เทือกเขาชางหมานตั้งอยู่ทางเหนือของแคว้นเยี่ยนและแคว้นโยวนอกจากสองแคว้นนี้ เทือกเขาแห่งนี้ยังมีอีกหลายแคว้นล้อมรอบ แถบนี้แทบไม่มีผู้ใดกล้าย่างกรายเข้ามาด้วยเหตุว่าที่นี่เต็มไปด้วยความโเี้เกินจะคาดเดา จึงมีเพียงคนชั่วเท่านั้นที่ยังอยู่รอด
แคว้นเยี่ยน แคว้นโยว แคว้นป้าและแคว้นโจว...เป็เพียงแคว้นเล็ก ๆ ในสิบหกแคว้นที่ตั้งอยู่ในอาณาเขตกว้างใหญ่โดยที่แห่งนี้ถูกเรียกขานว่า “เยี่ยนโยวสิบหกแคว้น”
แคว้นเยี่ยนและแคว้นโยวคือแคว้นที่แข็งแกร่งและมีอำนาจที่สุดในอาณาเขตนี้ทั้งสองแคว้นต่อสู้แย่งชิงอำนาจกันมาเป็เวลานานหลายปีจนทำให้ประชาชนต้องหลบลี้หนีภัยออกจากเทือกเขาชางหมานด้วยเพราะภัยา
เทือกเขาแห่งนี้จึงเปรียบเสมือนโลกใบเล็กที่เต็มไปด้วยการต่อสู้และมีผู้คนหลากหลายรูปแบบคละเคล้ากันไป
สถานที่ซึ่งขึ้นชื่อเื่า หนีไม่พ้นที่จะมีกลุ่มอันธพาลมารวมตัวกันอยู่เป็จำนวนมากทำให้พื้นที่แถบนี้ค่อย ๆ กลายเป็์ของกลุ่มโจรชั่วร้ายในที่สุด ไม่ใช่เพียงแคว้นเยี่ยนและแคว้นโยวเท่านั้นที่เป็เช่นนี้ชาวแคว้นอื่น ๆ ก็เริ่มถูกเหล่าโจรชั่วเหล่านี้ไล่ล่าและจับตัวไปจนทำให้ผู้คนจำนวนไม่น้อยต้องหนีภัยออกจากเทือกเขาชางหมาน แต่กระนั้นก็ยังมีผู้คนจำนวนมากที่อาศัยอยู่ที่นี่และเมื่อมีมากขึ้นเรื่อย ๆ จึงทำให้มีการรวมตัวกันเป็ก๊กเป็เหล่า
สถานที่ที่เหล่าคนชั่วเหล่านี้ไปรวมตัวกันนั้น ถูกเรียกขานกันว่า “โลกมายา”
ไม่ว่าที่ไหน เมื่อมีการรวมตัวกันของคนจำนวนมากสิ่งหนึ่งที่ต้องมีก็คือ สำนัก แม้จะอยู่ในเมืองที่เต็มไปด้วยูเารกร้างว่างเปล่าเช่นนี้แต่อย่างไรพวกเด็ก ๆ ก็ยัง้าการศึกษา และแน่นอนว่าในโลกมายาสิ่งที่แต่ละสำนักได้ถ่ายทอดนั้นล้วนไม่ใช่วิชาความรู้ธรรมดาเช่นกัน
มนุษย์ทุกที่ย่อมมีความแตกต่าง แม้จะอาศัยในกำแพงเมืองเดียวกันแต่ก็ยังแบ่งเป็คนจนและคนรวย ชนชั้นสูงและชนชั้นต่ำ
เมื่อมีชนชั้นวรรณะย่อมมีการกดขี่ข่มเหงแต่อย่างไรก็ดี หลังจากการมาเยือนของชายหนุ่มผู้มากไปด้วยวิชาความรู้เมื่อสิบเจ็ดปีก่อนหลังจากที่เขาเพียงคนเดียวสามารถเอาชนะชายฉกรรจ์ที่แข็งแรงกำยำได้ถึงสามสิบหกคนคำพูดของเขาก็กลายเป็สิทธิ์ขาดสำหรับที่นี่ นับจากวันนั้นเป็ต้นมาการดำเนินชีวิตของผู้คนที่นี่ก็อาจกล่าวได้ว่าดีขึ้น แต่ผู้คนต่างต้องยอมจ่ายค่าคุ้มครองเพื่อให้ตนเองมีชีวิตรอดจากการถูกฆ่า
ย่านหนานชานอยู่ทางใต้สุดของโลกมายาในแถบเทือกเขาชางหมาน ที่นี่มีการแบ่งเขตอำนาจให้เป็ของกลุ่มโจรต้าโค่วทั้งเก้า
