พระราชวังผลึกแก้วเต็มไปด้วยคลื่นแห่งการทำลายล้าง ซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากมุกเงือกมรกต
มุกเงือกมรกตนี้เป็อาวุธิญญาระดับกลางที่ทรงพลังอย่างยิ่ง และสามารถต่อกรกับปรมาจารย์ขอบเขตเปลี่ยนผ่านได้อย่างสูสี
หนิงเทียนคำรามด้วยสีหน้าเกรี้ยวกราด การขู่ฆ่าทำให้เขาแทบจะเป็บ้า แม้แต่กายาสุวรรณะนิรันดร์ระดับสี่ก็ไม่สามารถต้านทานอาวุธิญญาประเภทนี้ได้ และยามนี้หนิงเทียนก็ไม่มีเวลาหลบหลีกได้อีกแล้ว
“มาดูกันว่าเ้าจะยังรอดได้อีกหรือไม่?” เหมยเอ้าซงแสดงความยินดีในโชคร้ายของอีกฝ่าย ขณะที่ตี๋เยี่ยนจวินได้แต่ถอนหายใจพร้อมส่ายหัว
ไข่มุกพุ่งมาใกล้แล้ว ยมทูตมาเยี่ยมเยียน
ในยามที่ทุกคนล้วนคิดว่าหนิงเทียนต้องตายอย่างแน่นอน ทันใดนั้นน้ำเต้าเจ็ดสีก็ลอยมาโจมตีมุกเงือกมรกต ก่อให้เกิดเสียงดังสนั่น พร้อมห้วงอากาศที่สั่นไหว
หนิงเทียนกระเด็นออกไปกระแทกผนังพระราชวังอย่างแรง โลหิตหลั่งรินออกจากปากและจมูกของเขา
เจียงจิ้งปัวแผดเสียงลั่น ไข่มุกของเขาถูกน้ำเต้าเจ็ดสีทำลายสิ้น คลื่นที่สะท้อนกลับมาทำให้เืพุ่งออกจากทวารทั้งเจ็ดและสร้างความาเ็สาหัสทันที
รอยยิ้มของเหมยเอ้าซงแข็งค้าง เขาเหยียดแขนออกราวกับอินทรีโจมตีกระต่าย พร้อมใช้ฝ่ามือฟาดไปที่หนิงเทียน
ดวงตาของหนิงเทียนผู้โชกไปด้วยเืฉายแววความเกลียดชังอย่างร้อนแรงดุจเปลวเพลิง เขากลิ้งตัวหลบฝ่ามือน้ำแข็งของเหมยเอ้าซง ก่อนจะสะบัดพู่กันิญญาในมือแล้ววาดต้นหญ้าขึ้นมา ใบหญ้าสีเขียวพลิ้วไหวตามสายลม และปลดปล่อยพลังปราณกระบี่ที่รุนแรงออกมา
เหมยเอ้าซงที่ถูกปราณกระบี่สกัดกั้นได้แต่กราดเกรี้ยว เขาประสานฝ่ามือเข้าด้วยกัน ทันใดนั้นก็มีน้ำแข็งทรงกรวยหมุนวนปรากฏบนฝ่ามือซึ่งเปี่ยมไปด้วยพลังอันน่าเกรงขาม และทำให้หญ้าต้นน้อยแตกเป็เสี่ยง
หนิงเทียนใบหน้าซีดเซียว น้ำเต้าเจ็ดสีเหนือหัวกำลังหมุนวนปลดปล่อยความผันผวนอันน่าหวาดหวั่น ซึ่งทำให้ศัตรูหวาดกลัว
หนิงเทียนสะบัดพู่กันพร้อมใช้ทักษะจิตรกรรมิญญาไร้ลักษณ์สร้างเกราะป้องกัน เพื่อสกัดกั้นการโจมตีของศัตรูและต่อกรกับขอบเขตผนึกดาราขั้นเก้า
ตี๋เยี่ยนจวินประหลาดใจอย่างยิ่ง เดิมทีเขาคิดว่าหนิงเทียนคงไม่รอดแล้ว ทว่ากลับยังคงต่อต้านเอาไว้ได้
ส่วนจี้ชิว เหยียนเริ่นเฟิง เฟิ่งจิ่วอี้ หยางิอวี่ และเหมยเอ้าซงต่างก็เข้าล้อมเขาพร้อมเจตนาสังหารที่ปรากฏชัดในดวงตา
ก่อนหน้านี้ ทุกคนเพียง้าเืของหนิงเทียนมาใช้ในการสังเวยเท่านั้น และไม่ได้สนใจเลยว่าเขามีความแข็งแกร่งทางกายภาพถึงหนึ่งแสนจิน เพราะในสายตาของขอบเขตผนึกดาราขั้นเก้า เขาก็เป็เพียงตัวตลก
ทว่าหลังจากได้ปะทะกัน ฝีมือของหนิงเทียนก็สร้างความใให้พวกเขาเป็อย่างมาก ซึ่งทำให้พวกเขาเริ่ม้าสังหารอัจฉริยะวัยเยาว์ผู้นี้
ศักยภาพของหนิงเทียนนั้นน่ากลัวมาก ยามนี้เขาอยู่เพียงขอบเขตจิตหยั่งลึกขั้นห้า แต่กลับสามารถรับมือกับยอดฝีมือในขอบเขตผนึกดาราขั้นเก้าได้ แล้วในยามที่เขาเติบโตขึ้น ผู้อื่นจะโดดเด่นขึ้นมาได้อย่างไร?
