ไม่ว่ามันผู้นั้นจะเป็ใคร แต่มือที่มองไม่เห็นอยู่ในเงามืดนั้นกำลังรอโอกาสในการลงมือมาโดยตลอดอย่างแน่นอน ผู้ใดจะไปรับมือทันได้กัน
สวี่ตี้จ้างคนมาทำกล่องไม้อีกสองใบ หลังจากใส่ดินลงไปแล้ว ก็ฝังเมล็ดฟักทองลงไป
ปลูกลงไปตอนนี้ ผ่านไปหลายเดือนก็สามารถเก็บได้แล้ว จากนั้นก็รอดูว่าถึงฤดูใบไม้ร่วงจะสามารถปลูกได้อีกหรือไม่
สวี่ตี้ยังคงทำงานเป็เกษตรกรของตนเองต่อไป พืชในเรือนเพาะชำต่างเติบโตเต็มที่แล้ว สวี่ตี้ก็แค่รอเก็บเมล็ดมา รอให้เวลาผ่านไปอีกสักพักก็จะเอาไปปลูกในไร่
จางจ้าวฉือที่มักจะฝึกสอนแพทย์ทหารของจวนแม่ทัพ เมื่อสอนบทเรียนไปได้มากพอสมควรแล้ว หลายวันนี้จึงหยุดพักผ่อนอยู่ที่เรือน นางมองแม่นมลู่สอนสวี่จือก็รู้สึกว่ามันออกจะเคร่งครัดเกินไปเสียหน่อย จึงถือเอาวันที่อากาศดีๆ เช่นนี้ปรึกษากับแม่นมลู่ว่าจะพาสวี่จือและแม่นมลู่ไปดูที่ไร่สวน
แม่นมลู่เองก็รู้ว่าตอนนี้เป็ฤดูใบไม้ผลิในเดือนสามแล้ว การออกไปเดินบนพื้นหญ้า มองทิวทัศน์ด้านนอกเป็เื่รื่นเริงบันเทิงใจจึงตอบตกลง
ใกล้จะออกเดินทางแล้วก็ต้องเตรียมของให้พร้อม สวี่ตี้มองแม่นมลู่เตรียมของพวกนี้ให้กับสวี่จือก็รู้สึกหมดคำจะพูด “แม่นมลู่ขอรับ พวกเราไปที่ไร่สวนกันมิได้ไปที่ที่เล่นสนุกนะขอรับ เหตุใดท่านถึงได้เก็บของไปมากมายถึงเพียงนี้ ท่านดูสิ แม้แต่กะละมังล้างหน้าก็เอาไปด้วย แล้วก็เ้านี่ มันคืออะไรน่ะ? ไอ๊หยา นี่คือเสื้อผ้า? แม่นมลู่ขอรับ พวกเราไปไร่อย่างมากก็แค่ไปทานข้าวกลางวันกันที่นั่น ตอนบ่ายก็กลับแล้วขอรับ”
แม่นมลู่เอ่ยขัด “คุณชายจะไปรู้เื่อะไร ต่อไปคุณหนูเก้าของเราจะออกนอกเรือนก็จะต้องเตรียมตัวตามนี้นะ คุณหนูสกุลใหญ่จะออกเดินทางไกลทั้งที เอาของพวกนี้ไปเพื่ออะไรน่ะหรือ? ก็เพื่อเอาไปใช้ในชีวิตประจำวันอย่างไรล่ะ”
สวี่จือรู้แน่นอนอยู่แล้วว่าตอนที่คุณหนูออกจากเรือนจะต้องพกของสิ่งใดไปบ้าง สาวใช้ข้างกายต้องถือห่อผ้าใส่เสื้อผ้า เพราะกลัวว่าหากมีสถานการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นจะได้มีเอาไว้ผลัดเปลี่ยน
จางจ้าวฉือมองห่อผ้าหลายใบที่วางอยู่บนโต๊ะในห้องโถงแล้วถอนหายใจออกมาก่อนจะกล่าวกับแม่นมลู่ “แม่นมลู่เ้าคะ ข้าแค่พาท่านกับจือเอ๋อร์ ชิงเหมี่ยวและชิงซุยไปด้วยเท่านั้น ของมากมายขนาดนั้น พวกเรามีไม่กี่คนเอาไปไม่ไหวหรอกเ้าค่ะ เช่นนั้นครั้งนี้ก็ช่างมันไปก่อนเถิด”
