หม้อใหญ่ที่ใช้นึ่งหมั่นโถวในโรงครัวถูกเติมน้ำจนเต็มหม้อ หลังจากต้มจนน้ำเดือดแล้ว ค่อยวางหมั่นโถวที่มีลักษณะเหมือนกับหยวนเป่าก้อนเล็กๆ แต่ละลูกลงไปในน้ำ และใส่ลงไปนึ่งในหม้อใหญ่อีกหลายใบ หลังจากใส่ลงไปจนเต็มแล้ว สวี่ตี้จึงพาคนมุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านที่อยู่ใกล้เคียงกับไร่สวน
ผู้คนส่วนใหญ่ในหมู่บ้านใกล้เคียงล้วนเช่าที่นาแห่งนี้ ซึ่งตอนนี้เป็ผู้เช่าในนามของสกุลสวี่แล้ว เมื่อถึงยามเก็บเกี่ยวคนในหมู่บ้านจำนวนมากต่างมาช่วยในส่วนนี้ โดยการได้รับค่าแรงไม่กี่อีแปะต่อหนึ่งคนทุกวัน สวี่ตี้ให้คนจัดการเื่อาหารการกิน ปกติมาทำงานก็มักจะมีอาหารให้สองมื้อถือเป็สวัสดิการ ต่อมาหากเขามีเื่อันใดให้คนในหมู่บ้านช่วยเหลือ พวกเขาจึงยินดีช่วยด้วยความเต็มใจ
สวี่ตี้มาถึงพร้อมห่ออาหารขนาดใหญ่ที่บรรจุเกี๊ยวน้ำกลิ่นหอมฉุยที่เพิ่งออกจากเตา ตัวแป้งและไส้ที่ทำจากเนื้อหมูมีกลิ่นหอมมาก เมื่อเข้ามาในหมู่บ้านก็ทำเอาพวกเด็กๆ ในหมู่บ้านต่างพากันเดินตามหลังของสวี่ตี้กันเป็ขบวน
คนในหมู่บ้านเห็นสวี่ตี้ก็รีบไปบอกหัวหน้าหมู่บ้านให้ออกมาต้อนรับ เมื่อหัวหน้าหมู่บ้านมาถึงก็รีบเข้ามาสอบถาม “คุณชายน้อย ท่านมาที่นี่มีเื่อะไรหรือขอรับ?”
หัวหน้าหมู่บ้านคนนี้เป็คนอายุห้าสิบกว่าปีแล้ว ซึ่งวันๆ มักจะทำงานอยู่ในไร่สวนเป็ส่วนใหญ่ หน้าตาจึงดูแก่กว่าอายุจริงอยู่มาก
สวี่ตี้รีบเข้ามาทำความเคารพ “หัวหน้าหมู่บ้านจาง นี่คือเกี๊ยวน้ำที่ทำจากแป้งข้าวสาลีสายพันธุ์ฤดูหนาวที่พวกเราปลูกเมื่อปีที่แล้วขอรับ พวกเรานำมันมาโม่เป็แป้ง วันนี้ท่านแม่ของข้าเดินทางมาด้วย พอดีที่ไร่ขุดผักจินช่ายมาได้ไม่น้อย จึงเอามาห่อเป็เกี๊ยวน้ำให้ทุกคนได้ชิมรสชาติของข้าวสาลีสายพันธุ์ฤดูหนาวขอรับ”
หัวหน้าหมู่บ้านได้ยินดังนั้นก็รีบกล่าวขอบคุณ หลังจากที่สวี่ตี้มอบเกี๊ยวน้ำให้กับหัวหน้าหมู่บ้านแล้วก็รีบพาคนกลับไป ตอนนี้เป็เวลาเที่ยงวันแล้ว หิวจนท้องร้อง พอคิดถึงเกี๊ยวกลิ่นหอมๆ ไส้จินช่ายท้องก็ยิ่งหิว ส่วนเกี๊ยวที่นำมามอบให้จะแบ่งอย่างไรก็ล้วนเป็เื่ที่หัวหน้าหมู่บ้านต้องตัดสินใจ สวี่ตี้รู้ว่าหัวหน้าหมู่บ้านจางเจียผู้นี้ถือว่าเป็คนยุติธรรมคนหนึ่ง
