“เยว่เฟิงเกอ ข้าไม่ยอม”
เมื่อเขานึกไปถึงว่า หากแพ้ก็จะต้องคุกเข่ากราบเยว่เฟิงเกอเป็อาจารย์ แล้วยังต้องะโเสียงดังต่อหน้าทุกคนสามครั้งว่า ‘เยว่เฟิงเกอเป็พี่ใหญ่แห่งโลกพนัน’ อีก ซูมู่เจ๋อก็ไม่อาจปล่อยให้ตัวเองพ่ายแพ้ต่อไปได้
เยว่เฟิงเกอมือข้างหนึ่งเท้าคาง อีกข้างหนึ่งเคาะเบาๆ ไปที่โต๊ะ จากนั้นจึงกล่าวขึ้นอย่างเกียจคร้านว่า “หากว่าเถ้าแก่ซูไม่ยอม เช่นนั้นก็เล่นต่อเถอะ”
ซูมู่เจ๋อโกรธมาก เขาโยนไพ่เซียนในมืออีกใบออกมา ครั้งนี้เยว่เฟิงเกอเองก็เปลี่ยนไพ่หมื่นในมือของตนเป็ไพ่เซียนอีกครั้ง
ซูมู่เจ๋ออยากพูดอีกครั้งว่าเยว่เฟิงเกอโกง แต่คำพูดที่ขึ้นมาถึงปากกลับต้องกลืนกลับลงไป
เขารู้ เยว่เฟิงเกอพูดเก่งกว่าเขา ส่วนเ้าพวกที่มาเล่นพนันพวกนี้ก็เป็พวกหญ้าบนกำแพง ลมพัดไปทิศทางใดก็เฮละโลไปทางฝ่ายนั้น
คำพูดของใครถูกใจพวกเขามากกว่า พวกเขาก็ถือว่าคนคนนั้นถูกต้อง
หากเขาพูดออกมาอีกครั้งว่าเยว่เฟิงเกอโกง เช่นนั้นตัวเขาก็จะกลายเป็คนแพ้ไม่เป็ดังที่เ้าพวกนี้ว่าจริงๆ
ครั้งนี้ซูมู่เจ๋อไม่ได้โยนไพ่เซียนอีกใบออกมา แต่หยิบไพ่อีกเก้าใบที่เหลือมากรีดดู
เขามองไพ่ในมือไปทีหนึ่ง ซึ่งประกอบด้วยไพ่เซียนสองใบ ไพ่หมื่นสามใบ ที่เหลือเป็ไพ่ร้อยทั้งหมด
เยว่เฟิงเกอเองก็หยิบไพ่อีกเก้าใบที่เหลือขึ้นมากรีดดูเช่นกัน มองเพียงปราดเดียว นางก็จดจำไพ่เหล่านี้ได้เกือบทั้งหมด
นางวางไพ่กลับไปที่โต๊ะดังเดิม รอให้ซูมู่เจ๋อเปิดไพ่
ซูมู่เจ๋อคิด เขาจะเปิดไพ่เซียนสองใบนั้นในตอนนี้ไม่ได้เด็ดขาด แต่สามารถใช้ไพ่ที่มีแต้มน้อยออกมาหลอกล่อก่อนได้ รอจนเยว่เฟิงเกอเปิดไพ่แต้มสูงๆ ในมือจนหมดแล้วค่อยใช้ไพ่เซียนสองใบนั้นมาเผด็จศึก
ซูมู่เจ๋อหยิบไพ่ห้าร้อยออกมาต่อหน้าต่อตาลูกน้องเขา เมื่อเขาโยนไพ่ใบนั้นลงบนโต๊ะ แต้มของไพ่กลับเปลี่ยนเป็สองพัน
สำหรับลูกน้องของซูมู่เจ๋อ แน่นอนว่าเื่ที่เถ้าแก่ของพวกตนโกง พวกเขาย่อมยอมปิดตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่ง
เมื่อเยว่เฟิงเกอเห็นไพ่สองพัน นางก็หยิบไพ่ใบหนึ่งของตนโยนออกไปอย่างไม่ใส่ใจอะไรมาก
ไพ่ใบนี้แต้มต่ำมาก แค่ห้าร้อยเท่านั้น
ใบหน้าของซูมู่เจ๋อปรากฏรอยยิ้มอวดดีขึ้นมาทันที เขายังคงใช้วิธีเดิม หยิบไพ่แต้มต่ำออกมา แต่พอโยนลงไปบนโต๊ะกลับกลายเป็แต้มหลักพัน
เยว่เฟิงเกอหยิบไพ่ออกมาอย่างสบายๆ นางไม่สนหรอกว่าไพ่ตรงหน้านั้นสูงหรือต่ำ นางไม่แม้แต่จะมองก็โยนไพ่ลงไปบนโต๊ะทันที
ไพ่ของนางยังคงมีแต้มต่ำกว่าไพ่ของซูมู่เจ๋อ
ซูมู่เจ๋อยิ้มไปยิ้มมา จู่ๆ รอยยิ้มบนใบหน้าก็ค่อยๆ จางหายไป เขาเริ่มสงสัยแล้วว่า เหตุใดวิธีเล่นของเยว่เฟิงเกอผู้นี้ถึงได้เปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม
หรือว่านี่จะเป็แผนการของนาง?