แม่นมลู่ฟังแล้วก็เอ่ย “เื่นี้ข้าคิดมานานแล้ว รู้สึกว่าควรที่จะปรึกษากับฮูหยินสามเสียหน่อย พวกเราควรจะมีสาวใช้ข้างกายให้กับคุณหนูเก้า ถึงแม้พวกเราจะอยู่ห่างไกลเมืองหลวง การพาคนมามากเกินไปมันจะลำบาก แต่ว่าในเมื่อมาอาศัยอยู่ที่นี่แล้ว หลายเื่ก็ควรจะจัดการให้เรียบร้อย สาวใช้ของคุณหนูเก้า และเพื่อนเรียนหนังสือของคุณชายใหญ่ คนเหล่านี้ก็ควรที่จะเริ่มฝึกด้วยกันมาั้แ่เด็กนะ”
หลังจากจางจ้าวฉือมาถึงก็ถูกเชิญให้ไปเป็อาจารย์สอนวิชาแพทย์ที่จวนแม่ทัพ สำหรับเื่ราวในเรือนจึงมอบหมายให้กับแม่นมลู่อย่างวางใจ ตอนนี้นางได้ยินแม่นมลู่บอกว่าอยากจะเพิ่มสาวใช้และเพื่อนเรียนหนังสือของลูกๆ นางกลับรู้สึกไม่ค่อยคุ้นชินเท่าไหร่
จางจ้าวฉือเอ่ย “แม่นมลู่เ้าคะ หากพูดกันตามจริงแล้วเื่พวกนี้ข้าไม่ค่อยเข้าใจจริงๆ เ้าค่ะ ท่านเองก็รู้ั้แ่เด็กข้าไม่เคยได้รับการอบรมสั่งสอนเช่นนี้มาก่อน ไม่เช่นนั้น เื่นี้รบกวนท่านจัดการให้ได้หรือไม่เ้าคะ?”
แม่นมลู่เองก็รู้อยู่แล้วว่าจางจ้าวฉือจะตอบกลับเช่นนี้ นางจึงตอบรับไปว่า “เช่นนั้นก็ได้ พอดีตอนนี้เป็่ที่ชาวบ้านไม่ค่อยมีงานทำกัน รอข้าถามพวกแม่ค้าเสียก่อน ดูว่ามีคนที่เหมาะสมหรือไม่ หากมีพวกเราก็ซื้อตัวมา จากนั้นก็สั่งสอนดีๆ คนใช้ก็ถือเป็หน้าเป็ตาของผู้เป็นายเช่นกัน กฎหลายข้อก็ต้องเริ่มสอนั้แ่ตอนยังเป็เด็ก”
จางจ้าวฉือตอบรับคำของแม่นมลู่อย่างเต็มใจ เื่นั้นจบไปแล้วแต่ของบนโต๊ะพวกนี้ วันนี้ไม่มีความจำเป็ที่จะต้องเอาไปด้วย จางจ้าวฉือจึงเลือกชุดสำหรับเอาไว้ให้สวี่จือเปลี่ยนมาสองชุด และเอาผ้าที่ปกติแล้วสวี่จือใช้ซับปากยามดื่มน้ำติดมือไปด้วยหนึ่งผืน ก่อนจะให้คนขับรถม้าพาทุกคนออกเดินทางไปยังบ้านสวน
บ้านสวนอยู่ห่างจากเขตเมืองเหอซีสิบกว่าลี้ หลังจากออกจากประตูเมืองมาแล้วก็เจอถนนที่เป็ถนนดินลูกรัง รถม้าส่ายไปมาทำเอาในใจของจางจ้าวฉือรู้สึกหงุดหงิดเป็อย่างยิ่ง
สวี่ตี้ขี่ม้าอยู่ด้านนอกรถม้า ซึ่งความสามารถในการขี่ม้าของสวี่ตี้นั้นได้มาหลังจากมาอยู่ที่เหอซี ตอนอยู่ที่จวนโหวกับครอบครัวใหญ่ ครอบครัวสามของสวี่เหราเป็คนไม่มีตัวตนภายในจวน โรงม้าในจวนครอบครัวใหญ่มีม้าแค่ไม่กี่ตัว ในการเรียนขี่ม้าจะอย่างไรก็ไม่มีทางเหลือมาถึงมือสวี่ตี้
สวี่ตี้เห็นรถม้าส่ายไปมาแรงมากจึงเอ่ยปากพูด “ท่านแม่ขอรับ ถนน่นี้เดินเท้าง่ายกว่า หากท่านรู้สึกว่านั่งอยู่บนรถม้าแล้วไม่สบายตัว เช่นนั้นลงมาเดินดีหรือไม่ขอรับ?”
