อันเจิงก้มมองดูเืที่ไหลอาบมือของเขาและมองไปที่หวังเมิ่งซึ่งนอนร้องคร่ำครวญด้วยความเจ็บอย่างน่าเวทนา ในหัวของเขายังคงหลงเหลือความเ็ปเลือนรางหรือทุกอย่างจะเป็เพียงภาพลวงตา เ้าของร่างนี้ได้ตายไปแล้ว ตายด้วยความคับแค้นใจแต่กลับทำให้เขาได้โอกาสกลับมาเกิดใหม่อีกครั้งในร่างนี้ ช่างน่าขำสิ้นดี!ตัวเขาที่น่าภาคภูมิใจ กลับต้องมาตกอยู่ในสภาพของคนอ่อนแออย่างคาดไม่ถึงเช่นนี้น่ะหรือ
มีดที่ปักอยู่บนต้นขาของหวังเมิ่งสร้างรอยแผลลึกเหวอะหวะแสดงให้เห็นถึงอารมณ์โหดร้ายบ้าคลั่ง แต่รอยแผลนั้นกลับไม่โดนเส้นเืใหญ่เลยราวกับว่าตั้งใจตอนนี้เืของร่างที่อยู่ตรงหน้าหยุดไหลแล้ว เหลือเพียงมือที่สั่นเทาและความสับสน
ลืมมันไปซะ!
อันเจิงถอนหายใจพลางคิด ในที่สุดเขาก็ยังไม่ตายร่างกายนี้ถึงมันจะมีข้อด้อยอยู่บ้าง แต่ก็ช่างเถอะ เขานึกถึง่ที่ร่างกายแข็งทื่อไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ในหัวก็มีเื่ราวของเด็กผู้ชายคนหนึ่งแล่นอยู่ในห้วงความคิด เหมือนได้ผ่าน่ชีวิตเ่าั้ไปราวกับดูหนังสั้นเื่หนึ่ง
อันเจิง?
ชื่อนี้ก็ไม่เลว แบบนั้นใช้ชื่อนี้ก็แล้วกัน
อันเจิงใช้เท้าเหยียบไปยังแผลที่ต้นขาของหวังเมิ่งท่ามกลางเสียงร้องด้วยความเ็ปพลันก้มตัวลงพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “แผลนี้มันไม่ใช่เ้าแต่เป็ข้าที่ต้องกรีดร้องเพราะแค่หมัดสองหมัดของเ้า มันทำให้ข้าเกือบตาย”
ทันทีที่พูดจบ เขาก็ดึงมีดออกจากต้นขาของหวังเมิ่งอย่างฉับพลันจนหวังเมิ่งที่ไม่ทันได้ตั้งตัวร้องออกมาอย่างเ็ป ฉึก! เมื่อเสียงโวยวายเริ่มดังขึ้นอันเจิงจึงเอามีดแทงกลับไปที่เดิมอีกครั้งมีดเล่มนั้นแทงทะลุเข้าไปที่ตำแหน่งเดิมเหมือนจับวาง ไม่มีพลาดแม้แต่นิดเดียวเสมือนว่ามีดเล่มนั้นได้กลับเข้าฝักอีกครั้งแม้แต่หมอที่เก่งที่สุดก็อาจจะดูไม่ออกด้วยซ้ำว่า แผลนี้โดนแทงมาแล้วถึงสองครั้ง
ใบหน้าของหวังเมิ่งเริ่มขาวซีดเป็กระดาษแม้ว่าจะพยายามเค้นเสียงอย่างไรก็มีแค่เพียงลมเบา ๆ ออกจากปากเท่านั้นคงไม่มีใครคาดคิดว่า คนที่ปกติดูดุดันและโหดร้ายจะมาถูกเล่นงานจากคนที่คาดไม่ถึงอย่างอันเจิง
“อันเจิง!”