เมื่อเห็นว่าไพ่เล็กๆ ของเขาถูกเปิดจนจะหมดแล้ว แต่เยว่เฟิงเกอก็ยังไม่ส่งไพ่ใหญ่ๆ ลงมาเผด็จศึกเขาเสียที ใจของซูมู่เจ๋อตอนนี้จึงยิ่งไม่สงบ
หนึ่งสำรับมีไพ่สามสิบใบ ต่อให้ไพ่ในมือเยว่เฟิงเกอจะเลวร้ายแค่ไหน ก็คงไม่ถึงกับไม่มีใบไหนที่ไม่สูงกว่าเขาเลยหรอกนะ
อีกอย่างคนทั้งสองก็เปิดไพ่กันไปคนละหลายใบแล้ว ซูมู่เจ๋อเองก็คำนวณอยู่
ถึงแม้เขาจะเปลี่ยนไพ่แต้มน้อยให้กลายเป็ไพ่ที่มีแต้มหลักพัน แต่ที่เยว่เฟิงเกอก็น่าจะมีไพ่หลักหมื่นอยู่สิ เหตุใดผ่านมานานเพียงนี้แล้วยังไม่เห็นไพ่หมื่นสักใบ?
ในใจคิดเช่นนี้ ซูมู่เจ๋อก็หยิบไพ่ออกมาอีกใบ ซึ่งไพ่ใบนี้เป็ไพ่แต้มน้อยใบสุดท้ายที่มีอยู่ในมือเขาแล้ว
ตอนที่เขาโยนไพ่ใบนั้นลงไปบนโต๊ะ เยว่เฟิงเกอเองก็โยนไพ่อีกใบลงไปเช่นกัน
เมื่อซูมู่เจ๋อเห็นไพ่ที่เยว่เฟิงเกอโยนออกมานั้นก็เกือบจะถูกทำให้โกรธจนเป็บ้าไป
ไพ่ใบนั้นมีรูปลูกเต่า [1] ตัวหนึ่งถูกวาดไว้ เพียงแต่ถูกวาดไว้ั้แ่เมื่อไร ไม่มีใครรู้
ซูมู่เจ๋อถลึงตามองเยว่เฟิงเกออย่างเ็า “เ้าหมายความว่าอย่างไร นี่เ้ากำลังด่าข้าหรือ? ”
เยว่เฟิงเกอมองไพ่ใบนั้นด้วยความแปลกใจ ก่อนจะเงยหน้ามองซูมู่เจ๋อด้วยสีหน้าราวกับผู้บริสุทธิ์ “ทำไมเล่า ไพ่ใบนี้ผิดปกติอย่างไรหรือ? ”
ซูมู่เจ๋อขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพูดว่า “เยว่เฟิงเกอ เ้าไม่รู้หรือว่าการวาดรูปมั่วซั่วลงไปบนไพ่เป็สิ่งต้องห้ามบนโต๊ะพนัน? ”
เมื่อครู่นี้ซูมู่เจ๋อเองก็เพิ่งเปิดไพ่ใบที่แปด [2] ไป
นาง ถึงกับกล้าวาดรูปลูกเต่าน้อยตัวหนึ่งไว้บนไพ่ นี่นางกำลังด่าเขาว่าเป็คนสารเลวหรือ?