หมู่บ้านเล็กๆ ที่อยู่ใกล้ๆ กับที่ดินของสกุลสวี่แห่งนี้ เรียกว่าหมู่บ้านจางเจีย ทุกคนในหมู่บ้านต่างใช้แซ่จาง จากที่ได้ยินมา หลายปีก่อนหน้านี้เป็ชนเผ่าเล็กๆ ที่อพยพหนีความลำบากมาจากนอกด่าน ต่อมาจึงลงหลักปักฐานอาศัยอยู่ที่นี่ หลายปีต่อมาก็พัฒนากลายมาเป็หมู่บ้านเล็กๆ และเพราะว่าบรรพบุรุษเป็สกุลเดียวกัน ทุกคนในหมู่บ้านจึงล้วนเป็เครือญาติกันหมด มีเื่อันใดก็ล้วนปรึกษากัน มีความเป็ปึกแผ่นแ่ามากทีเดียว
เมื่อสวี่ตี้กลับมาเขาก็ก้มหน้าก้มตากินเกี๊ยวน้ำถ้วยใหญ่ เมื่อได้ทานเกี๊ยวน้ำถ้วยนี้ประหนึ่งว่าได้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง
จางจ้าวฉือไม่ได้ทานไปก่อน นางนั่งรอพวกสวี่ตี้กลับมา เมื่อเขากลับมาแล้วถึงได้รับประทานพร้อมกัน พอเห็นสวี่ตี้ทานอย่างเอร็ดอร่อย นางก็เอ่ยขึ้นว่า “อีกเดี๋ยวตอนกลับพวกเราเอาจินช่ายกลับไปด้วย พรุ่งนี้เช้าแม่จะห่อหุนทุน [1] ไส้จินช่ายให้เ้า”
สวี่ตี้เอ่ยตอบผู้เป็มารดา “เช่นนั้นก็ดีเลยขอรับ ข้ารอคอยที่จะได้ลิ้มรสฝีมือของท่านแม่มานานมากแล้ว”
จางจ้าวฉือถอนหายใจ “ครั้งนี้พ่อของเ้าไม่ได้ตามมาด้วย เขาจึงอดชิมเกี๊ยวน้ำร้อนๆ เช่นเ้า”
สวี่จือเมื่อได้ฟังเช่นนั้นนางจึงยกถ้วยของตนเองขึ้นก่อนจะเอ่ยว่า “ท่านแม่เ้าคะ ข้าไม่กินแล้ว เอาของข้าไปให้ท่านพ่อกินดีหรือไม่เ้าคะ?”
จางจ้าวฉือยิ้มแล้วลูบหัวสวี่จือ “มิต้องหรอก ตอนกลางคืนพวกเราค่อยห่อกลับให้พ่อของเ้าใหม่ จือเอ๋อร์รีบกินตอนมันยังอุ่นๆ ดีกว่านะ”
สวี่จือเมื่อได้ฟังมารดากล่าวเช่นนั้นถึงได้เริ่มทานต่ออย่างวางใจ นางคิดว่านี่คือเกี๊ยวน้ำที่อร่อยที่สุดเท่าที่นางเคยทานมา
เดิมอยู่ในจวนโหวเมื่อถึงตรุษจีนก็เป็โรงครัวใหญ่ส่งเกี๊ยวน้ำมาให้ เกี๊ยวน้ำที่ส่งมากว่าจะถึงเรือนของนางก็เย็นลงแล้ว อีกทั้งไส้ก็ไม่ได้มีความอร่อยอันใด มีหรือจะสู้ไส้หมูผสมจินช่ายที่ทานอยู่ตอนนี้ได้ อีกทั้งรสชาติยังสดใหม่ กินเข้าไปแล้วก็แทบอยากจะกลืนลิ้นตามลงไปด้วย