สีหน้าของโค่วลิ่วเริ่มเกรี้ยวกราดการกระทำของนักเรียนซึ่งไร้ประโยชน์ ทั้งยังไม่ได้สนใจในคำสั่งที่เขาได้พูดไป ทำให้โค่วลิ่วโมโหจนถึงขีดสุดถ้าเป็ก่อนหน้านี้ หากอันเจิงอยู่ตรงหน้าเขา จะต้องเงียบและทำตามคำสั่งของเขาโดยไม่กล้าแม้แต่จะพูดอะไรแต่อันเจิงในตอนนี้กลับตรงกันข้าม แม้แต่หางตาก็ไม่เหลียวมองมาด้วยซ้ำ โค่วลิ่วจึงคำรามด้วยความโกรธ“เ้าคิดว่าเก่งนักรึ? ข้าพูดอะไรเ้าก็ไม่ฟังแล้วใช่หรือไม่?”
อันเจิงกำลังนึกถึงอะไรบางอย่าง แม้ว่าจะมีร่างสูงใหญ่ของโค่วลิ่วค้ำหัวอยู่แต่ในดวงตาคู่นั้นกลับไม่มีความรู้สึกใด ๆ นอกเสียจากความเกลียดชัง
“อาจารย์ลิ่วท่านเคยสอนพวกเรามาก่อนไม่ใช่หรือ?”
อันเจิงดึงมีดออกมาอีกครั้งแล้วควงเป็วงกลมอย่างคล่องแคล่ว“อาจารย์เคยพูดไว้ว่า ที่นี่เป็เขตของกลุ่มโจรเก้าก๊กผู้ยิ่งใหญ่กฎข้อเดียวของที่นี่คือ ใครที่โชคร้ายถูกคนอื่นรังแก หากไม่คิดแม้แต่จะสู้ก็จะไม่มีใครมาสงสารดังนั้นท่านก็เลยไม่เคยเห็นหัวข้ามาก่อน แต่ตอนนี้ข้าทำตามที่ท่านสั่งสอนแล้ว เหตุใดท่าทีของท่านถึงดูไม่สบายใจนักเล่าท่านอาจารย์”
โค่วลิ่วรูปร่างสูงใหญ่ ความสูงของเขาเท่ากับหนึ่งเมตรเก้าสิบเิเร่างกายเต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อคล้ายมนุษย์หมีที่แข็งแกร่ง ในกลุ่มโจรต้าโค่วทั้งเก้าถึงแม้ว่าโค่วลิ่วอาจจะไม่ใช่คนที่เกรี้ยวกราดที่สุดแต่เขาคือคนที่โเี้ที่สุด แิของกลุ่มโจรเก้าก๊ก เจ็ดในแปดข้อก็มาจากโค่วลิ่วทั้งสิ้นยิ่งไปกว่านั้น เขายังหลงใหลในการศึกษาเื่สรีระร่างกายของมนุษย์เป็อย่างมากมีคนพูดกันไปว่า โค่วลิ่วใช้มีดหกร้อยหกสิบหกเล่มในการลอกิัของศัตรู สามารถลอกได้อย่างชำนาญและสมบูรณ์แบบทั้งยังใช้มีดหกร้อยหกสิบหกเล่มนั้นในการกำจัดกระดูกทั้งหมดจนสิ้น
โค่วลิ่วจ้องมองอันเจิงด้วยความใและพูดไม่ออกไปชั่วขณะ“ใช่ มันเป็คำพูดของข้าเอง แต่สิ่งที่ข้าเห็นตอนนี้คือ เ้ากำลังจะฆ่าเขาโดยที่เขาไม่ได้ทำอะไรเ้าเลยแม้แต่ปลายเล็บ”
เมื่อได้ยินดังนั้นตู้โซ่วโซ่วจึงโพล่งออกมาทันที “ท่านอาจารย์ เกาตี้ หวังจ้วงและหวังเมิ่ง พวกมันฆ่าอันเจิงจนตายอันเจิงไม่ได้ลงมือก่อน เป็พวกมันต่างหาก!”