ไม้เด่นเกินไพรย่อมถูกลมพัดหักโค่น[1] นี่เรียกว่าเป็การคัดสรรโดยธรรมชาติ
หนิงเทียนรับรู้ถึงเจตนาสังหารจากจิตใจของคนทั้งห้า เขาจึงลดพู่กันิญญาหลากสีลงแล้วหยิบธนูขึ้นมาถือไว้
พลันรูม่านตาของหยางิอวี่หดตัว เขาจ้องคันธนูโดยมีร่องรอยของความกลัวปรากฏขึ้นในดวงตา
นี่คือธนูจันทรามรกตของสำนักั์พฤกษา ซึ่งสามารถสังหารได้แม้กระทั่งปรมาจารย์ในขอบเขตผนึกดารา
อสูริญญาพุ่งออกจากร่างของหนิงเทียน ก่อนจะมุ่งตรงหาศัตรูทั้งห้า ส่วนคันธนูในมือของเขากลับเล็งไปยังเจียงจิ้งปัวที่าเ็สาหัส
“หนิงเทียน! เ้าคิดจะทำอะไร? เ้า...อ๊าก!” เจียงจิ้งปัวััได้ถึงวิกฤตจึงพ่นคำสาปแช่งอย่างไม่หยุดหย่อน
สุดท้ายคอของเขาก็ถูกลูกศรแทง และกลายเป็คนแรกที่ตายในสมรภูมิ
หลังจากยิงสังหารเจียงจิ้งปัวแล้ว เป้าหมายที่สองของหนิงเทียนก็คือหยางิอวี่จากสำนักั์พฤกษา
เขาใช้โอกาส่ที่อสูริญญากำลังห้ำหั่นศัตรูยิงลูกศรออกไป เสียงคำรามอันแปลกประหลาดทะลุผ่านท้องฟ้าราวกับเสียงร้องของิญญาผู้บริสุทธิ์ ทำให้หยางิอวี่หวาดกลัวจนร้องลั่น และใช้โล่ป้องกันลูกศรพิฆาตได้ทันท่วงที
เมื่อเห็นดังนั้น หนิงเทียนจึงหันไปด้านข้างแล้วเล็งธนูไปทางเหมยเอ้าซง คันธนูของเขางดงามราวพระจันทร์เต็มดวง ลูกศรแหลมคมราวกับสายรุ้งพุ่งฉีกห้วงอากาศและกระแสลมจนสั่นะเืไปทั่ว จากนั้นก็ทะลุเกราะน้ำแข็งทั้งเจ็ดแล้วปักลงบนไหล่ของศัตรู
เหมยเอ้าซงกรีดร้องอย่างเ็ป ลูกศรนี้สร้างาแให้เขาเพียงผิวเผินเท่านั้น ทว่านี่ถือเป็ความอัปยศครั้งใหญ่หลวง
หนิงเทียนยิงธนูซ้ายทีขวาทีด้วยพลังสุดคณานับ และเมื่อรวมกับการโจมตีของอสูริญญา เขาก็สามารถเอาชนะศัตรูและทำให้พวกเขาตกอยู่ในอาการตื่นตระหนกราวกับสุนัขได้สำเร็จ
จี้ชิวไม่พอใจอย่างรุนแรงจึงยอมสละผนึกดารา หลังจากเปิดใช้แล้วก็พุ่งเข้าหาหนิงเทียนผ่านห้วงอากาศทันที ส่งผลให้มิติเวลาเกิดความบิดเบี้ยวดุจการตีวัวข้ามเขา[2] แรงปะทะอันทรงพลังทำให้หนิงเทียนกระเด็นออกไป อวัยวะภายในของเขาได้รับความกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงจนเืทะลักออกจากทวารทั้งเจ็ด เขาเกือบตายด้วยเงื้อมมือของจี้ชิวแล้ว
หนิงเทียนคำรามอย่างบ้าคลั่ง ผมของเขาแผ่สยาย ใบหน้าซีดเผือดเต็มไปด้วยความอาฆาตพยาบาท และน้ำเต้าเจ็ดสีเหนือหัวก็หันกลับมาโจมตีจี้ชิวทันที