เยว่เฟิงเกอสาดสายตามองไพ่ใบนั้นอีกครั้ง “ข้าไม่ได้วาดอะไรลงไปนะ ท่านเองก็เห็น ในมือข้าไม่มีพู่กันเสียหน่อย ข้าจะวาดอะไรได้อย่างไร? ”
เยว่เฟิงเกอพูดความจริง นางเองก็ไม่รู้ว่าเต่าน้อยนั่นไปปรากฏอยู่บนไพ่ได้อย่างไร นางแค่หยิบไพ่ออกมาอย่างลวกๆ แล้วโยนลงไปบนโต๊ะ
กระนั้นก่อนหน้านี้นางก็เห็นอยู่แล้วว่าบนกระดาษถูกวาดเป็รูปลูกเต่า เดิมนางยังนึกไปว่าไพ่ในสำรับนี้จะมีไพ่พิเศษที่ถูกวาดรูปไว้เพื่อเป็สัญลักษณ์บางอย่าง
“เยว่เฟิงเกอ...” ซูมู่เจ๋อโกรธจนแทบบ้าแล้ว “ทำอะไรไปก็ต้องกล้ายอมรับ ไม่เช่นนั้นข้าไม่มีทางยอมให้คนเช่นเ้าแน่”
หากไม่ใช่เพราะเยว่เฟิงเกอเป็สตรี ส่วนตัวเขาก็ไม่ใช่คนที่ชอบลงไม้ลงมือกับสตรี เกรงว่าเขาคงได้ตบนางจนหน้าหันไปนานแล้ว
ครั้งนี้เยว่เฟิงเกอรู้สึกว่าตนถูกใส่ร้ายยิ่งแล้ว นางหรี่ตามองซูมู่เจ๋ออย่างเ็า “ก่อนจะว่าใคร ช่วยใช้สมองคิดบ้าง”
“ทั้งสองมือของข้าล้วนวางอยู่บนโต๊ะ ในมือไม่มีพู่กัน แล้วจะไปวาดภาพลูกเต่าบนไพ่ได้อย่างไร? ”
“อีกอย่าง แม้เ้าจะอยากรีบยอมรับว่าตนเป็ลูกเต่าสารเลวถึงเพียงนั้น ข้าก็หาช่วยอะไรเ้าได้ไม่”
สมองนี่เป็ของดี น่าเสียดายเขาไม่ยอมใช้มัน
ซูมู่เจ๋อถูกเยว่เฟิงเกอว่ากล่าวอย่างเ็า เขาก็โกรธจนแทบะเิแล้ว
เยว่เฟิงเกอมองซูมู่เจ๋อที่โกรธจนตัวจะะเิอยู่แล้ว กล่าวต่อไปอย่างเ็า “เถ้าแก่ซูรีบวางไพ่เถอะ อย่าถ่วงเวลาอีกเลย ข้ายังรอให้ท่านคุกเข่ากราบข้าเป็อาจารย์แล้วะโเสียงดังว่า เยว่เฟิงเกอคือพี่ใหญ่แห่งโลกพนันอยู่นะ”
คำพูดของเยว่เฟิงเกอ ทำเอาซูมู่เจ๋อโกรธจนลมแทบจับ
เขารู้สึกราวกับเืทั้งร่างไหลไปกองรวมกันที่ศีรษะ หากปล่อยให้เป็เช่นนี้ต่อไป สมองเขาคงได้ะเิตายแน่
ซูมู่เจ๋อกดความโกรธในใจเอาไว้แล้วโยนไพ่เซียนในมือของตนออกไป
ตอนนี้คงมีแค่ต้องทำให้เยว่เฟิงเกอไม่มีโอกาสเอาชนะไพ่ในมือเขาได้อีก ในตานี้เขาจะต้องเป็ผู้ชนะ
แต่ตอนที่เขาโยนไพ่เซียนออกไป เยว่เฟิงเกอก็โยนไพ่อีกใบออกมาเช่นกัน ซึ่งไพ่ใบนี้ก็มีรูปลูกเต่าน้อยที่ถูกวาดไว้อยู่อีกเช่นกัน เพียงแต่ครั้งนี้เป็ไพ่ที่มีแต้มห้าร้อย
ตอนที่ทุกคนกำลังจดจ้องกันตาไม่กะพริบ ไพ่ทั้งสองใบก็ถูกเยว่เฟิงเกอสลับตำแหน่งอย่างว่องไวโดยไม่มีใครทันสังเกตเห็น