ณ สำนักหนึ่งในย่านหนานชานเด็กสี่สิบกว่าคน อายุั้แ่ห้าหกขวบไปจนถึงสิบสี่สิบห้าปีกำลังนั่งระเกะระกะอย่างไร้จุดหมายบ้างก็หลับ บ้างก็กำลังจับกลุ่มนินทา
ในความเป็จริงที่สำนักแห่งนี้ไม่ได้มีใครมาสอนเป็พิเศษ มีเพียงกลุ่มโจรต้าโค่วซึ่งอ้างตนว่าเป็บุคคลที่โเี้ที่สุดผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาสอนทักษะการเอาชีวิตรอดให้แก่เด็ก ๆ
“เ้ารู้หรือไม่ วันนี้ใครจะเป็คนมาสอน”ตู้โซ่วโซ่วถามเพื่อนที่นั่งข้าง ๆ กัน
ตู้โซ่วโซ่วนั้นอายุสิบปีแต่ร่างกายกลับไม่ผ่ายผอมเหมือนชื่อโซ่วโซ่วของเขาด้วยเหตุนี้เขาจึงกลายเป็เหมือนหัวโจกในสำนักยกเว้นแต่กับกลุ่มเกาตี้ที่ขึ้นชื่อเื่ความโเี้เกินบรรยายส่วนเด็กที่นั่งข้างตู้โซ่วโซ่วคืออันเจิงอันที่มาจากคำว่าอันจิ้งซึ่งแปลว่าสงบสุข และเจิงที่แปลว่าการต่อสู้เพื่อเอาชนะแต่อันเจิงกลับไม่กล้าต่อสู้กับใครแม้แต่คนเดียวและเขาก็ยังเป็คนที่อ่อนแอที่สุดในสำนัก ถ้าไม่มีตู้โซ่วโซ่วคอยดูแลอันเจิงคงจะเป็คนแรกที่กลุ่มเกาตี้จะเล่นงาน
ทุกครั้งที่อันเจิงพูด อืม ๆ อา ๆโดยไม่ตอบอะไรออกไป ตู้โซ่วโซ่วเห็นแล้วก็มักจะโมโหดังนั้นถ้าตู้โซ่วโซ่วถามอะไรไป อันเจิงจะรีบตอบทันที แต่วันนี้ไม่รู้ทำไม ตู้โซ่วโซ่วถามคำถามผ่านไปครู่ใหญ่แล้วอันเจิงก็ยังคงไม่ตอบอะไรเช่นเดิมตู้โซ่วโซ่วรู้ดีว่าอันเจิงนั้นทั้งอ่อนแอและไม่สู้คนเขาจึงพยายามที่จะสอนให้อันเจิงหัดต่อสู้บ้าง แต่เพียงแค่สามวันหลังจากฝึกเท่านั้นเขาก็ปล่อยวางและไม่สนใจที่จะฝึกให้อันเจิงอีก นั่นเป็เพราะแม้แต่หนูตัวเล็ก ๆอันเจิงยังไม่กล้าจะฆ่ามัน
ตู้โซ่วโซ่วเหลือบมองอันเจิงแล้วเอ่ยถามขึ้น“เ้ากำลังทำอะไร”
แต่อันเจิงก็ยังคงไม่มีการตอบสนอง เพียงนอนคว่ำหน้าอยู่บนโต๊ะเขาคิดว่าอาจเป็เพราะเื่วันนี้ที่เกิดขึ้นกับอันเจิงก่อนเข้าเรียนลูกน้องของเกาตี้สองคนซึ่งเป็เด็กโตกว่าได้เข้ามารุมทำร้ายอันเจิงและตู้โซ่วโซ่วก็ช่วยชีวิตอันเจิงไว้ หลังจากนั้นจึงประคองกันเข้ามาในห้องเรียน เมื่อเข้ามาแล้วอันเจิงก็นอนคว่ำหน้าอยู่กับโต๊ะและไม่ขยับเขยื้อนตัวอีกเมื่อตู้โซ่วโซ่วมองเห็นกองเืที่ยังคงหยดลงใต้โต๊ะ เขาจึงพยายามปลุกอันเจิงให้ตื่นขึ้นมาแต่ร่างกายของอันเจิงแข็งและเย็นเฉียบราวน้ำแข็งไปแล้ว
“เกาตี้ เ้ามันเลว…!” แม้ว่าเขาจะยังเด็กแต่ตู้โซ่วโซ่วรู้ดีว่าตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้น