หลังจากทานข้าวเที่ยงเสร็จแล้ว พวกนางจึงไปพักกันที่เรือนหลังสักครู่ ก่อนที่จางจ้าวฉือจะนำเกี๊ยวน้ำกลับเมืองไปด้วย
พวกจางจ้าวฉือกลับไปแล้ว แต่เกี๊ยวน้ำที่นำมามอบให้ชาวบ้านกลับยังเป็ที่ฮือฮาของคนในหมู่บ้าน
หัวหน้าหมู่บ้านเรียกรวมคนทั้งหมู่บ้านที่ลานฝัดข้าว เมื่อเห็นเกี๊ยวน้ำที่ถูกห่อเอาไว้อย่างสวยงามในห่อข้าวหลายกล่องทุกคนก็พลันตาโตด้วยความทึ่ง
หัวหน้าหมู่บ้านกล่าว “ทุกคน นี่คือสิ่งที่คุณชายของพวกเราเพิ่งจะนำมามอบให้เมื่อครู่ บอกว่านี่คือแป้งที่ทำจากข้าวสาลีสายพันธุ์ฤดูหนาวที่พวกเขาปลูกออกมาและเอามาห่อเกี๊ยว วันนี้จึงได้ทำเกี๊ยวน้ำไส้จินช่ายมาให้พวกเราลองชิมกัน มาๆ ทุกคนลองมาชิมดูว่ารสชาติเป็อย่างไร”
จากนั้นก็มีคนเอ่ยออกมาว่า “ท่านหัวหน้าหมู่บ้าน ข้าวสาลีในแปลงนาของเ้านายใช่หรือไม่? น่าแปลกมากจริงๆ ปลูกข้าวสาลีในฤดูหนาวเช่นนั้นแต่กลับมิถูกแช่แข็งจนตาย ฤดูหนาวของที่นี่น้ำแข็งปกคลุมหนาตั้งสามข้อนิ้วเชียวหนาขอรับ”
ตามด้วยอีกคน “แล้วผู้ใดบอกว่ามิใช่ล่ะ ข้าได้ยินมาว่าแป้งขาวราคาก็ไม่ต่ำด้วยนะ พวกเรามีใครเคยกินแป้งที่ขาวละเอียดเช่นนี้บ้างหรือไม่เล่า”
เมื่อเห็นคนเริ่มเถียงกัน หัวหน้าหมู่บ้านจึงเอ่ยขัดขึ้น “เอาละๆ เช่นนั้นพวกเราก็แบ่งกันไป ข้านับแล้วพวกเราก็มีกันร้อยกว่าคน คนที่อายุเกินหกสิบปีก็เอาไปกันคนละสองตัว เด็กอายุน้อยกว่าหกหนาวเอาไปคนละสองตัว ที่เหลือก็คนละตัว พวกเรามาลองชิมรสชาติกันดูว่าเป็อย่างไร”
ทุกคนต่างรู้ว่าแป้งที่ได้จากข้าวขาวนั้นราคาแพง หลายคนถึงขั้นว่านี่เป็ครั้งแรกที่ได้ชิมเกี๊ยวน้ำที่ทำจากแป้งขาวละเอียดเช่นนี้เสียด้วยซ้ำ
คนแก่หรือเด็กในหมู่บ้านเกือบร้อยคน แต่ละคนมาเอาเกี๊ยวไปกัดคำเล็กๆ จากนั้นก็ถูกกลิ่นหอมของแป้งข้าวสาลีที่โชยออกมาขโมยหัวใจไปเสียแล้ว
มีคนะโออกมาว่า “ลุงหัวหน้าหมู่บ้าน ฤดูหนาวนี้พวกเราก็มาปลูกข้าวสาลีกันเถิด ท่านไปพูดกับคุณชายที หมู่บ้านของพวกเราเช่าที่นาของพวกเขาตั้งมากมาย ดูว่าพวกเขาสามารถสอนพวกเราปลูกมันได้หรือไม่?”