จี้ชิวแผดเสียงอันดุร้าย พร้อมเปิดใช้ผนึกดาราเป็ครั้งที่สองเพื่อปะทะกับน้ำเต้าเจ็ดสี จนเกิดเสียงกึกก้องที่ทำให้ห้วงอากาศแตกสลาย และก่อให้เกิดคลื่นกระแทกที่แผ่ขยายออกมา
ผนึกดาราลอยกลับหัว ส่วนน้ำเต้าก็ตกอยู่ในสภาพแน่นิ่ง ยากที่จะบอกว่าในการปะทะของอาวุธิญญาครั้งนี้ฝ่ายใดเป็ผู้ชนะ นอกจากนี้ร่างของจี้ชิวและหนิงเทียนก็ยังกระเด็นออกไปทั้งคู่
“ตาย!” มือของเหยียนเริ่นเฟิงมีประกายสายรุ้ง มันคือหอกสีแดงที่สลักด้วยลวดลายทางจิติญญาอันลึกลับและมีพลังน่าสะพรึงกลัว ทั้งยังมีงูเพลิงพุ่งขึ้นจากตัวหอกในยามทิ่มแทงศัตรูด้วย
นี่คือการประยุกต์ใช้ทักษะต่อสู้ของหยวนซิว พลังหยวนเพลิงสีชาดควบแน่นเป็งูเพลิง ไม่เพียงแต่มีรูปลักษณ์ภายนอกที่น่าสยดสยองเท่านั้น ทว่าพลังโจมตีของมันยังเพิ่มขึ้นอย่างมากอีกด้วย
หนิงเทียนที่กำลังกระเด็นไปด้านหลังไม่มีเวลาหลบหลีก เขากรีดร้องอย่างดุเดือดแล้วคว้าหอกสีชาด แสงสีทองส่องสว่างผ่านฝ่ามือ ยามนี้กายาสุวรรณะนิรันดร์ได้ะเิออกด้วยพลังหนึ่งแสนจิน และสามารถหยุดการโจมตีของศัตรูไว้ได้
ยามนั้น หนิงเทียนควบคุมให้น้ำเต้าเจ็ดสีพุ่งใส่หอกสีชาด แรงปะทะของอาวุธทั้งสองทำให้ปากของหอกสีชาดแตกออก และแขนขวาของอีกฝ่ายก็หักสะบั้นจนร้องลั่น
เฟิงจิ่วอี้แห่งนิกายวิหคเหินเรียกใช้กรงเล็บเหล็ก อาวุธิญญาที่ทำจากกรงเล็บของอสูรระดับสี่ เขาอาศัยจังหวะจากการต่อสู้อันดุเดือดของหนิงเทียนกับหอกสีชาด แล้วใช้กรงเล็บเหล็กโจมตีเข้าที่หน้าอกของหนิงเทียนจนทิ้งาแเอาไว้
หนิงเทียนกรีดร้องอย่างโกรธเกรี้ยว แม้แต่กายาสุวรรณะนิรันดร์ระดับสี่ก็ไม่สามารถทนต่อความคมของกรงเล็บเหล็กได้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการโจมตีของเฟิงจิ่วอี้นั้นน่ากลัวเพียงใด
เหมยเอ้าซงและหยางิอวี่ต่างพุ่งเข้ามา ทั้งคู่ฉวยโอกาสจากอาการาเ็ของหนิงเทียนเข้าสังหารเขา
หนิงเทียนต้องรับมือกับศัตรูจำนวนมากและตกอยู่ในสถานการณ์ย่ำแย่ โชคดีที่ยังมีความช่วยเหลือจากอสูริญญา จึงสามารถอดทนไปได้อีกระยะหนึ่ง
นิ้วน้ำแข็งของเหมยเอ้าซงทรงพลังอย่างยิ่ง นิ้วของเขากลายเป็น้ำแข็งซึ่งคมกริบยิ่งกว่าใบมีด สิ่งนี้ทำให้หนิงเทียนนึกถึงวิชากระบี่เลื่อนลอยไร้แก่น