อันเจิง…เด็กที่อ่อนแอและไม่มีพิษมีภัยที่สุดในสำนัก เขาถูกทุบตีอย่างหนักแต่ก็ไม่กล้าแม้แต่จะเปล่งเสียงออกมาเวลาที่ถูกคนอื่นจับเอาไว้ก็ไม่กล้าที่จะขยับตัวไปไหนเมื่อคนอื่นบอกให้เขาเลียรองเท้าแน่นอนว่าเขาไม่กล้าที่จะปิดปากสนิทเลยแต่ความอ่อนแอของเขาก็ไม่ได้เปลี่ยนให้ความโหดร้ายของเด็กพวกนั้นกลายเป็ความเมตตาได้สักนิดตรงกันข้ามพวกมันยิ่งชอบใจที่จะทรมานอันเจิง จากการทรมานเล็ก ๆ น้อยจนถึงขั้นต้องจบชีวิตลงในที่สุด
เด็กที่มักนั่งหน้าห้องและมีร่างกายสูงใหญ่คือเกาตี้ เขาอายุสิบเอ็ดปีแต่ความแข็งแกร่งของเขาเหมือนลูกวัวกระทิงเขามักกลั่นแกล้งอันเจิงด้วยความโเี้จนกลายเป็กิจวัตรประจำวันแม้ว่าความจริงบ้านของพวกเขาทั้งสองจะอยู่ไม่ห่างกันนัก
“ว่าไงไอ้หมูอ้วน เ้าคงอยากตายสินะ?”
เกาตี้ลุกขึ้นพร้อมมองหน้าตู้โซ่วโซ่วอย่างเอาเื่ “อย่าคิดว่าข้าไม่กล้าฆ่าเ้านะ!ถ้าเ้าไม่มีพี่ชายอยู่ในสำนักจงเหมินละก็ ข้าฆ่าเ้าทิ้งไปนานแล้ว ต่อให้แม่ของเ้าจะ้าเอาเื่ข้ายังไงก็คงจะทำอะไรไม่ได้เพราะตอนนั้นข้าคงถอดแขนถอดขาของเ้าออกเป็ชิ้น ๆ ไปแล้ว”
ดวงตาของตู้โซ่วโซ่วเริ่มเปลี่ยนเป็สีแดงก่ำเหมือนสัตว์ร้ายพร้อมชี้นิ้วไปที่อันเจิงและะโเสียงดังลั่น “เ้าฆ่าเขา เ้าฆ่าอันเจิง...”
เกาตี้ชะงักเพียงครู่เดียวแล้วเผยรอยยิ้มเย้ยหยันออกมาแทบจะในทันที“แกล้งตายรึ? ใช่สินะ ความสามารถของพวกขี้ขลาดอย่างมันก็คงทำได้แค่นี้จริงๆ เมื่อเช้าพวกของข้าก็ไม่ได้ตั้งใจจะทำอะไรรุนแรงเลยสักนิดก็แค่เตะต่อยไปเหมือนทุกที ที่ผ่านมารุนแรงกว่านี้ตั้งเยอะยังรอดมาได้ ทำไมวันนี้มาตายเสียเล่า?”
เกาตี้ถีบเก้าอี้พร้อมกับรีบก้าวขาออกมาไม่ทันไรก็ไปเหยียบอยู่บนหลังของอันเจิงแล้ว “อย่ามาแกล้งทำเป็ตายแถวนี้ ข้ารู้เ้ายังไม่ตาย”
เท้าของเกาตี้ถีบอันเจิงที่นั่งคว่ำหน้าอยู่ทำให้ร่างกายของอันเจิงล้มลงไปกับพื้น ขณะนั้นทั้งเกาตี้และตู้โซ่วโซ่วเห็นใบหน้าซีดเผือดของอันเจิงอย่างชัดเจนดวงตาที่ปิดสนิทราวกับจะไม่เปิดออกอีกแล้ว รอยย่นระหว่างคิ้วที่ทั้งหนาและลึกร่างกายนั้นดูเหมือนคนที่ได้รับความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเขาตายแล้ว
เด็กชายอ่อนแอคนนี้ใน่ขณะที่เขากำลังจะตาย เขาต้องทนกับความเ็ปมากเกินที่คนคนหนึ่งจะรับได้แต่เขาก็ยังไม่แม้แต่จะเปล่งเสียงออกมา เขาทำแค่เพียงขมวดคิ้วแล้วกัดริมฝีปากของตัวเองไว้เท่านั้น
“เ้ามันก็แค่...ไอ้ลูกหมา!”