หัวหน้าหมู่บ้านกินเกี๊ยวน้ำส่วนของตนเองเสร็จแล้ว หากพูดตามความจริง รสชาติของเกี๊ยวน้ำนั้นดีจริงๆ จินช่ายทั้งสดและนุ่ม เนื้อหมูที่ถูกสับละเอียดก็หอมมากเช่นกัน มิรู้ว่าพวกเขาปรุงรสไส้อย่างไรถึงได้ทำออกมาแล้วรสชาติดีเช่นนี้
ที่สำคัญที่สุดก็คือรสชาติของแป้ง หัวหน้าหมู่บ้านเป็คนที่เคยเดินทางออกจากที่นี่ไปยังทางใต้มาก่อน เขาเคยกินหมั่นโถวที่ใช้แป้งมานึ่ง รสชาติหอมหวานนั้นยังติดอยู่ในความทรงจำของเขามาหลายสิบปี แต่ว่านั่นเป็เื่เมื่อครั้งอยู่ทางใต้ ที่นี่อากาศหนาวถึงเพียงนี้ คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าข้าวสาลีสายพันธุ์ฤดูหนาวปลูกลงไปแล้วจะยังสามารถมีชีวิตอยู่ได้
เมื่อมีคนเริ่มะโบอกว่าจะปลูกข้าวสาลี คนที่อยู่ด้านข้างก็ทำตามเช่นกัน หัวหน้าหมู่บ้านเห็นชาวบ้านต่างะโกันเจี๊ยวจ๊าว ก็ถอนหายใจออกมาแล้วเอ่ยขึ้นว่า “มันเป็เื่ที่ง่ายดายเช่นนั้นเสียที่ไหนกัน พวกเ้าไม่เห็นหรือว่าพอถึงฤดูใบไม้ผลิพวกเขาก็เริ่มรดน้ำกันแล้ว? อีกฝ่ายอยู่ใกล้กับฝั่งแม่น้ำ ทั้งยังขุดรางน้ำ จะทำอย่างไรก็สะดวกไปเสียหมด ส่วนที่ของพวกเรานั้น หากอยากจะรดน้ำแต่ละครั้งก็ต้องไปแบกมาทีละหาบ จะต้องแบกไปถึงเมื่อใด? และที่สำคัญพวกเราจะปลูก แล้วจะไปเอาเมล็ดมาจากที่ใด? หลังจากปลูกไปแล้วจะดูแลอย่างไร? การดูแลเหมือนกับข้าวธัญพืชที่พวกเราปลูกหรือไม่ เื่นี้จำเป็ต้องให้อีกฝ่ายชี้แนะ พวกเราเป็เพียงแค่คนเช่าที่ มีหรือจะสามารถใช้ให้เขามาสอนเราได้?”
มีชายหนุ่มผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น “ท่านหัวหน้าหมู่บ้านขอรับ ข้าเห็นว่าคุณชายไม่ใช่คนไม่มีเหตุผล อีกทั้งยังดีกับพวกเราอีกด้วย ท่านดูสิ พวกเขาทำเกี๊ยวน้ำก็ยังอุตส่าห์เอามาให้พวกเราลองชิม นี่ทำเพื่ออะไร ก็เพื่อให้พวกเราได้ลองชิมรสชาติแป้งข้าวสาลี มิใช่ว่าต่อไปจะได้ไปปลูกกับพวกเขาหรือ? พวกเราลองไปคุยกับคุณชายดูเสียก่อน จะสำเร็จหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับคุณชายแล้ว หากสำเร็จก็ดีไป แต่หากไม่สำเร็จพวกเราก็ปลูกพืชของเราต่อไป ท่านว่าเช่นนี้ดีหรือไม่ขอรับ?”