ในการต่อสู้ระยะประชิด ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และอาวุธิญญาก็มีประโยชน์เพียงเล็กน้อย ดังนั้น เขาจึงตัดสินใจใช้วิชากระบี่เลื่อนลอยไร้แก่นผสานกับทักษะเก้าร่างเถาวัลย์ั
“เ้าโง่ คิดสู้แบบเผชิญหน้ากับศัตรูด้วยขอบเขตเพียงเท่านี้ เช่นนี้จะต่างอะไรกับการมองหาความตาย?” ตี๋เยี่ยนจวินขมวดคิ้วแน่น
ขอบเขตจิตหยั่งลึกขั้นห้าปะทะกับขอบเขตผนึกดาราขั้นเก้าแบบประชิดตัว นั่นคือผลลัพธ์ที่แม้แต่คนโง่ก็รู้ดี
เดิมทีหนิงเทียนก็คิดเช่นนั้น แต่หลังจากได้เผชิญหน้าอย่างจริงจัง เขาก็พบว่าสถานการณ์นี้ต่างไปจากที่เขาจินตนาการไว้
ความแข็งแกร่งทางกายภาพของหนิงเทียนมากถึงหนึ่งแสนจิน ซึ่งนับว่าค่อนข้างน่ากลัว แม้ผู้บำเพ็ญขอบเขตผนึกดาราขั้นเก้าจะมีพละกำลังบดขยี้จากการใช้ประโยชน์ของขอบเขต ทว่าหนทางนี้ก็ยังมีขีดจำกัด
จากการต่อสู้ของหนิงเทียนและเหมยเอ้าซง หากเหมยเอ้าซงรวบรวมพลังได้ หนิงเทียนก็ย่อมถูกกระแทกออกไปทุกครั้งที่เกิดการปะทะพลังอย่างหนัก
ทว่าหากหนิงเทียนรวดเร็วมากพอและพุ่งโจมตีหลายร้อยครั้งในคราวเดียว พลังขอบเขตของเหมยเอ้าซงก็จะถูกดูดกลืนและทำให้เขาหมดแรงไป
ในเวลานั้น ร่างกายของหนิงเทียนทรงพลังอย่างมาก และข้อได้เปรียบของเขาก็ค่อยๆ ปรากฏชัดขึ้น
หนิงเทียนรับรู้เื่เหล่านี้ยามที่เขาใช้วิชากระบี่เลื่อนลอยไร้แก่นในการต่อสู้
คุณลักษณะของวิชากระบี่เลื่อนลอยไร้แก่น คือ ปราณกระบี่ที่เปลี่ยนเป็แสงเปล่งประกาย ซึ่งสามารถทะลวงทุกการป้องกันของศัตรูและขยายเป็ช่องว่างขนาดใหญ่ ทั้งยังสามารถทะลุผ่านได้แม้กระทั่งช่องว่างที่มองไม่เห็น
วิชากระบี่ราวกับการฝังเข็มเช่นนี้ยากที่จะป้องกันได้ ซึ่งทำให้เหมยเอ้าซงรู้สึกปวดหัวกับการคิดหาวิธีรับมือ
เขาถูกปราณกระบี่โจมตีทุกครั้งที่เขาเข้าใกล้หนิงเทียน เป็เหตุให้เส้นลมปราณถูกปิดกั้น และส่งผลร้ายแรงต่อประสิทธิภาพของความแข็งแกร่งของเขา
ขณะที่การต่อสู้ระหว่างทั้งสองฝ่ายดำเนินต่อไป ปราณกระบี่ก็ค่อยๆ เพิ่มจำนวนมากขึ้น พลังิญญาในร่างของเหมยเอ้าซงเริ่มเคลื่อนไหวยากขึ้น และข้อบกพร่องของเขาก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ดวงตาของหนิงเทียนเปล่งประกายราวคบเพลิง ยุทธศาสตร์ครอง์แผ่กลิ่นอายการต่อสู้ที่รุนแรง มันจับการเคลื่อนไหวของพลังิญญาในร่างเหมยเอ้าซงแล้วโจมตีเขาโดยไม่ปล่อยให้ได้ตั้งตัว จนเขากระอักเืและร้องคำรามเนื่องจากแขนขวาที่หักลง
