เมื่อกลับมาถึงบ้านตระกูลเสิ่น ชุนหงก็ปรนนิบัติกู้เจิงล้างเนื้อตัวให้สะอาด นางเห็นคุณหนูนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา ทั้งยังเห็นเท้าของคุณหนูบวมเป่ง ในใจก็นึกโทษตัวเองยิ่งกว่าเดิม
“หยุดร้องไห้ได้แล้ว ข้าไม่เป็ไรแล้ว” กู้เจิงตบมือชุนหงเบาๆ
“บ่าวผิดเองเ้าค่ะ” ชุนหงน้ำตาไหล
“เ้าผิดยังไง? เ้าไม่รู้อะไรทั้งนั้น” ใครจะไปคิดว่าตอนกลางวันแสกๆ จะเกิดเื่แบบนี้ขึ้น กู้เจิงมุดตัวเข้าไปในผ้าห่มอุ่นๆ “ข้าเหนื่อยแล้ว เ้าเองก็ไปพักผ่อนเถอะ มีอะไรพรุ่งนี้ค่อยว่ากัน”
เห็นคุณหนูดูอ่อนเพลีย ชุนหงก็พยักหน้าก่อนรีบออกจากห้องไป
แม้ร่างกายจะอ่อนล้ามาก แต่กู้เจิงกลับตาสว่าง เสียงร้องอันน่าเวทนาของนายหญิงฟู่เยี่ยนซื่อยังติดอยู่ในหัวของนางไม่ไปไหน
ตอนที่เสิ่นเยี่ยนเดินเข้ามาในห้อง ก็เห็นภรรยากำลังจ้องมองม่านเตียงอย่างเหม่อลอย
เสิ่นเยี่ยนยกเปิดม่านขึ้น กู้เจิงถึงรู้สึกตัวว่าเสิ่นเยี่ยนเข้ามาแล้ว นางรีบซุกเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดอันอบอุ่นและกว้างใหญ่ของเขา เสิ่นเยี่ยนไม่ได้พูดอะไรเขาเพียงแต่กอดนางไว้เท่านั้น
“ท่านมาได้ทันเวลาจริงๆ ไม่อย่างนั้นข้าคงหนาวตายบนูเานั้นไปแล้ว”
เสียงของกู้เจิงยังดูหวาดกลัวอยู่เมื่อเทียบกับปกติ เสิ่นเยี่ยนรู้ว่าอารมณ์ของนางยังไม่กลับมาคงที่ “เป็ข้าประมาทไป ต่อไปจะไม่เกิดเื่แบบนี้ขึ้นอีก”
“ท่านพี่เ้าคะ” กู้เจิงเงยหน้ามองเขาจากในอ้อมอก “ฟู่ผิงเซียงตายแล้ว หากตอนนั้นข้ารั้งนางไว้ บางทีนางอาจจะไม่ตายเ้าค่ะ”
“ถ้าย้อนกลับไปได้อีกครั้ง เ้าจะรั้งนางไว้หรือ?”
กู้เจิงเงียบไป ก่อนเอ่ยเสียงเบาว่า “บางทีข้าอาจจะช่วยนางได้” อีกฝ่ายรังแกนางหลายครั้งเหลือเกิน มีหลายครั้งที่อันตรายถึงชีวิต ถ้าไม่ใช่เพราะนางดวงดี ป่านนี้คงถูกระรานจนตายไปนานแล้ว
นางไม่อยากช่วยฟู่ผิงเซียงนั้นเป็ความจริง แต่ความรู้สึกที่อยากจะช่วยฟู่ผิงเซียงก็เป็ของจริงด้วยเช่นกัน เริ่มแรกนางใจแข็ง แต่เมื่อหนิงซิ่วหลันไปช่วยฟู่ผิงเซียง วินาทีนั้นหัวใจของนางก็อ่อนยวบลง เพียงแต่ฟู่ผิง
เซียงตกลงไปในหลุมที่ใหญ่ขนาดนั้น และมันเกินกำลังที่นางจะช่วยได้จริงๆ
“ทุกคนล้วนมี่เวลาที่ใจอ่อน แต่นี่ไม่ใช่เหตุผลที่จะให้อภัยนาง” เสิ่นเยี่ยนกล่าวเสียงเบา
นางเข้าใจ กู้เจิงไม่อยากคิดเกี่ยวกับเื่นี้อีก นางผลอยหลับอยู่ในอ้อมอกของเสิ่นเยี่ยน