หัวหน้าหมู่บ้านเงียบอยู่เนิ่นนานก่อนจะเอ่ยขึ้น “เช่นนั้นก็ได้ เอาไว้พรุ่งนี้ก็แล้วกัน พรุ่งนี้เ้าไปกับข้า พวกเราจะไปที่เรือนของคุณชายในเมือง สอบถามว่าคุณชายคิดเห็นอย่างไร”
สวี่เหรากลับมาที่เรือนในตอนกลางคืนก็ได้กินเกี๊ยวน้ำไส้จินช่าย เื่นี้ทำให้สวี่เหราดีใจเป็อย่างยิ่ง
หลังจากเอาเกี๊ยวน้ำไปจิ้มกับน้ำจิ้มกระเทียมจิ๊กโฉ่ว [2] แล้วเอาเข้าปาก เมื่อกัดเข้าไปคำแรก ในแป้งเกี๊ยวแผ่นบางแสนนุ่ม ด้านในยังมีไส้เกี๊ยวแสนอร่อย
สวี่เหรากับสวี่ตี้มีนิสัยเหมือนกันคือชอบกินเกี๊ยวไส้จินช่าย ในชาติก่อนทุกๆ ฤดูใบไม้ผลิ มักจะมีจินช่ายสดๆ มาขายในตลาดแถวบ้าน สวี่เหราก็จะซื้อมาเป็จำนวนมาก หลังจากเอามาล้างน้ำให้สะอาด ทิ้งไว้ให้สะเด็ดน้ำ จากนั้นก็เอามาซอยให้ละเอียด ใส่หมูสับ ใส่เครื่องปรุงรสลงไป จากนั้นก็ห่อเกี๊ยว ห่อหุนทุน
สวี่เหรากล่าว “จินช่ายนี่สดจริงๆ เหตุใดพวกเ้าถึงคิดทำเกี๊ยวจินช่ายขึ้นมาได้เล่า เก็บมาได้จำนวนมากอย่างนั้นหรือ?”
จางจ้าวฉือเป็ผู้ตอบ “ทางเหล่าจ้าวขุดมาจากูเาได้เป็จำนวนมาก พอดีกับที่ข้าห่อเกี๊ยวเป็ จึงทำออกมาเป็จำนวนมาก สวี่ตี้จึงขอแบ่งไปให้หมู่บ้านจางเจีย บอกว่าจะให้พวกเขาได้ลองชิมของใหม่ๆ ดูน่ะ”
สวี่เหราฟังแล้วก็เคี้ยวเกี๊ยวในปากพลางพยักหน้ารับ “ข้าคาดว่าพรุ่งนี้มะรืนนี้คงจะมีคนมาหาพวกเราเพื่อปรึกษาเื่ของข้าวสาลีสายพันธุ์ฤดูหนาวเป็แน่”
จางจ้าวฉือฟังแล้วก็เอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า “เ้ารู้ได้อย่างไร? ผู้ใดจะมางั้นหรือ?”
สวี่เหรากินเกี๊ยวเข้าไปอีกคำ หลังจากกลืนลงไปแล้วจึงตอบว่า “คนที่เช่าแปลงนาในพื้นที่ของเราอย่างไรเล่า วันนี้มิใช่ว่าพวกเขาได้เห็นว่าที่นาของพวกเราปลูกข้าวสำเร็จหรือ วันนี้สวี่ตี้เอาเกี๊ยวไปให้พวกเขา จุดประสงค์ไม่เพียงจะให้พวกเขาได้ชิมอาหารรสชาติใหม่ๆ เท่านั้น ยังเป็การหย่อนเหยื่อไปให้พวกเขาด้วย พวกเขารู้ถึงข้อดีของการหย่อนเบ็ดนี่ แน่นอนว่าพวกเขาจะมาหาสวี่ตี้เพื่อปรึกษาเื่ข้าวสาลีสายพันธุ์ฤดูหนาวอย่างแน่นอน หากในใจของพวกเขานั้นเข้าใจดีถึงสถานการณ์ปัจจุบันแต่เบื้องหน้าแสร้งทำเป็ไม่รู้เช่นนั้นก็ช่วยไม่ได้แล้ว”
จางจ้าวฉือพยักหน้ารับ “พวกเ้าแต่ละคนนี่ก็ฉลาดไม่เบาจริงๆ หัวหมอกันเสียขนาดนี้มิน่าเล่าถึงทำงานรับราชการได้น่ะ ทักษะพวกนี้ข้านั้นมิมีหรอกนะ ข้าเป็ผู้ใช้แรงงาน เทียบกับพวกเ้าแล้วยังห่างไกลยิ่งนัก”
สวี่เหรายิ้มรับแล้วเอ่ย “เ้าก็อย่าดูถูกตัวเองไปเลย สมองของเ้าต่างหากที่ดี ไม่เช่นนั้นจะเป็ถึงผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ได้อย่างไร? เทียบกับเ้าแล้ว พวกเราต่างหากที่ไม่ได้เก่งอะไรเลยสักอย่าง”