“ฆ่าจนตาย ฆ่าจนตายแบบไหนกัน แล้วทำไมอันเจิงยังยืนอยู่ตรงนี้ได้!หา!”
จากนั้นโค่วลิ่วจึงหันมาพูดกับตู้โซ่วโซ่ว“ตู้โซ่วโซ่ว เ้ารู้ใช่หรือไม่ว่าข้าไม่ชอบคนโกหก แล้วรู้ใช่หรือไม่ว่าจุดจบของคนที่โกหกข้ามันจะเป็อย่างไร!”
อันเจิงฟึดฟัดด้วยความโกรธและะโออกไป“ตอนนี้ความจริงจะเป็อย่างไรคงไม่สำคัญ…ข้าจำได้ ท่านอาจารย์เคยพูดไว้ในห้องเรียนว่าใครที่ไม่กล้าต่อกรกับพวกที่ชอบทำร้ายเรา คนคนนั้นก็คือ เศษสวะ ไม่มีใครเห็นหัวแต่มาวันนี้มันช่างแตกต่างกันสิ้นดี หากการทำร้ายต้องมีเหตุผล เช่นนั้นจะเรียกว่าการทำร้ายได้อย่างไรกันข้าไม่รู้หรอกว่าท่านอาจารย์จะเห็นเป็เช่นไร แต่มันไม่สำคัญอีกต่อไปแล้วเพราะตอนนี้ท่านมองว่าข้าเป็คนรังแกพวกมัน ทำร้ายพวกมันไม่ใช่เหยื่อที่ถูกมันทำร้ายจนเกือบตาย”
หลังจากพูดจบ อันเจิงค่อย ๆเดินไปที่ด้านหน้าของหวังจ้วงที่ยืนตัวสั่นเทา พร้อมส่งรอยยิ้มเย็นะเื“พี่ชายของเ้าถูกข้าแทงไปตั้งสองแผลจนใกล้ตายขนาดนี้ เ้าในฐานะน้องชายไม่คิดจะทำอะไรเพื่อแก้แค้นบ้างเลยหรือ?!”
หวังจ้วงกลืนน้ำลาย อึก! อึก! อึก!ด้วยความฝืดคอ “ไม่…ข้าไม่ เขา…เขาไม่เป็อะไร เื่วันนี้มันเป็ความผิดของข้าอันเจิงเ้าวางมีดลงก่อนเถอะ พวกเราก็แค่เล่นสนุกกัน”
“เล่นสนุกงั้นหรือ?”
อันเจิงแสยะยิ้มออกมา “พี่ชายของเ้าต่อยข้าสองหมัดจนข้าแทบทรุดยังไม่รวมที่ตัวเ้าทั้งเตะข้าเจ็ดครั้งและต่อยข้าอีกสิบหกหมัดตอนนี้ร่างกายของข้ายังเต็มไปด้วยเือยู่เลย มันเจ็บ…เจ็บจนแทบทนไม่ได้แต่ไม่เป็ไร ตอนนี้ข้ายังจะไม่ฆ่าเ้า…แต่มันก็แค่ตอนนี้เท่านั้นละนะเพราะอะไรรู้หรือไม่? เพราะที่ผ่านมา พวกเ้าทั้งพี่และน้องเคยทำอะไรไว้กับข้าบ้างข้าจดจำได้ทั้งหมด และจะค่อย ๆ ตอบแทนพวกเ้าทีละนิด ให้สาสมกับที่พวกเ้าทำข้าไว้!เริ่มั้แ่ตอนนี้เลยแล้วกัน”
เมื่อสิ้นคำพูดของอันเจิงมีดที่อยู่ในมือของเขาก็แทงไปที่หวังจ้วงทันที
“ข้าบอกให้หยุดเดี๋ยวนี้!”