กู้เจิงหลับยาวจนถึงเที่ยงวันถัดไป
เช้าวันถัดมา พอนางลืมตาตื่นขึ้นก็ะโเรียกชุนหงเป็สิ่งแรก
“คุณหนูตื่นแล้วหรือเ้าคะ?” ชุนหงเข้ามาหาด้วยตาบวมแดง
ในใจของเด็กคนนี้ต้องโทษตัวเองมากแน่ๆ กู้เจิงมองนางด้วยรอยยิ้ม “ตาแดงเป็กระต่ายน้อยไปแล้ว”
“คุณหนูอย่าล้อสิเ้าคะ” ชุนหงไปเอาเสื้อผ้ามาช่วยสวมให้กู้เจิง
“เ้าเลิกโทษตัวเองได้แล้ว ข้าก็ไม่ได้เป็อะไรมิใช่หรือ? กลับกันยังนับว่าโชคดีที่ตอนนั้นเ้าไม่ได้ออกมา ถ้าเ้าออกมาไม่แน่ว่าพวกนั้นก็อาจจะจับเ้าไปด้วย” กู้เจิงสวมชุดที่ชุนหงยื่นให้อย่างทุลักทุเล เท้าของนางยังบวมและเจ็บอยู่
“คุณหนู เท้าเป็อะไรหรือเ้าคะ?” ชุนหงรีบมาดู เท้าของกู้เจิงบวมกว่าเมื่อคืน ทั้งน่องขาแดงไปหมด
ในตอนนั้นเอง เสียงของนายหญิงเสิ่นก็ดังขึ้นจากด้านนอก “แม่เฒ่าฉิน ทำไมท่านถึงมาได้ ท่านนี้คือ?”
เสียงของแม่เฒ่าฉินเอ่ยตอบ “นี่คือท่านหมอหญิงแห่งจวนกู้ของพวกเรา นายหญิงให้บ่าวพาท่านหมอมารักษาคุณหนูใหญ่เ้าค่ะ”
ชุนหงที่อยู่ในห้องได้ยินดังนั้นก็ดีใจ ท่านหมอมาได้เวลาเหมาะเจาะเสียจริง นางรีบออกจากห้องไปต้อนรับ
ในความทรงจำของกู้เจิง ั้แ่นางมาอยู่ในร่างนี้ก็เห็นหมอหญิงคนนี้ประจำอยู่ในตระกูลนานแล้ว
“เท้าของคุณหนูใหญ่มีาแมากกว่าคุณหนูสี่เสียอีก” ท่านหมอหญิงอธิบายอาการให้ชุนหงฟัง และหยิบยาขี้ผึ้งให้กับชุนหง นางได้กำชับว่า “ทาให้คุณหนูใหญ่วันละสามครั้ง อย่าได้ขาด"
ชุนหงพยักหน้ารับรู้
“ท่านหมอ ร้ายแรงมากไหม?” นายหญิงเสิ่นถามด้วยความกังวล
“เป็โชคดีของคุณหนูใหญ่ การรักษาเท้าของคุณหนูใหญ่ใช้เวลาสักสิบกว่าวันก็ไม่เป็ไรแล้วเ้าค่ะ” ท่านหมอตอบคำถามนายหญิงเสิ่น ก่อนจะตรวจชีพจรให้กู้เจิงอีกครั้ง
“เช่นนั้นข้าสามารถลุกเดินจากเตียงได้ไหม?” กู้เจิงถามขึ้น
“นอนพักบนเตียงจะดีกว่าเ้าค่ะ” ท่านหมอชราตอบคำถาม พลางจ่ายยาสำหรับกินให้กู้เจิง
แม่เฒ่าฉินที่ยืนดูการรักษาอยู่ที่มุมห้อง จู่ๆ นางก็คุกเข่าลงและโขกหัวให้กู้เจิง
“แม่เฒ่าฉิน ท่านทำอะไรน่ะ?” กู้เจิงใ นางกำลังจะก้าวลงจากเตียงเพื่อไปพยุงแม่เฒ่าฉินขึ้นมา
แม่เฒ่าฉินเห็นดังนั้นก็รีบลุกขึ้นมาจับกู้เจิงไว้ “คุณหนูใหญ่อย่าขยับเ้าค่ะ นายหญิงได้กำชับไว้ การคำนับนี้คุณหนูใหญ่ต้องรับไว้ นายหญิงบอกว่า หากมิใช่เพราะคุณหนูใหญ่ ป่านนี้นางกับคุณหนูสี่คงโดนกั้นมนุษย์์ออกจากกัน* ”