จางจ้าวฉือเหลือบมองรองเท้าที่ปักลายดอกไม้ก่อนจะเอ่ยตอบ “ช่างเถิด ข้าใส่รองเท้าเช่นนี้เดินไม่ค่อยจะสะดวกสบายเท่าใดนัก”
ภายในรถม้ากว้างขวางเป็อย่างยิ่ง ดังนั้นจางจ้าวฉือจึงพาชิงเหมี่ยว ชิงซุย สวี่จือและแม่นมลู่มานั่งด้วยกันในรถม้า ในตอนนี้เพราะว่ารถม้าสั่นแรงมาก สวี่จือที่เดิมทีนั่งหลังตรงอยู่ในรถม้าก็เริ่มทรงตัวไม่อยู่ จึงถูกจางจ้าวฉืออุ้มมานั่งพิงหลังกับผนังรถม้า
โชคดีที่หลังจากผ่านถนน่นี้ไปรถม้าก็ขับได้อย่างมั่นคงมากขึ้น ทุกคนบนรถม้าต่างพากันถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
ระยะทางสิบกว่าลี้นั้น ตั้งอยู่ระหว่างกลางของูเาสองลูก บนูเาของที่นี่เป็ป่ารกชัฏ ได้ยินมาว่ายังมีคนพบเจอสัตว์ป่าอยู่บ้าง จางจ้าวฉือมองยอดเขาสีเขียวขจีที่โผล่ออกมาจากสองข้างทาง ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “ูเาที่นี่ดูแล้วไม่ค่อยอันตรายมากนะ”
คนขับรถม้าซึ่งเป็คนในพื้นที่ เมื่อได้ยินคำพูดของจางจ้าวฉือ เขาก็กล่าวขึ้นมาว่า “เรียนฮูหยินขอรับ เพราะว่าที่นี่อยู่ใกล้กับด่านเยี่ยนเหมิน ทางนั้นทหารคุ้มกันแ่ามากและมักจะมาเดินตรวจตราที่นี่บ่อยครั้ง เพราะูเาทั้งสองลูกนี้ล้วนเป็พื้นที่ที่ทำการป้องกันง่ายแต่การจะโจมตีกลับนั้นยากมากขอรับ เมื่อก่อนที่นี่ถือเป็สถานที่สร้างชื่อเสียงของยอดวีรบุรุษอวี้หลินเชียวนะขอรับ”
สวี่ตี้ที่ได้ฟังก็เกิดความสงสัยจึงเอ่ยถามขึ้น “เช่นนั้นตอนนี้ล่ะขอรับ?”