โค่วลิ่วรีบสาวเท้าไปที่อันเจิงและคว้ามีดในมือของเขาทันทีทว่าเมื่อก้าวไปถึง อันเจิงก็ได้กระหน่ำแทงร่างของหวังเมิ่งไปแล้วถึงยี่สิบสามแผลไม่ขาดไม่เกินตามจำนวนที่หวังจ้วงได้ต่อยเขาไว้สิบหกหมัด และเตะเขาอีกเจ็ดครั้ง
มือของอันเจิงรวดเร็วราวกับสายฟ้าฟาดไม่มีใครคาดคิดว่า เวลาเพียงไม่กี่วินาทีจะมีใครสามารถออกแรงจ้วงแทงได้มากครั้งขนาดนี้ความเร็วในการแทงนั้นไม่ต้องพูดถึง คนธรรมดาคงจะไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าเพราะเพียง่ไม่กี่อึดใจ ร่างของหวังจ้วงก็โชกไปด้วยเื ในขณะที่ปากของเขาก็ขยับและเปล่งเสียงออกมาแทบไม่เป็ภาษาเขาหวาดกลัวเกินจะบรรยายเมื่อมองเห็นร่างโชกเืของตน จึงกรีดร้องโหยหวนออกมา มือที่สั่นเทาพยายามอุดปากแผลเอาไว้แต่ยิ่งปิดเืก็ยิ่งไหล จนทั้งร่างของหวังจ้วงมีเพียงเื เื และเื…
สองวินาทีกับการจ้วงแทงยี่สิบสามแผล
อันเจิงถอนหายใจพลางคิด ความเร็วตกลงไปมากนักแต่ก็ยังดีที่ร่างกายเริ่มมีกำลังกลับมาบ้างแล้ว มือของเราคงจะเร็วกว่านี้ในไม่ช้าแต่ที่น่าใคือ ถึงแม้ร่างกายนี้จะดูอ่อนปวกเปียก แต่แท้ที่จริงก็ไม่ได้อ่อนแอ เ้าของร่างเดิมคงฝึกฝนร่างกายตัวเองทุกวันหวังเพื่อป้องกันตัวเองบ้าง แต่แม้ว่าร่างกายของเขาจะไม่อ่อนแอ แต่จิตใจกลับอ่อนแอเพราะถึงเขาจะฝึกฝนร่างกายมาอย่างเต็มที่แต่กลับไม่กล้าที่จะสู้แม้แต่ครั้งเดียว
อันเจิงค่อนข้างพอใจกับการต่อสู้ครั้งนี้ แต่ในทางกลับกัน โค่วลิ่วกลับใอย่างที่สุด
เพียงสองวินาทีแต่สามารถสร้างรอยแผลได้ถึงยี่สิบสามแผล
หากเป็คนอื่นมาเห็นภาพนี้ก็คงใไม่แพ้กันแต่โค่วลิ่วใมากกว่าคนอื่นเพราะเขารู้จักสรีระร่างกายของมนุษย์เป็อย่างดี จึงเห็นอะไรมากกว่าที่คนอื่นๆ เห็น มันแทบเป็ไปไม่ได้ที่คนเราจะสามารถจ้วงแทงได้ถึงยี่สิบสามแผลภายในสองวินาทีแม้จะดูเหมือนว่าเป็การแทงแบบขอไปที แต่ยี่สิบสามแผลนั้นกลับไม่โดนจุดสำคัญแม้แต่น้อยดังนั้นถึงหวังจ้วงจะโดนแทงอย่างไร ก็จะสามารถรักษาได้และไม่มีทางตาย
ความเร็วและความแม่นยำในการโจมตี นี่น่ะหรือความอ่อนแอที่ทำให้ผู้คนพากันรังเกียจอันเจิง?ในวัยเด็กเขาคงเป็เพียงไอ้เด็กอ่อนหัดคนหนึ่ง ตอนนี้แม้ว่าจะยังห่างไกลจากจุดที่เรียกได้ว่าแข็งแกร่งแต่ว่าธาตุแท้ภายในจิตใจดำมืดกำลังเฉิดฉายออกมา โค่วลิ่วรู้สึกว่าอันเจิงคนนี้เหมือนกับคนแปลกหน้าไม่ใช่เด็กกำพร้าขี้ขลาดที่เขารู้จักอีกต่อไป
“เ้า...เ้าทำได้อย่างไร!”