ไม่พูดพร่ำทำเพลง ตู้โซ่วโซ่วเหวี่ยงหมัดเข้าที่หน้าเกาตี้อย่างจังเกาตี้ไม่ทันระวังตัวจึงล้มลงไปกับพื้น พลันสายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นดวงตาไร้แววของอันเจิงในใจลึก ๆ รู้สึกหวาดหวั่น เพราะนี่เป็ครั้งแรกที่เขาเห็นคนตายต่อหน้า ไม่รวมถึงว่าเขาคือคนที่สั่งให้ลูกน้องไปทำร้ายอันเจิงเพียงเสี้ยววินาทีเขาก็รู้สึกได้ถึงความโหดร้ายที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น
เขาโบกไม้โบกมือแล้วะโออกไป“หวังเมิ่ง หวังจ้วง เป็พวกเ้าสองคนทำร้ายไอ้โง่นั่น ข้ายังไม่ทันได้ทำอะไรมันเลยพวกเ้านั่นแหละเป็คนฆ่า! แม่งเอ๊ย! หลักฐานที่ว่าข้าทำร้ายมันก็ไม่มีเสียหน่อย”
เมื่อหวังเมิ่งและหวังจ้วงลูกน้องของเกาตี้ได้ยินเช่นนั้นจึงหันกลับมาจับตู้โซ่วโซ่วไว้ขณะโดนจับจนขยับตัวไม่ได้ ตู้โซ่วโซ่วมองลงมาที่ร่างไร้ิญญาของอันเจิง ในใจรู้สึกเวทนานักเขาพลันตระหนักว่าถึงแม้อันเจิงจะตายไปแล้ว แต่อันเจิงก็คือเพื่อนที่อยู่ในใจของเขาเสมอ
ตู้โซ่วโซ่วเดือดดาลถึงขีดสุด “เ้าฆ่าเพื่อนของข้า!ข้าจะแก้แค้นให้กับเขา!”
“แก้แค้นมารดาเ้าเถอะ ไอ้สวะ!”
เกาตี้วิ่งพุ่งไปถีบที่หน้าท้องของตู้โซ่วโซ่ว เขาเจ็บจนถึงกับหมอบลงไป
“เพื่อนรึ! ฮ่า ๆ ๆ ๆ!”
เกาตี้เอามือถูที่มุมปาก จากนั้นก็กระชากผมของตู้โซ่วโซ่วขึ้น“เ้ายังคิดจะเอาคนขี้ขลาดตาขาวแบบนี้มาเป็เพื่อนรึ?ในย่านหนานชานทั้งหมดเ้านับคนแบบนี้เป็เพื่อนเนี่ยนะ!คนที่พ่อก็ไม่มีแม่ก็ไม่มีตายตามกันไปหมด ตอนนี้ตัวมันก็ยังตายไปอีกคนช่างไร้ค่าสิ้นดี ในโลกมายา คนชั้นต่ำแบบนี้จะว่ามากก็ไม่ใช่ จะว่าน้อยก็ไม่เชิงตู้โซ่วโซ่วเ้าไม่รู้หรือว่าอะไรดีอะไรเลว เ้านับคนชั้นต่ำแบบนี้เป็เพื่อนได้อย่างไรกัน!”
ทันใดนั้น เขาก็ตบปากตู้โซ่วโซ่วดังผลัวะ!“ขอโทษข้าซะ!”
ตู้โซ่วโซ่วเงยหน้าขึ้นและพยายามขัดขืนแต่ว่าหวังเมิ่งและหวังจ้วงนั้นมีส่วนสูงพอ ๆ กับเขา ความแข็งแรงของร่างกายก็เช่นกันดังนั้นถึงแม้เขาจะพยายามขัดขืนอย่างไรก็ทำไม่สำเร็จเมื่อมั่นใจว่าตู้โซ่วโซ่วไม่ขอโทษตนแน่ เกาตี้จึงดึงรั้งผมของตู้โซ่วโซ่วไว้แน่นพลันฝ่ามือของเขาก็กระแทกลงไปที่ใบหน้าของตู้โซ่วโซ่วครั้งแล้วครั้งเล่า ผลัวะ ๆ ๆๆ เสียงยิ่งดังฝ่ามือก็ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ
“ขอโทษข้าเดี๋ยวนี้!”