(*หมายถึง คนใกล้ชิดตายไป คนหนึ่งอยู่บน์ คนหนึ่งอยู่ในโลกมนุษย์ แยกจากกันตลอดกาล)
กู้เจิงพยักหน้า “ข้าก็เช่นกัน โชคดีที่พวกเรายังมีชีวิตอยู่”
“คุณหนูสี่ต้องขอบคุณคุณหนูใหญ่จริงๆ บ่าวเองก็ขอบคุณคุณหนูใหญ่ที่ไม่ได้ทอดทิ้งคุณหนูสี่เ้าค่ะ”
“เหยาเอ๋อร์เป็น้องสาวของข้า ข้าจะทิ้งนางได้ยังไง?” ต่อให้เป็คนที่ไม่รู้จักกัน แต่ต้องมาอยู่ร่วมสถานการณ์เดียวกันอย่างในเมื่อคืนวาน นางก็จะไม่มีวันทอดทิ้ง หากสามารถช่วยได้นางก็จะช่วย
“คุณหนูใหญ่ช่างดีจริงๆ เ้าค่ะ” แม่เฒ่าฉินกล่าวด้วยความจริงใจ
กู้เจิงรู้ว่าแม่เฒ่าฉินชื่นชมนางอย่างใจจริง นางรู้สึกว่าความสัมพันธ์ระหว่างนางกับทุกคนในตระกูลกู้ตอนนี้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้นแล้วจริงๆ
“ฝากแม่เฒ่าฉินขอบคุณในความห่วงใยของท่านแม่แทนข้าด้วย รอเท้าข้าหายดีเมื่อไหร่ ข้าจะไปคารวะท่านแม่ด้วยตัวเอง”
แม่เฒ่าฉินรีบรับคำ
เกิดเื่กับกู้เจิงขึ้น สองสามีภรรยาเสิ่นไหนเลยจะมีอารมณ์จะไปกินเหล้ามงคลได้อีก หลังจากส่งแม่เฒ่าฉินกับหมอหญิงกลับไปแล้ว ทั้งสองคนก็ในอยู่บ้านคอยทำงานจิปาถะและคอยมาดูแลกู้เจิง
ตอนบ่าย ปาเม่ยกับจางหลี่หนานได้มาเยี่ยมกู้เจิง จางหลี่หนานยังนำสมุดบัญชีที่จดรายได้จากการค้ามาด้วย กู้เจิงที่กำลังรู้สึกเบื่อพอดี จึงใช้โอกาสนี้ตรวจดูบัญชีเป็การฆ่าเวลา
ปาเม่ยหอบของกินของใช้ที่กู้อิ๋งฝากมามอบให้กู้เจิงมาอย่างพะรุงพะรัง ของที่นางนำมานั้นมีโสมร้อยปีอยู่ด้วย สำหรับคนธรรมดาทั่วไปแล้ว โสมนี้ถือเป็ของบำรุงกำลังชั้นเลิศทีเดียว
“พระชายาออกไปหาคุณหนูสี่ั้แ่เช้าตรู่ หลังจากเยี่ยมคุณหนูสี่เสร็จแล้วเดิมทีนางก็คิดจะมาเยี่ยมพี่สะใภ้ แต่ไม่คิดว่าพระสนมซูจะเรียกนางเข้าวังกะทันหันเ้าค่ะ” ปาเม่ยเล่าให้กู้เจิงฟัง
กู้เจิงกินพุทราน้ำผึ้งที่ปาเม่ยเอามาให้ นางกินไปพลางและเอ่ยว่า “ฟู่ผิงเซียงเป็บุตรสาวภรรยาเอกของจวนป๋อเจวี๋ย การตายของนางในวังจะต้องสงสัยอย่างแน่นอน”
“พระชายาก็พูดเช่นนี้เ้าค่ะ นางให้ข้ามาบอกพี่สะใภ้ ให้พี่สะใภ้เตรียมใจไว้ก่อนเ้าค่ะ” ปาเม่ยกล่าวด้วยสีหน้าระแวดระวัง “ไม่แน่ว่าอีกไม่กี่วันอาจจะมีคนมาเรียกให้พี่สะใภ้เข้าวังไปเพื่อสอบถามก็ได้เ้าค่ะ”
มื้อเย็นวันนี้ นายหญิงเสิ่นทำก๋วยเตี๋ยวไก่ให้กู้เจิง นางใส่ฟองเต้าหู้กับผักกวางตุ้งที่เป็ของโปรดของกู้เจิงลงไปด้วย
กู้เจิงกินก๋วยเตี๋ยวไก่อย่างเอร็ดอร่อย แต่นางเหลือบเห็นใบหน้าเป็กังวลของแม่สามี