คนขับรถม้าตอบกลับ “แน่นอนว่าตอนนี้ปลอดภัยแล้วขอรับ นี่เป็เส้นทางหลักที่ใช้เดินทางจากเหอซีไปยังเมืองหลวง เดินทางจากที่นี่ไปอีกยี่สิบกว่าลี้ก็เป็ที่พักระหว่างทางแล้ว ซึ่งก็คือประตูหลังเมืองของเหอซี และพวกทหารที่ประจำการที่ด่านเยี่ยนเหมินมีหรือจะปล่อยให้ประตูหลังเมืองของตนเองถูกโจมตีน่ะขอรับ”
สวี่ตี้มองูเาทั้งสองข้างทาง ปกติแล้วตนเองมักจะเดินทางผ่านตรงนี้ไปยังบ้านสวน ถึงแม้ยามที่ผ่านตรงนี้แล้วเหลือบไปมองป่าสองข้างทางจะแอบรู้สึกขนลุกอยู่บ้าง แต่กลับไม่เหมือนตอนนี้ที่มองยอดเขาสีเขียวขจีแล้วรู้สึกหวาดกลัว
จางจ้าวฉือแหวกผ้าม่านด้านข้างออก มองไปยังภาพทิวทัศน์ด้านนอก ในแววตาล้ำลึกไม่รู้ว่าคิดสิ่งใดอยู่
เส้นทางบนูเายาวไกลถึงสองลี้ เมื่อผ่านป่าเขาทางนี้ ไม่นานหลังจากเลี้ยวไปข้างหน้าก็จะถึงบ้านสวนของตนเองแล้ว
ปีที่แล้วพวกเขาสร้างบ้านสวนขึ้นมาห้าห้องอยู่ตรงบริเวณตีนเขา แต่ต่อมาหลังจากที่จางจ้าวฉือมาถึงก็รู้สึกว่าทิวทัศน์บนยอดเขานั้นไม่เลว อีกทั้งบนูเายังมีตาน้ำซึ่งเกิดเป็น้ำตกูเาอยู่ด้วย นางจึงตัดสินใจสร้างเรือนเล็กๆ ที่มีไม่กี่ห้องบนูเาเอาไว้ด้วย เพราะว่าบนยอดเขาถูกต้นไม้สีเขียวบดบังแสงแดด บวกกับด้านนอกตัวเรือนก็สร้างออกมาอย่างเรียบง่าย ปกติแล้วคงมองไม่ออกว่าบนูเาลูกนี้มีบ้านอยู่อีกหนึ่งหลัง
บ้านสวนที่สร้างไว้หลังแรกมีเพียงห้าห้องเท่านั้น ต่อมาก็ถูกล้อมไปด้วยเรือนหลังใหญ่ ภายหลังยังสร้างเรือนหลังเล็กเอาไว้ด้านหลังเรือนห้าห้องอีกด้วย โดยปกติแล้วไม่ค่อยจะมีผู้ใดมาเยือนสักเท่าใด เรือนด้านหลังจึงไม่มีคนเข้าพัก ตอนที่สวี่เหราสร้างเรือนหลังนี้ เขาคิดว่าปกติหากตนเองมาที่นี่ก็จะได้มีที่พัก ดังนั้นบ้านจึงถูกสร้างตามความชอบของสวี่เหรา ด้านในตกแต่งด้วยเครื่องเรือนเรียบง่าย ถึงแม้ในบ้านสวนจะมีคนที่ซื่อจื่อเว่ยหลางช่วยแนะนำมาให้ช่วยดูแลเฝ้าสวนอยู่แล้ว แต่บ้านหลังนี้ สวี่เหราได้จ้างสามีของป้าจ้าวให้หาพ่อบ้านมาด้วยอีกคนหนึ่ง โดยปกติแล้วจะรับผิดชอบทำความสะอาดบ้านสวน และช่วยทำอาหาร
ในตอนที่พวกจางจ้าวฉือมาถึง เรือนด้านหลังก็ได้ถูกทำความสะอาดจนไม่มีแม้ฝุ่นสักเม็ดเดียว พี่ชายของป้าจ้าวคนนี้ถูกเรียกว่าตาเฒ่าจ้าว ซึ่งเป็คนแก่อายุห้าสิบกว่าปี ทั้งพูดน้อยและขยันขันแข็ง
จางจ้าวฉือเข้าเรือนด้านหลังไป เมื่อเห็นเรือนหลังก็พยักหน้าพอใจ แม่นมลู่ได้สั่งให้ชิงเหมี่ยวกับชิงซุยเอาของที่นำมาด้วยไปจัดวางไว้ในเรือนหลังให้เรียบร้อย จากนั้นก็ไปดูในโรงครัวว่าพอจะทำอะไรเป็อาหารกลางวันได้บ้าง