ดวงตาของเกาตี้เริ่มกลายเป็สีแดงฝ่ามือที่ตบลงไปบนหน้าของตู้โซ่วโซ่วก็ค่อย ๆ บวมเป่งออกมา
ใบหน้าของตู้โซ่วโซ่วก็เช่นกัน หน้าของเขากลายเป็สีแดงและบางจุดก็ช้ำกลายเป็สีม่วงไปแล้วแต่ถึงอย่างนั้นในใจของตู้โซ่วโซ่วก็ยังไม่ยอมแพ้ เขาจะไม่ก้มหัวให้ใครเด็ดขาด“เกาตี้ ไอ้คนชั่ว ถ้าวันนี้เ้าไม่ฆ่าข้า วันหน้าไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว ข้าจะต้องกลับมาแก้แค้นให้อันเจิงแน่นอนเ้าฆ่าเพื่อนข้า ข้าจะไม่มีวันปล่อยเ้าไป!”
“เช่นนั้นข้าจะฆ่าเ้าเสียวันนี้เลย!”
เกาตี้หันหลังกลับไปที่เก้าอี้ของตน พลิกเก้าอี้แล้วหยิบมีดเล่มเล็กๆ ขึ้นมา เขาเดินเข้ามาเอาใบมีดโฉบผ่านหน้าของตู้โซ่วโซ่ว “อย่าคิดว่าข้าไม่กล้าฆ่าคนที่นี่มันที่ไหน เทือกเขาชางหมาน จะฆ่าคนสักคนก็ไม่เห็นเป็อะไร! แต่ข้าจะไม่ฆ่าและไม่ทรมานเ้าวันนี้หรอกข้าจะทำให้พวกเ้ารู้ว่าในสำนักย่านหนานชาน ใครคือหัวหน้า!”
“ลูกพี่ อย่า!”
เด็กคนอื่นรีบเข้าไปหยุดเกาตี้ไว้“อย่าฆ่าเขานะ พี่ชายของเขาอยู่ในสำนักจงเหมิน ถ้าเป็อะไรขึ้นมาแล้วจะยุ่งแค่สั่งสอนเขานิด ๆ หน่อย ๆ ก็พอ เขากับอันเจิงไม่เหมือนกันอันเจิงมันไม่มีใครแล้ว มันไร้ค่า มันตายก็แค่ตาย ”
“อย่ามาว่าเพื่อนข้าว่าไร้ค่าไอ้พวกชั้นต่ำ พวกเ้าต่างหากที่ไร้ค่า”
ตู้โซ่วโซ่วเริ่มเหมือนคนบ้าเข้าไปทุกทีในที่สุดเขาก็สลัดหวังเมิ่งและหวังจ้วงได้ ก่อนจะพุ่งตรงเข้าไปต่อยปากของเกาตี้หมัดของเขากระแทกฟันหน้าของเกาตี้จนร่วงลงมา เกาตี้ดวงตาแดงก่ำร้องออกมาด้วยความเ็ปเขาใช้เท้าถีบเด็กที่ขวางอยู่ข้างหน้าและพุ่งตัวเอามีดที่ถือไว้ในมือแทงเข้าที่ท้องน้อยของตู้โซ่วโซ่ว“ไอ้หมูอ้วน เ้ากับไอ้อันเจิงมันก็ชั้นต่ำเหมือน ๆ กัน! วันนี้ข้าจะฆ่าพวกเ้าสองคนทิ้งซะ!”
“ฉึก!”