หนิงเทียนแผดเสียงดังและพลังของเขาก็พุ่งสูงขึ้น เขาผสานทักษะเก้าร่างเถาวัลย์ัและวิชากระบี่เลื่อนลอยไร้แก่น เพื่อบังคับให้เหมยเอ้าซงต้องสู้แบบเผชิญหน้า ความแข็งแกร่งทางกายภาพของเขาทะลุเกินหนึ่งแสนจินไปแล้ว ทั้งยังสามารถทุบตีจนเหมยเอ้าซงมีสภาพอนาถไม่ต่างจากสุนัขได้สำเร็จ
ผลึกิญญาลอยวนรอบร่างของหนิงเทียนพร้อมกลืนกินพลังอันรุนแรง เพื่อหล่อเลี้ยงร่างกายและเติมเต็มการบริโภคของเขา
เหมยเอ้าซงโอดครวญอย่างเดือดดาล เขาพยายามหลบเลี่ยงการโจมตีอย่างต่อเนื่องของหนิงเทียนด้วยกำลัง ทว่าเขาก็หนีไม่พ้น
หนิงเทียนทั้งดุร้ายและมีพลังล้นหลาม เขาทุบตีเหมยเอ้าซงจนเขากรีดร้องลั่น ร่างโชกไปด้วยเื และแทบคลั่งด้วยความเ็ป
ตี๋เยี่ยนจวินมองดูเหตุการณ์ตรงหน้าและตกตะลึงไม่ต่างจากคนอื่นๆ
เหมยเอ้าซงผู้อยู่ในจุดสูงสุดของขอบเขตผนึกดาราขั้นเก้า กลับถูกหนิงเทียนกำราบด้วยพลังกายภาพจนไม่สามารถเงยหน้าขึ้นได้ นี่มันชั่วร้ายเกินไปแล้ว!
“เก็บเด็กคนนี้ไว้ไม่ได้แล้ว!”
จี้ชิว เหยียนเริ่นเฟิง หยางิอวี่ และเฟิ่งจิ่วอี้ล้วนมีความคิดเดียวกัน พลังของหนิงเทียนร้ายกาจมาก หากไม่กำจัดเขาในวันนี้ อนาคตคงไม่มีผู้ใดสามารถดื่มด่ำไปกับความสงบสุขได้อีกแล้ว
“ฆ่ามัน!” ทั้งสี่คนคำรามอย่างดุเดือด พร้อมเปิดใช้อาวุธิญญาและใช้พลังที่แข็งแกร่งที่สุดของตน พวกเขาพยายามทำลายแนวป้องกันของอสูริญญาครั้งแล้วครั้งเล่า เพื่อเข้าประชิดตัวหนิงเทียน
การต่อสู้ดำเนินมาสู่่ที่ตึงเครียดที่สุด ร่างของหนิงเทียนลอยกลับหัวกลับหางราวกับเขาเป็บ้าไปแล้ว ก่อนจะเริ่มใช้ทุกทักษะวิชาที่ได้เรียนรู้มาสู้กับศัตรูในศึกนองเือย่างไม่เกรงกลัวอีกต่อไป
หลงเงาตัดผกาทะลวงพันชั้นแผลงฤทธิ์ ทักษะเก้าร่างเถาวัลย์ัถูกเรียกใช้อย่างดุเดือด สัตตบุษย์งอกงามทุกย่างก้าวปรากฏขึ้น และทักษะจิตรกรรมิญญาไร้ลักษณ์ก็เล็งเป้าท้าทายทุกชีวิต
ตี๋เยี่ยนจวินเป็พยานบุคคลเพียงหนึ่งเดียวในที่เกิดเหตุ ยามที่จี้ชิว เหยียนเริ่นเฟิง และคนอื่นๆ เริ่มโจมตีโดยไม่กักพลังอีกต่อไป หนิงเทียนก็ตกอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวังอีกครา
ใน่วิกฤตของชีวิต หนิงเทียนตัดสินใจหยิบไข่มุกอสูรหยินออกมา