พวกเขาออกเดินทางกันั้แ่เช้าตรู่ ดูจากพระอาทิตย์แล้วก็คงจะเป็เวลาประมาณยามซื่อ [1] ต้นกล้าของข้าวสาลีในที่นากลับมาเป็สีเขียวแล้ว หลายวันมานี้ได้จ้างคนมากำจัดวัชพืชออกจากต้นข้าวสาลี หลังจากใช้จอบเล็กๆ ถางมันออกไป สวี่ตี้ก็คิดจะให้คนใช้ลูกกลิ้งกดต้นข้าวสาลีลงไปดังเดิม
ครั้งนี้สวี่ตี้กับจางจ้าวฉือมาดูก็เพราะเื่ผักในแปลง ใกล้จะถึงเวลาที่ต้องเอาต้นกล้าของผักมาลงดินแล้ว สวี่ตี้วางแผนเอาไว้ว่าจะปลูกพริกจำนวนมาก จากนั้นค่อยปลูกมะเขือเทศตามด้วยแตงกวา พืชพวกนี้จะได้เมล็ดจำนวนมากในการปลูกครั้งเดียว ส่วนผักปวยเล้ง หลังจากฤดูใบไม้ผลิเขาก็ได้ทำแปลงผักไปก่อนแล้ว เมื่อโปรยเมล็ดลงไปในดินเสร็จแล้วก็ใช้หญ้าแห้งมาปูทับ
สวี่ตี้เลือกแปลงผักให้อยู่ใกล้กับแม่น้ำ เพื่อที่จะได้รดน้ำได้สะดวก ส่วนที่ดินหนึ่งส่วนที่เหลือ สวี่ตี้เอาไว้ปลูกข้าวฮ่านต่าว [2] ส่วนเมล็ดข้าวฮ่านต่าวตอนที่จางจ้าวจื่อมาครั้งที่แล้วก็ได้นำมันติดมาด้วย ต่อมาก็ต้องปลูกให้ต้นกล้าขึ้นก่อน จากนั้นค่อยนำไปดำลงดิน
หลังจากสวี่ตี้มาถึงแล้วก็เริ่มทำงานทันที จางจ้าวฉือตามไปดูรอบๆ หากพูดตามความจริงแล้ว ั้แ่เด็กๆ จางจ้าวฉือก็อยู่ใน่ก่อร่างสร้างตัว นางเข้าใกล้พืชผักมากที่สุดก็คงจะเป็ตอนที่ไปท่องเที่ยวเชิงเกษตร และได้ดูคนเขาปลูกข้าวสาลี
จนถึงตอนนี้จางจ้าวฉือยังจำได้ว่า รวงข้าวสาลีที่แน่นเต็มรวงจนลำต้นโค้งงอลง มีรวงข้าวแข็งมาก เมื่อยกมือไปจับก็จะถูกทิ่มจนเจ็บมือไปหมด เจ็บจนไปถึงข้างในเนื้อ
จางจ้าวฉือคิดไม่ถึงว่าลูกชายตนเองจะมีความสามารถมากถึงเพียงนี้ ปลูกผักได้หมดทุกอย่าง อีกทั้งฟังจากที่เขาพูดว่าจะคิดค้นกังหันวิดน้ำ และรอดูว่าจะติดตั้งไว้ที่ข้างแม่น้ำได้หรือไม่ เช่นนี้ก็จะเอาน้ำจากแม่น้ำขึ้นมารดผักได้ง่ายมากขึ้น
จางจ้าวฉือไม่ค่อยเข้าใจเื่พวกนี้เท่าใดนัก ดังนั้นนางจึงมิค่อยออกความเห็น และพาสวี่จือเดินวนรอบบ้านสวนแทน
ที่ดินในไร่ทั้งหมด ส่วนหนึ่งได้แบ่งให้ชาวนาที่อยู่ใกล้ๆ เช่าเพื่อเพาะปลูกพืชพันธุ์ ปีก่อนพวกเขาไม่ได้ปลูกข้าวสาลี และตอนนี้กำลังจัดการกับที่นาเพื่อเตรียมตัวปลูกข้าวธัญพืช เมื่อเห็นจางจ้าวฉือซึ่งพาสวี่จือ แม่นมลู่ ชิงเหมี่ยว ชิงซุยตามมาด้านหลัง ก็รู้ว่าเป็คนที่มีฐานะไม่ธรรมดา
บนคันนามีชายชาวนาวัยชราคนหนึ่งนั่งอยู่ ดูท่าทางคงทำงานเหนื่อยแล้วกระมังถึงได้มานั่งพักอยู่ตรงนี้ จางจ้าวฉือเดินเข้าไปหาแล้วเอ่ยปากถาม “ผู้าุโ ปีนี้ท่านอายุเท่าไหร่หรือเ้าคะ?”