สวี่จือที่นั่งอยู่ด้านข้าง เอียงหัวมองบิดามารดาของตนพูดจายกยอกันไปมา จางจ้าวฉือเห็นท่าทางของสวี่จือแล้วก็ถอนหายใจ “ต่อไปจือเอ๋อร์ของพวกเราใช้ชีวิตอย่างมีความสุขก็พอแล้ว อย่าเป็เหมือนกับพ่อและพี่ชายของเ้าที่วันๆ เอาแต่ใช้สมองมากมาย เห็นแล้วก็เหนื่อยแทน”
สวี่จือพยักหน้าอย่างงงๆ ปนเข้าใจ “ท่านแม่เ้าคะ ต่อไปข้าจะตั้งใจเรียนวิชากับแม่นมลู่ จะต้องเป็สตรีที่มีชื่อเสียงทั่วทั้งเมืองหลวงให้ได้เ้าค่ะ”
จางจ้าวฉือฟังแล้วก็หัวเราะออกมาเสียงดังก่อนจะดึงสวี่จือเข้ามาในอ้อมกอด “ใช่ ต่อไปจือเอ๋อร์ของพวกเราจะต้องกลายเป็สตรีที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองหลวง”
สวี่ตี้กลับมาถึงเรือนก็ยุ่งอยู่กับเรือนเพาะของตนเอง พืชที่ปลูกไปก่อนหน้านี้เมื่อโตแล้วก็เก็บเมล็ดเอาไว้ หลังจากนั้นจึงเอาไปปลูกในพื้นที่ที่ใหญ่กว่าอย่างในนาที่บ้านสวน
ผักพวกนี้ใช้ประโยชน์ได้มากมาย โดยเฉพาะพริก สวี่ตี้ไม่อยากจะเปิดเผยเื่พริกออกไปเท่าใดนัก ส่วนผักอย่างอื่นนั้นจะอย่างไรก็ย่อมได้ทั้งนั้น ไปบ้านสวนครานี้เขาอยากจะดูก่อนว่ามีของสิ่งใดที่สามารถครอบเพื่อปิดบังพื้นที่ที่ปลูกพริกได้ เขาคิดอยู่นานก่อนจะไปก็ได้สั่งให้เหล่าจ้าวพ่อบ้านที่ดูแลบ้านสวนไปตัดเถาวัลย์ความยาวครึ่งตัวคนมาให้มากหน่อย
ความจริงแล้วถ้าหากตอนนี้หาพริกไทยหรือฮวาเจียว [3] เจอก็คงจะดี แต่ทว่าสองอย่างนี้คาดว่าตอนนี้คงจะมีอยู่ที่ทางใต้ เขาวางแผนไว้ว่ารอได้โอกาสที่เหมาะสมถึงจะไปนำเมล็ดพันธุ์กลับมาที่ทางเหนือแห่งนี้ พืชพวกนั้นเอามาทำกำแพงล้อมก็ดี ในหน้าร้อนตอนที่มันงอกขึ้นมาก็ใช้แผงไม้ยาวมาวางล้อมเป็รั้ว เมื่อพวกมันโตขึ้นจนมีใบงอกออกมามากมาย ก็จะสามารถใช้ปกปิดความลับที่อยู่หลังรั้วได้ดี อีกทั้งบนกิ่งของมันก็ยังมีหนามแหลม ดังนั้นแม้แต่พวกสัตว์ตัวเล็กๆ ก็ยังมิกล้าเข้ามา
นอกจากปลูกพริกแล้วยังต้องปลูกข้าวฮ่านต่าวอีกด้วย สวี่ตี้หาที่ทางบริเวณใกล้แม่น้ำ ตอนสายก็พาคนไปล้อมพื้นที่ตรงนั้นเอาไว้ จากนั้นก็ขุดทางน้ำเพื่อที่จะได้ใช้น้ำจากแม่น้ำได้สะดวกมากยิ่งขึ้น ตอนนี้เป็ฤดูใบไม้ผลิ น้ำในแม่น้ำยังไม่เยอะมากจนถึงขั้นเหลือใช้ จำเป็ต้องพึ่งน้ำในทางน้ำเล็กๆ พวกนั้นไปก่อน โดยการใช้ถังน้ำตักน้ำจากแม่น้ำมาเทตรงทางน้ำที่ได้ขุดลอกเอาไว้ ซึ่งน้ำจากในแม่น้ำก็จะไหลตามเข้ามาโดยง่าย สวี่ตี้รู้สึกว่าการสร้างกังหันวิดน้ำจำเป็ต้องเลื่อนขึ้นมาจัดการโดยไวเป็ลำดับต้นๆ ในอนาคตหากปลูกพืชจำนวนมากขึ้นแล้วไม่มีน้ำใช้รดผักอย่างเพียงพอจะทำอย่างไร?