เขาโพล่งประโยคนี้ออกไปโดยไม่ทันรู้สึกว่ามีความสั่นเครือเจือปนอยู่ในน้ำเสียงถ้าเป็ไปตามสถานการณ์ปกติ เขาประเมินไว้ว่าอันเจิงจะไม่สามารถทำอะไรได้แต่เขาก็คืออันเจิง ไม่ใช่คนอื่น สองวินาทีกับยี่สิบสามรอยแผลมีแต่คนที่ฝึกวิชามาเท่านั้นที่จะทำได้ หากเป็คนเ่าั้ทำได้แค่นี้คงจะโดนดูแคลนไม่ใช่น้อย ดังนั้นไม่ต้องพูดถึงคนที่ผ่านการฝึกฝนมาแล้วถ้าไม่สามารถโต้ตอบกลับไปได้เลย ก็อย่าหวังว่าจะได้เลื่อนขั้น แต่ถ้าฝีมือขนาดนี้คงไม่ใช่เื่ยากเย็นอะไรนักที่จะโจมตีหกสิบครั้งภายในหนึ่งวินาที
ถึงแม้โค่วลิ่วจะดูแข็งแกร่งเหมือนเสือร้ายแต่ก็ยังไม่สามารถฝึกฝนได้ถึงขั้นนั้น ดังนั้นเขาจึงพยายามฝึกฝนร่างกายอย่างหนัก กระทั่งก่อนหน้านี้ไม่นานเขาได้บุกทะลวงฝ่าสามอาณาจักรจนค้นพบว่าถ้าภายในหนึ่งวินาทีสามารถโจมตีได้สองร้อยครั้งขึ้นไป จะไม่มีใครสามารถรับการโจมตีนี้ได้
“เพราะท่านสอนเก่งอย่างไรเล่าท่านอาจารย์”
อันเจิงพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“อาจารย์ลิ่วเคยสอนไว้ในห้องเรียนว่า ไม่มีทางลัดสำหรับการต่อสู้ มีเพียงการฝึกฝนเท่านั้นที่ทำให้เก่งได้ดังนั้นทุกวันเมื่อข้ากลับบ้าน ข้าจะฝึกฝนตนมากกว่าสองชั่วโมงในตอนเริ่มแรกก็ฝึกด้วยมีด ต่อมาก็เริ่มแทงกองไม้ ต่อมาก็เริ่มแทงจุดลมปราณมนุษย์จุดลมปราณต่าง ๆ ที่กระจายตามร่างกายที่ท่านเคยพูดเอาไว้หลังจากกลับมาข้าก็จดบันทึกอย่างละเอียด แต่ตอนนี้คงไม่ต้องพึ่งพวกมันแล้วล่ะ เพราะมันล้วนอยู่ในหัวของข้าหมดแล้ว”
เมื่อคำพูดเหล่านี้หลุดออกมาจากปากอันเจิงจึงแทบไม่มีข้อสงสัยเลยว่า เหตุใดอันเจิงจึงกลายเป็คนที่แข็งแกร่ง ในใจโค่วลิ่วเริ่มรู้สึกสับสนเด็กคนนี้คืออันเจิงจริงหรือ? ทำไมยิ่งดูยิ่งเหมือนคนแปลกหน้าเข้าไปทุกที
เมื่ออันเจิงเห็นสีหน้าของโค่วลิ่วจึงหัวเราะออกมา“ถ้าท่านไม่เชื่อก็ไปดูที่บ้านข้าเถิดไม่ว่าจะเป็กองไม้หรือบันทึกข้าก็ยังเก็บไว้ เพราะข้าฝึกฝนร่างกายทุกวัน วันละสองชั่วโมงไม่มีหยุดแม้ว่าฝนจะตกหรือแดดจะออกก็ตาม”