ชายชราเมื่อเห็นจางจ้าวฉือก็ตอบกลับด้วยท่าทีกระอักกระอ่วน “เรียนฮูหยินขอรับ ปีนี้ข้าอายุหกสิบสามแล้วขอรับ”
จางจ้าวฉือยิ้มก่อนจะเอ่ย “จริงหรือ ผู้าุโ ข้าดูไม่ออกเลยเ้าค่ะว่าท่านอายุหกสิบสามแล้ว ทำนาที่นี่มากี่ปีแล้วหรือเ้าคะ? ปลูกข้าวธัญพืชมาตลอดเลยหรือเ้าคะ?”
ชายชราได้ยินคำถามของจางจ้าวฉือก็ตอบกลับไปว่า “ฮูหยิน ท่านคือเ้านายคนใหม่ของพวกเราอย่างนั้นหรือขอรับ?”
จางจ้าวฉือตอบรับ “เ้าค่ะ ข้าเป็เ้านายใหม่ของพวกท่าน ปีก่อนข้าซื้อที่ดินผืนนี้ต่อจากเ้าของที่ดินคนเก่าน่ะเ้าค่ะ”
ชายชราฟังแล้วก็พูดด้วยความซาบซึ้ง “ฮูหยินขอรับ ท่านเป็คนดีมาก ปีก่อนคนดูแลในไร่ของท่านยังช่วยพวกเราขนน้ำจากแม่น้ำมารดผักอยู่เลยขอรับ”
จางจ้าวฉือมองที่นาที่ถูกจัดการอย่างดีแล้วจึงเอ่ยขึ้นว่า “ผู้าุโ เหตุใดในที่นาถึงไม่มีทางน้ำหรือเ้าคะ? ตอนรดน้ำไปเอาน้ำมาจากที่ใดเ้าคะ?”
ชายชราตอบ “ทางน้ำคืออันใดหรือขอรับ? พวกเรารดน้ำก็ต้องไปเอาน้ำจากแม่น้ำมารดอยู่แล้วสิขอรับ”
จางจ้าวฉือมองที่นาขนาดใหญ่แล้วก็ถอนหายใจ รู้สึกว่าผู้คนในตอนนี้นั้นอัตราการประสบความสำเร็จของผลผลิตต่ำจนเกินไป นางจึงพูดต่อว่า “ทางน้ำก็คือการที่พวกเราขุดทางน้ำเล็กๆ ระหว่างที่นา จากนั้นก็ชักนำน้ำจากในแม่น้ำมาใส่ไว้ ทำเช่นนี้ตอนรดน้ำก็แค่มองดูจากที่คันนาก็พอ มิจำเป็ต้องใช้ถังน้ำตักมาทีละรอบเ้าค่ะ”
ชายชราฟังแล้วก็หัวเราะ “แม่น้ำนั้นอยู่ต่ำกว่าที่ดินของพวกเรามากนักขอรับ น้ำจะไหลมาที่นี่ได้อย่างไร? ฮูหยิน ท่านพูดเื่ตลกแล้วขอรับ”
จางจ้าวฉือไม่ได้พูดอะไรออกไปอีก หลังจากจดเื่นี้ไว้ในใจ ก็ถามว่าเก็บผลผลิตได้เท่าไหร่ ในครอบครัวมีกันกี่คน อาหารพอกินหรือไม่ ก่อนจะพาสวี่จือกลับไปที่เรือน
สวี่ตี้กำลังนั่งอยู่ในเรือนครุ่นคิดว่าจะทำกังหันวิดน้ำอย่างไร จางจ้าวฉือเห็นเขาจึงพูดขึ้นว่า “สวี่ตี้ เมื่อครู่แม่ไปดูที่นามา เหตุใดที่นาพวกนั้นถึงไม่มีทางน้ำเล่า?”
