่องตามปกติ!
แปะ! ตำราแพทย์ในมือหลันเยว่หรูร่วงลงสู่พื้น หางตา มุมปากของนางแข็งค้าง!
ท่านผู้าุโสูดลมหายใจเข้าลึก อึก เขากลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น สายตาที่มองเฟิ่งเฉี่ยนเสมือนเช่นเห็นสัตว์ประหลาดตนหนึ่ง!
แรกเริ่มนั้นมู่ชิงเซียวมีท่าทางปากอ้าตาค้าง ต่อมาคือหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ท่านบอกว่าท่านท่องจำปกติรอบหนึ่งก็ทำให้คนแตกตื่นเพียงพออยู่แล้ว เวลานี้ยังท่องกลับหลังอีกรอบหนึ่ง อีกทั้งยังคล่องแคล่วกว่าตอนท่องตามปกติอีก...ตัวเขานอกจากส่ายหน้าแล้วยังคงส่ายหน้าอยู่นั่นเอง หมดคำพูดที่จะบรรยายนางได้แล้ว!
ศิษย์คนอื่นๆ มองตาค้าง คางแทบจะร่วงลงบนพื้น
คิดถึงเมื่อแรกที่พวกเขาเพิ่งจะเข้ามาศึกษาในสำนักศึกษา เพื่อท่องจำตำราเล่มนี้ 《ซาง หาน ลุ่น》มีเพียงภูตผีที่รู้เท่านั้นว่าพวกเขาต้องผ่านอะไรมาบ้าง แต่ผู้อื่นพลิกเปิดตำราแบบผ่านๆ กลับท่องได้อย่างคล่องแคล่ว!
นี่...นี่...ช่างทำให้คนโมโหตาย!
เมื่อมองแววตาของเฟิ่งเฉี่ยนอีกครั้ง แต่ละคนได้แต่ตื่นตระหนก
นี่แทบจะเรียกได้ว่าเป็เทพแล้ว!
เมื่อท่องตอนที่หนึ่งจบ เฟิ่งเฉี่ยนคลี่ยิ้มบางๆ ให้ทุกคน “ข้าท่องจบแล้ว! หากยัง้าให้ข้าท่อง ข้าท่องกลอนอีกรอบก็ได้”
ภายในหอตำราเงียบเป็เป่าสาก
คนทั้งหมดกำลังมองเฟิ่งเฉี่ยน แต่ละคนมีท่าทีราวกับเห็นผี!
เ้ายังจะท่องกลอนอีกรอบหนึ่งหรือ ให้ตายเถอะ เ้ายังใช่คนอีกหรือไม่
แม้พวกเขาจะท่อง 《ซาง หาน ลุ่น》ได้อย่างคล่องแคล่ว ทว่าหากให้ท่องกลอนตอนนี้ ไม่แน่ว่าพวกเขาจะท่องได้คล่องแคล่วเช่นนางหรือไม่ ที่ท่องโดยไม่สะดุด ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงการท่องกลับหลัง อีกทั้งยังคล่องกว่าท่องตามปกติ...
ให้ตายเถอะ! ยังเหลือทางรอดให้ผู้อื่นเดินหรือไม่
ท่านผู้าุโตื่นเต้นจนลิ้นพันกัน “เ้า...เ้าทำได้อย่างไรกัน”
เฟิ่งเฉี่ยนคลี่ยิ้มบางๆ “ข้าเป็คนอ่านตำราเร็ว ความจำดีพอใช้ได้ เพียงแค่กวาดตาอ่านรอบหนึ่งก็จดจำได้พอสมควรแล้ว”
ท่านผู้าุโหน้าดำทะมึน อย่างเ้าเรียกว่าพอใช้ได้หรือ มารดาเถอะ เ้าน่ะมันมากกว่าพอใช้ได้อีก!
มู่ชิงเซียวมองใบหน้าด้านข้างอันงดงามของเฟิ่งเฉี่ยน แสงตาที่สะท้อนมาจากดวงตาของเขาเจิดจ้า นับั้แ่ครั้งแรกที่เห็นนาง เขาก็รู้สึกว่านางแตกต่างจากคนอื่น เมื่อแรกเริ่มมีเพียงความรู้สึกประหลาดใจ ต่อมาเปลี่ยนเป็ชื่นชม มาถึงตอนนี้เขาพบว่าขอเพียงเป็ที่ที่มีนางอยู่ ผู้อื่นล้วนไม่อยู่ในสายตาของเขา
“ท่านผู้าุโ ตอนนี้ท่านยังสงสัยว่าแม่นางเฟิงขโมยและซ่อนใบไม้ทองคำเอาไว้อีกหรือไม่” เขาถามเสียงสูง น้ำเสียงปนเปไปด้วยความรู้สึกผิด
ท่านผู้าุโส่ายหน้าทอดถอนใจ “เป็ข้าผู้าุโเองที่ตัดสินผู้อื่นเร็วเกินไป! แม่นางเฟิงเป็ผู้มากความสามารถ ต่อไปย่อมมีชื่อเสียงระบือไกลในใต้หล้า จะละโมบในทรัพย์เพียงแค่ใบไม้ทองคำได้อย่างไร กล่าวหาว่าแม่นางเฟิงขโมยและซ่อนใบไม้ทองคำ เป็คำพูดที่ไม่มีหลักฐาน!”
คนอื่นๆ เริ่มพากันวิพากษ์วิจารณ์
“ใช่แล้ว เื่นี้ ใครเล่าจะไปใส่ใจใบไม้ทองคำเพียงแค่ไม่กี่ใบ”
“ข้าเห็นแม่นางเฟิงปราดแรก ก็รู้สึกว่านางเป็คนมิสามัญ เหตุใดนางต้องขโมยใบไม้ทองคำด้วยเล่า”
“แม่นางเฟิง เป็พวกเราที่เข้าใจเ้าผิด”
“แม่นางเฟิง เ้าเป็คนใจกว้าง อย่าได้เก็บใส่ใจมาถือสาเลย!”
“...”
คำวิพากษ์วิจารณ์เปลี่ยนข้างทันที
หลันเยว่หรูมีสีหน้าเขียวคล้ำและบิดเบี้ยว เส้นเืสีเขียวบริเวณข้างขมับเต้นตุบๆ
แผนการที่นางทุ่มเทแรงกายแรงใจนั้น ถูกผู้อื่นทำลายแผนการลงอย่างรวดเร็ว ช่างน่าโมโหนัก!