เมื่อมีดแทงเข้าไปเืก็สาดกระเซ็นออกมา
ตู้โซ่วโซ่วชะงักไปทันทีเกาตี้ก็นิ่งอึ้งไปเช่นกัน
มีมือเล็กลีบคู่หนึ่งโผล่ออกมาตรงหน้าท้องของตู้โซ่วโซ่วมือนั้นจับมีดเอาไว้ มีเืไหลออกมาไม่หยุด มีดเล่มนี้คมมากคมจนแทบจะตัดนิ้วเขาได้ แต่มือของเขายังคงกุมมีดเล่มนั้นไว้แน่น
ตู้โซ่วโซ่วกับเกาตี้มองลงมาที่มือคู่นั้นฉับพลันก็เห็นว่าอันเจิงที่น่าจะตายไปแล้วกลับฟื้นคืนสติและกำลังยื่นมือของตัวเองมาจับมีดอยู่ที่หน้าท้องของตู้โซ่วโซ่ว
“ผีหลอก!”
เด็ก ๆ ใกลัว ร้องกันเสียงหลงบางคนหันหลังกลับแล้ววิ่งหนี
เวลานี้เป็เวลาเข้าเรียนโดยมีหนึ่งในกลุ่มโจรต้าโค่วมาเป็คนสอนคนที่ถูกเด็ก ๆ เรียกว่า อาจารย์ลิ่วหรือโค่วลิ่วเดินก้าวเข้ามาและทันเห็นเหตุการณ์นี้พอดีเขาไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้นคิดแต่เพียงว่ามันคงเป็แค่การทะเลาะกันของเด็ก ๆ แล้วเลยเถิดถึงขั้นใช้มีดต่อสู้กัน“หยุดทะเลาะกันได้แล้ว ไอ้พวกเศษสวะ ”
เกาตี้พยายามใช้แรงดึงมีดออกมาสองสามครั้งแต่ก็ไม่เป็ผลเสียงใบมีดแหลมคมเสียดสีไปกับกระดูกช่างน่าขนลุกจนเขาเผลอจ้องมองไปที่ดวงตาของอันเจิงโดยไม่รู้ตัวและเขาก็พบว่าดวงตาที่เคยอ่อนแอกลับเต็มไปด้วยความเคียดแค้นและดุร้ายอย่างไม่เคยเป็มาก่อนดวงตาแบบนี้ เกาตี้เคยเห็นแค่เพียงครั้งเดียว มันคือดวงตาของหมานโช่วที่มาพร้อมกับกลิ่นคาวเืและความโหดร้ายทารุณ
เพียงแค่สบตาเกาตี้ก็กลัวจนปล่อยมือและผละออกจากอันเจิงทันที
โค่วลิ่วเดินเข้ามา “อันเจิงไอ้เด็กเหลือขอ เ้ายังกล้าจับมีดอยู่อีกรึ ข้าบอกให้หยุด!”
ตู้โซ่วโซ่วรู้ดีว่ากลุ่มโจรต้าโค่วโหดร้ายเพียงใดจึงรีบลากมืออันเจิงออกมาอย่างรวดเร็วพลันสายตาก็จ้องไปที่ดวงตาของอันเจิงที่กำลังจ้องมองหวังเมิ่งและหวังจ้วงอยู่และประโยคแรกที่หลุดออกมาจากปากของอันเจิงคือ “ใครฆ่าข้า?”
หวังเมิ่งและหวังจ้วงใกลัวรีบหันหลังหนี ทันใดนั้นอันเจิงลุกขึ้นมา มือของเขาคว้าคอของหวังเมิ่งไว้ได้จากนั้นมีดก็พุ่งตรงไปที่ท้องของหวังเมิ่งทันที “เ้าฆ่าข้าใช่หรือไม่?”
“ผี…ผี!”
หวังเมิ่งกลัวจนกรีดร้องเหมือนิญญาจะหลุดออกจากร่าง
โค่วลิ่วโกรธมาก “เ้าเด็กเหลือขอ นี่เ้ากล้าไม่ฟังข้าใช่หรือไม่เชื่อหรือไม่ว่าข้าสามารถฉีกเ้าออกเป็ชิ้น ๆ ได้”
“จะฉีกข้างั้นรึ?”
อันเจิงมองไปทางโค่วลิ่ว สายตาโเี้คู่นั้นทำเอาโค่วลิ่วถึงกับต้องถอยออกมาเช่นกัน
อันเจิงเผยรอยยิ้มเยาะที่มุมปากยังคงมีเืติดอยู่ที่ฟันของเขา “คิดจะฉีกข้าเป็ชิ้น ๆ เช่นนั้นก็รอข้ากลับมาเอาคืนได้เลย”
เขายกมือขึ้น หลังจากสิ้นเสียงฉึก!มีดก็ปักอยู่บนต้นขาของหวังเมิ่งแล้ว