สวี่ตี้ยุ่งวุ่นวายอยู่กับการเพาะต้นกล้าพริกและข้าวฮ่านต่าว รอจนกระทั่งต้นอ่อนงอกออกมาแล้วจากนั้นจึงย้ายไปปลูกลงดินที่เตรียมเอาไว้ การดูแลต่อมาก็คือการใส่ปุ๋ยเพื่อบำรุงต้นกล้า โดยเฉพาะพืชผักจะต้องรดน้ำสม่ำเสมอเช้าเย็นไม่สามารถขาดน้ำได้
สวี่ตี้รู้สึกว่าหัวสมองของตนเองตอนนี้พึ่งพาไม่ได้เอาเสียเลย เขารู้สึกเสียใจภายหลังจริงๆ ที่ตอนนั้นเหตุใดถึงไม่ไปเรียนคณะเกษตรศาสตร์กันนะ เหตุใดตนจึงไปลงเรียนวิศวกรรมชีววิทยาเสียได้ แต่ก็ถือว่ายังมีความโชคดีอยู่เล็กน้อยที่่หนึ่งเคยมีเวลาได้อยู่กับรุ่นพี่คณะเกษตรคนนั้นทั้งวัน เขาจึงมีความรู้เื่พืชและปุ๋ยเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย ไม่เช่นนั้นสถานการณ์ในวันนี้คาดว่าทั้งครอบครัวจะต้องอยู่ที่นี่แต่โดยทำอะไรไม่ได้ ต้องรอจนกระทั่งบิดาของตนเองทำงานครบกำหนด สอบให้ได้คะแนนดี จากนั้นทั้งครอบครัวค่อยย้ายตามบิดาไปที่อื่น
สวี่ตี้มีความทรงจำของเ้าของร่างเดิม จึงรู้ว่าในจวนมีคนที่คิดจะทำร้ายครอบครัวตนเอง และไม่รู้ว่าเหตุผลที่ทำเช่นนั้นเพื่อเงินของสกุลจ้าวหรือว่าเพื่ออย่างอื่น หากจะบอกว่าไม่มีคนลงมือ สวี่ตี้ย่อมไม่มีทางเชื่อ ถึงแม้ตอนนี้ครอบครัวของพวกเขาทั้งสี่คนจะออกมาจากที่จวนนั่นแล้ว ก็ยังพูดได้ไม่เต็มปากว่าปลอดภัยแล้ว หากอยากจะให้ผู้อื่นหวาดกลัวจะต้องเพิ่มความสามารถของตนเองให้มากขึ้นเสียก่อน เมื่อมีความสามารถมากพอแล้วถึงแม้ผู้อื่นอยากจะลงมือก็ต้องพิจารณาให้ถี่ถ้วนเสียก่อน สวี่ตี้คิดว่าตอนนี้เื่ที่ต้องทำมากที่สุดก็คือการพัฒนาตนเอง จะพัฒนาอย่างไรนั้นก็ต้องดูว่าตนเองสามารถทำสิ่งใดได้บ้าง
สวี่ตี้หย่อนเมล็ดลงไปในกล่องไม้ ในใจก็พลางคิดถึงเื่นี้ไปด้วย ยุ่งอยู่ครึ่งบ่ายก็สามารถจัดการเื่ที่ทำอยู่ให้มีความคืบหน้าได้พอสมควรแล้ว จากนั้นเขาก็ไปที่เรือนหน้า
จางจ้าวฉือที่อยู่เรือนหน้ากำลังสนทนากับแม่นมลู่เื่ที่ฮูหยินของอาลักษณ์หลี่เชิญตนเองและลูกทั้งสองคนไปชมดอกไม้ที่เรือนของพวกเขา