โค่วลิ่วพูดออกมาอย่างไม่ค่อยอยากเชื่อ“แต่ว่าก่อนหน้านั้นเ้า…”
โค่วลิ่วยังไม่ทันพูดจบ อันเจิงก็แทรกขึ้นมา
“เพราะก่อนหน้านั้นข้าไม่เคยตอบโต้?และก่อนหน้านั้นข้ามันก็แค่ไอ้ขี้ขลาดตาขาวมันก็ไม่มีอะไรน่าแปลกใจหรอก เพราะข้าเบื่อเต็มทนที่จะต้องเป็แบบนั้นข้าที่จะต้องเป็แค่เด็กกำพร้าไม่มีใครเอา ข้าเคยคิดว่าแค่อดทนเดี๋ยวมันก็ผ่านไปแต่มันก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าความขื่นขมที่ข้าได้รับ แต่ว่าไม่นานมานี้ไอ้พวกนั้นมันเริ่มรังควานข้ามากขึ้นเรื่อยๆ มันไม่ใช่แค่คิดจะต่อยตีข้า แต่มันคิดจะฆ่าข้าเลยด้วยซ้ำ เท่าที่ข้าได้ยินมาบางวันพวกมันก็ไปเข้าพวกกับอันธพาลแถวนี้ และเตรียมตัวที่จะตั้งกลุ่มกัน”
โค่วลิ่วหันหน้าไปทางเกาตี้ที่แอบอยู่พลางพูดด้วยน้ำเสียงดูแคลน“มันไม่ใช่เื่ง่ายขนาดนั้นหรอกนะที่กลุ่มเล็ก ๆ จะเข้าไปอยู่ตรงนั้นได้สิ่งแรกที่พวกเ้าต้องจำไว้คือ พวกเ้าต้องฆ่าคนมีคนมากมายที่คิดจะฆ่าคนเพื่อสิ่งนี้แต่ก็ไม่กล้า เ้าคิดว่าข้าต้องใช้ความกล้ามากขนาดไหนถึงจะขึ้นมาอยู่จุดนี้ได้ถ้ามันง่ายขนาดนั้นก็คงดี ข้าจะบอกให้เอาบุญ ยิ่งพวกเ้าอดทน อดทนต่อไปเรื่อย ๆ เ้านั่นแหละที่ต้องตาย”
อันเจิงหันไปพูดกับโค่วลิ่ว“ข้ามันเป็เพียงแค่เด็กกำพร้าไม่มีใครเอา ข้าก็แค่ใช้ชีวิตไปวัน ๆ แบบคนอ่อนแอและขี้ขลาดเพื่อเอาตัวรอดมันก็แค่วิธีที่จะทำให้ข้าไม่ตาย…ซึ่งตอนนี้ก็ไม่ต่างกัน หากข้าไม่อยากตายอย่างไร้ศักดิ์ศรีข้าก็ต้องสู้ สู้ด้วยความแข็งแกร่ง จากวันนี้เป็ต้นไป ใครทำอะไรข้าไว้ ข้าจะจัดการมันกลับเป็สองเท่าใครดีกับข้า ข้าก็จะดีกับเขา ใครเลวกับข้า ข้าก็จะตอบแทนมันอย่างสาสม!”
โค่วลิ่วอ้าปากค้างพูดอะไรไม่ออกสิ่งที่อยู่ภายในดวงตาของอันเจิงทำให้เขาเริ่มกลัว
เมื่อได้ยินดังนั้นเกาตี้ที่แอบอยู่ก็กำลังจะรีบเดินหนีไปแต่เสียงของอันเจิงก็ดังก้องอยู่ข้างหลังเขาเสียแล้ว “คิดจะหนีรึ?เ้ายังติดหนี้ข้าอยู่ จำได้หรือไม่? ”