สุดท้ายไพ่เซียนในมือซูมู่เจ๋อก็กลายเป็ไพ่ห้าร้อย ส่วนเยว่เฟิงเกอกลับมีไพ่เซียนเพิ่มขึ้นมาในมืออีกใบหนึ่ง
เช่นเดียวกับไพ่เมื่อครู่ที่เพิ่งโยนออกไปได้ถูกสับเปลี่ยนเป็ไพ่แต้มหนึ่งพันในชั่วพริบตา ซึ่งแต้มของนางเรียกได้ว่ามากกว่าไพ่ของซูมู่เจ๋อพอดี
ตอนที่ซูมู่เจ๋อกำลังจะบอกว่าเยว่เฟิงเกอโกงก็เห็นนางหงายหน้าไพ่ทั้งหมดลงบนโต๊ะแล้ว
ไพ่เ่าั้มีไพ่เซียนอยู่สามใบ ไพ่ห้าหมื่นสองใบ และไพ่สองพันหนึ่งใบ
และเมื่อซูมู่เจ๋อก้มมองไพ่ในมือตนก็พบว่าไพ่ทั้งหมดนั้นถูกเปลี่ยนเป็ไพ่แต้มพันเรียบร้อยแล้ว
ซูมู่เจ๋อโยนไพ่ในมือลงบนโต๊ะด้วยความโมโห
นางโกงอย่างเปิดเผยยิ่ง
ส่วนผีพนันพวกนี้ก็ราวกับตาบอดก็ไม่ปาน ไม่มีใครดูออกเลยว่าไพ่ถูกสับเปลี่ยน
พวกเขายังพากันส่งเสียงโห่ร้องด้วยความตื่นตะลึงที่ไพ่ในมือของเยว่เฟิงเกอนั้นดีเหลือเกิน ไพ่ที่เหลืออยู่ทุกใบสามารถเอาชนะไพ่ของซูมู่เจ๋อได้หมด
“เถ้าแก่ซู รอบนี้ท่านแพ้อีกแล้ว” เยว่เฟิงเกอยิ้มน้อยๆ มองซูมู่เจ๋อ
นางอยู่ที่นี่มาสักพักแล้ว ยังไม่ได้ดื่มชาสักจอกก็เริ่มรู้สึกคอแห้ง ทว่า นางที่เพิ่งจะอ้าปากขอชา จินว่านหลี่ก็รีบไปยกมาให้นางแล้ว
เยว่เฟิงเกอหันศีรษะไปยิ้มให้จินว่านหลี่
เ้านี่นับว่ารู้ความไม่เลว
เยว่เฟิงเกอยกชาขึ้นจิบ
เมื่อน้ำชาไหลลงผ่านลำคอ สติของนางก็รู้สึกสดชื่นแจ่มชัดอีกครั้ง
ซูมู่เจ๋อยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้เช่นเดิม เขาไร้เรี่ยวแรงเกินกว่าจะว่ากล่าวเยว่เฟิงเกออีก
ขนาดไพ่กระดาษที่เล่นยากเพียงนี้ นางก็ยังสามารถใช้กลชั้นเทพเซียนเช่นนี้ได้ ตอนนี้เขาจึงไม่รู้แล้วจริงๆ ว่าควรจะพูดอะไร
แต่หากจะให้ยอมแพ้ไปเสียง่ายๆ เขาเองก็ยังรู้สึกไม่ยินยอมพร้อมใจอยู่บ้าง
เขาต่างหากที่เป็พี่ใหญ่แห่งโลกพนันที่อายุน้อยที่สุด เขาจะยอมยกสมญานามนี้ให้ผู้อื่นได้ง่ายๆ ได้อย่างไร
อีกอย่างอีกฝ่ายยังเป็สตรีอีกด้วย
ไม่ยินยอม เขารู้สึกไม่ยินยอมพร้อมใจจริงๆ
————————————————————————————————
เชิงอรรถ
[1] ลูกเต่า(小王八)อ่านว่า เสี่ยวหวางปา เดิมเป็คำเรียกเต่าและตะพาบน้ำ ต่อมาใช้เป็คำด่าที่มีความหมายว่าคนสารเลว
[2] แปด(八)คำว่าแปดในภาษาจีนพ้องรูปพ้องเสียงกับคำว่า หวางปา ที่แปลว่าเต่าหรือตะพาบน้ำ หรือคำที่ใช้ด่าคนว่าสารเลว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้