“ท่านแม่ ท่านกำลังคิดเื่ของข้าอยู่หรือเ้าคะ?” กู้เจิงถามขึ้น
“อาเยี่ยนไร้ความสามารถจะปกป้องเ้าได้” นายหญิงเสิ่นตอบอย่างรู้สึกผิด
“เื่นี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเขาเลยเ้าค่ะ”
“ทำไมถึงคิดไม่ถึงกันนะ? นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฟู่ผิงเซียงทำผิด” น้ำเสียงของนายหญิงเสิ่นเต็มไปด้วยความโมโห
“ท่านพี่บอกว่าต่อไปจะไม่เกิดเื่แบบนี้ขึ้นอีกเ้าค่ะ” กู้เจิงเอ่ยคำพูดที่เสิ่นเยี่ยนเคยบอกแก่นาง
นายหญิงเสิ่นพยักหน้ารับรู้ ก่อนเดินออกจากห้องไป
เมื่อเสิ่นเยี่ยนกลับมาถึงบ้าน ก็เห็นชุนหงกำลังทายาขี้ผึ้งที่ขาให้กู้เจิง เขามองดูน่องที่เคยขาวนวลเรียวยาวของภรรยาที่ตอนนี้ทั้งแดงและบวมอย่างรู้สึกผิด
“ท่านพี่” กู้เจิงส่งยิ้มอบอุ่นให้เสิ่นเยี่ยน
“เจ็บไหม?” เสิ่นเยี่ยนถาม
“เจ็บเ้าค่ะ” กู้เจิงออดอ้อนอย่างน่าสงสาร
“ไหนเมื่อครู่คุณหนูบอกว่าไม่เจ็บไงเ้าคะ” ชุนหงเข้าใจว่ากู้เจิงแกล้งบอกว่าไม่เจ็บ เพื่อไม่ให้นางเสียใจ พอนางได้ยินกู้เจิงบอกเสิ่นเยี่ยนว่าเจ็บ น้ำตาของนางก็พานไหลออกมา
กู้เจิง “...” ชุนหงเอ๋ย นางแค่กำลังออดอ้อนต่อหน้าสามี แต่ไม่คิดว่าชุนหงจะซื่อขนาดนี้ ชุนหงร้องไห้เช่นนี้ช่างทำให้นางรู้สึกกระอักกระอ่วนใจยิ่งนัก
เสิ่นเยี่ยนรับยาขี้ผึ้งต่อมาจากชุนหง “ข้าทำเอง”
ชุนหงเช็ดน้ำตา “คุณหนู ถ้าท่านเจ็บ ก็ร้องออกมาเถอะเ้าค่ะ อย่าทนอีกเลย”
“ไม่เจ็บไม่เจ็บ นี่ก็ดึกมากแล้ว เ้าไปพักผ่อนเถอะ ที่นี่มีสามีข้าอยู่ ข้าไม่เป็ไรแล้ว” กู้เจิงเอ่ยกับชุนหง
อย่างอ่อนโยน
ชุนหงรับคำก่อนเดินออกไปจากห้อง
“ถ้ายังเจ็บอยู่คงต้องหาหมอ” เสิ่นเยี่ยนม้วนขากางเกงของภรรยาขึ้นเพื่อทายา
“หวังว่าตอนตรุษจีน ข้าจะหายทันนะเ้าคะ” กู้เจิงพูดยิ้มๆ
รอยยิ้มของกู้เจิงกลับมาแล้ว เสิ่นเยี่ยนเห็นเช่นนั้นก็คลายใจ
“น้องสามได้ฝากให้ปาเม่ยมาบอกเ้าค่ะ ว่าในวังอาจจะเรียกข้าเข้าไปสอบถาม ท่านว่าจะเป็แบบนั้นไหมเ้าคะ?”
“เ้าไม่ต้องกังวล มีข้าอยู่ทั้งคน”
กู้เจิงพยักหน้ารับ
สองวันถัดมา สายฝนได้โปรยปรายลงมาตลอดวัน นายหญิงเว่ยซื่อได้ให้แม่เฒ่าฉินส่งสมุนไพรมาให้กู้เจิงอีกไม่น้อย และนางยังให้ผ้าไหมอีกจำนวนหนึ่งแก่สองสามีภรรยาเสิ่น เพื่อเป็การขอบคุณที่พวกเขาคอยดูแลกู้เจิงด้วย
ผ่านมาพริบตาเดียวก็มาถึง่ตรุษจีนแล้ว