บุรุษเดินหน้าต่อสู้นอกเรือน ในเรือนก็ต้องมีสตรีที่สามารถช่วยประคับประคองคนในเรือนได้ สตรีผู้นี้ไม่ใช่แค่จัดการเื่ต่างๆ ภายในเรือนได้ดี ยังต้องสานสัมพันธ์กับภรรยาของเพื่อนร่วมงานของสามีได้อีกด้วย มีบางครั้งความสัมพันธ์ระหว่างบุรุษสองคนก็สามารถสร้างความสัมพันธ์อันดีของสตรีสองนางให้เกิดขึ้นได้
เดิมจางจ้าวฉือรำคาญเื่พวกนี้เป็อย่างมาก นางเป็คนที่ไม่ถนัดเื่การใช้กลยุทธ์ ที่กลัวมากที่สุดก็คือเื่ยุ่งยากซับซ้อน เวลาหนึ่งปีกว่า วันๆ นางใช้เวลาที่จวนแม่ทัพเป็ส่วนใหญ่ อยู่ที่นั่นนางหาความสุขจริงๆ ของตนเองเจอ การที่ได้ใช้ความเชี่ยวชาญของตนเองอีกครั้ง นางดีใจจนตอนกลางคืนนอนไม่หลับ สุดท้ายก็ยังเป็แม่นมลู่ที่โน้มน้าวนาง ว่านางยังเป็ฮูหยินของผู้นำเขต อีกทั้งยังเป็มารดาของบุตรทั้งสองคนอีกด้วย ผู้นำสวี่้าให้นางผูกสัมพันธ์กับฮูหยินของผู้นำคนอื่นๆ เด็กๆ ทั้งสองคนเองก็ต้องให้มารดาเลี้ยงด้วยตนเอง ทั้งยังต้องพาไปรู้จักสหายรุ่นเดียวกัน แลกเปลี่ยนผ้าเช็ดหน้า เส้นทางชีวิตของบุตรธิดายังอีกยาวไกล การทำความรู้จักสหายได้นั้นย่อมเป็เื่ดี
เชิงอรรถ
[1] หุนทุน (馄饨 húntun) หรือ หุนตุ้น (馄炖 húndùn) ใช้แป้งห่อรูปสี่เหลี่ยมมีทั้งอย่างหนาและอย่างบาง แป้งแผ่นหนาใช้ห่อหุนทุนชนิดใหญ่ (大馄饨 ต้าหุนทุน) แผ่นบางใช้ห่อหุนทุนชนิดเล็ก (小馄饨 เสี่ยวหุนทุน) ซึ่งก็คือเกี๊ยวบ้านเรานั่นเอง ปกติจานหุนทุนมักจะเสิร์ฟชนิดซุปแบบน้ำ ไม่ค่อยมีแห้งหรือทอดอย่างเจียวจื่อ (饺子 jiǎozi) และเสี่ยวหุนทุนมักจะมีอยู่ไส้เดียวคือห่อไส้หมูสับ แต่ต้าหุนทุน จะมีไส้ชนิดต่างๆ ให้เลือกมากขึ้น ทั้งไส้หมูผสมผัก ไส้ผักกาดขาวผสมเห็ด ไส้แครอทข้าวโพด ไส้กะหล่ำปลี ฯลฯ โดยจะเลือกผักแต่ละฤดูนำมาปรุงให้หลากหลาย
[2] จิ๊กโฉ่ว (吃醋 chīcù) ซอสเปรี๊ยว
[3] ฮวาเจียว (花椒 Huājiāo) หรือพริกไทยเสฉวน มีต้นกำเนิดมาจากมณฑลเสฉวน ในประเทศจีน เป็พืชตระกูลส้มมีลักษณะเป็พวงคล้ายพริกไทย ผิวขรุขระคล้ายมะกรูดลูกเล็กๆ ติดๆ กัน มีกลิ่นหอมแรงและรสเผ็ดชาลิ้นที่เป็เอกลักษณ์