สิ่งนี้มีฤทธิ์กัดกร่อนรุนแรง เพียงััเล็กน้อยิัก็ล้วนผุกลวง ทั้งยังก่อให้เกิดอาการชาจนไม่รู้สึกเ็ปไปชั่วขณะ
หนิงเทียนฉวยโอกาสนี้โจมตีพวกเขาโดยไม่ปล่อยให้ตั้งหลัก ด้วยความช่วยเหลือจากวิชากระบี่เลื่อนลอยไร้แก่น เขาสามารถทะลุเข้าไปถึงหัวใจของหยางิอวี่ได้ด้วยการชกเพียงครั้งเดียว เมื่อจี้ชิว เหยียนเริ่นเฟิง และคนอื่นๆ เห็นดังนั้นก็ตกตะลึงไปตามกัน
ไข่มุกอสูรหยินอันน่าพิศวงและดุร้ายทำให้ผู้คนหวาดกลัว หนิงเทียนใช้มันทุบตีจี้ชิวจนร่างหลุดเป็ชิ้นๆ แล้วโจมตีเหยียนเริ่นเฟิงจนตาบอดหูหนวก ก่อนจะพุ่งเข้าหาเฟิ่งจิ่วอี้จนเขาต้องคุกเข่าร้องไห้อย่างขมขื่น
เหมยเอ้าซงใมากและรีบหนีไป ขณะที่จี้ชิวก็ใช้วิชาลับของซิงซิวเพื่อหลบหนีด้วยความตื่นตระหนก ส่วนเหยียนเริ่นเฟิง เฟิ่งจิ่วอี้ และหลินหวาก็ถูกหนิงเทียนสังหารเพื่อสังเวยให้กับโลงศพธารา และพวกเขาทั้งหมดก็สิ้นชีพลง ณ ที่แห่งนี้
มีผู้เสียชีวิตห้าราย าเ็สองราย ซึ่งถือเป็จุดจบที่น่าสังเวช
ผลลัพธ์ดังกล่าวทำให้ตี๋เยี่ยนจวินหนาวสั่นไปถึงกระดูกสันหลัง และเขาก็ไม่กล้าดูถูกหนิงเทียนอีกต่อไป
โลงศพธาราเปื้อนไปด้วยโลหิต ร่างในโลงโชกไปด้วยสีแดงฉาน เสียงหายใจแ่เบาดังก้องอยู่ในพระราชวังผลึกแก้ว
ตี๋เยี่ยนจวินรีบวิ่งออกจากประตูไปอย่างตื่นตระหนก ส่วนหนิงเทียนก็หลั่งเหงื่อเย็นก่อนจะหันหลังเพื่อจากไป ทว่าเขากลับพบร่างโปร่งใสร่างหนึ่งขวางทางเอาไว้
นั่นคือร่างของสตรีนางหนึ่งซึ่งใสราวกับถูกสร้างขึ้นจากน้ำ และกำลังหันหลังให้หนิงเทียน
เขาหันกลับไปมองโดยไม่รู้ตัว และเห็นว่าโลงศพธาราเปิดออกแล้ว ยามนี้ไม่มีอะไรอยู่ข้างในอีกต่อไป
เมื่อหันกลับมา ร่างโปร่งใสตรงหน้าเขาก็กลายเป็สตรีในชุดขาวในพริบตา เท้าเปล่าเปลือยลอยคว้างกลางอากาศ
หนิงเทียนใมาก การเปลี่ยนแปลงนี้เร็วเกินไปหรือไม่?
แล้วนางผู้นี้ยังมีชีวิตอยู่หรือเป็ผีกันแน่?
---------------------------------------
[1] ไม้เด่นเกินไพรย่อมถูกลมพัดหักโค่น (木秀于林风必摧之) หมายถึง ผู้ที่โดดเด่นหรือมีการกระทำที่น่าจับตามอง ย่อมทำให้ผู้อื่นอิจฉาริษยาจนถูกเล่นงานได้โดยง่าย
[2] ตีวัวข้ามเขา (隔山打牛) หมายถึง การโจมตีเป้าหมายโดยไร้การัั ซึ่งเป็การโจมตีที่ทรงพลังมาก
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้