สวี่ตี้ขมวดคิ้ว “กังหันวิดน้ำของข้ายังทำไม่เสร็จเลย ให้พวกเขาขุดทางน้ำพวกเขาก็ไม่อยากจะสิ้นเปลืองที่ดินมาขุดรางน้ำหรอกขอรับ ท่านไม่เห็นหรือว่าที่นาของพวกเรามีรางน้ำหรือไม่? และเพราะว่ามี อีกทั้งข้ายังจัดเป็ช่องๆ ไว้ คนพวกนั้นปลูกพืชกันมากี่ปีกันถึงได้มาหัวเราะเยาะข้า บอกว่าข้าใช้ที่นาสิ้นเปลืองอีกต่างหาก”
จางจ้าวฉือถอนหายใจ “พ่อเ้าพูดถูกจริงๆ เื่ใหม่ๆ นั้นจำเป็ต้องใช้เวลามาพิสูจน์ถึงจะทำให้พวกเขายอมรับได้”
สวี่ตี้เอ่ย “ท่านไม่ต้องรีบร้อนหรอก รอข้าทำกังหันวิดน้ำเสร็จแล้วพวกเขาจะต้องไปขุดรางน้ำด้วยตนเองแน่นอน”
จางจ้างฉือกล่าว “เช่นนั้นเ้าก็ตั้งใจคิดไปเถิด ข้าจะไปดูว่าอาหารกลางวันมีอะไรกินบ้าง”
สวี่ตี้เอ่ยตอบ “เมื่อครู่ข้าเห็นลุงจ้าวไปขุดจินช่าย [3] ออกมา ไม่เช่นนั้นพวกเราห่อเกี๊ยวจินช่ายกินกันดีหรือไม่ขอรับ”
จางจ้าวฉือตอบบุตรชาย “ได้สิ ข้าจะให้คนไปซื้อเนื้อมา จากนั้นก็ใช้แป้งสาลีของพวกเรามาห่อ”
สวี่ตี้ตอบรับ “ได้สิขอรับ ข้ารู้สึกว่าแป้งจากข้าวสาลีกินแล้วอร่อยมาก แป้งอย่างอื่นไม่ได้เื่เลยขอรับ ท่านห่อเยอะๆ หน่อยนะขอรับ ข้าจะเอาไปให้ครอบครัวที่เช่าที่นาของเราลองชิมดู”
จางจ้าวฉือฟังแล้วก็พูดยิ้มๆ “เ้านี่รู้จักทำการตลาดนะ ได้ แม่จะไปทำกับข้าวกับแม่นมลู่แล้ว”
อาหารมื้อกลางวันวันนี้เป็เกี๊ยวน้ำไส้จินช่าย สุดท้ายไม่ใช่แค่จางจ้าวฉือกับแม่นมลู่เท่านั้นที่ห่อเกี๊ยว คนดูแลบ้านสวนอย่างพวกหลี่ซานก็มาช่วยห่อเช่นเดียวกัน
พวกหลี่ซานล้วนเป็คนในหมู่บ้านที่ถูกเกณฑ์ไปเป็ทหาร ในตอนเด็กๆ แถบชนบทหากในเรือนทำกิจกรรมใดก็ต้องเรียนรู้และต้องทำตามทุกอย่าง ดังนั้นการห่อเกี๊ยวจึงเป็เื่ง่าย อีกทั้งพวกเขายังเล่าว่าตอนสิ้นปีถึงจะได้ห่อเกี๊ยวกันครั้งหนึ่ง และเพื่อที่จะทำให้ปีนั้นๆ สามารถกินเกี๊ยวที่ทั้งอร่อยและทั้งสวยได้จึงตั้งใจเรียนกันมาก
เชิงอรรถ
[1] ยามซื่อ (巳 sì) คือ 09.00 – 10.59 น.
[2] ฮ่านต่าว (韩稻 : Hán dào) ข้าวพันธุ์โบราณของจีน
[3] จินช่าย (金菜 :Jīn cài) หรือ Golden Beets ผักมีหัว เนื้อมีสีทองเหลือง เปลือกมีส้มอมเหลืองลักษณะคล้ายบีทรูท