ดวงอาทิตย์ส่องแสงแผดเผาอยู่บนศีรษะร่วมกับดวงจันทร์ที่สว่างไสวอยู่บนท้องฟ้า
เมื่อทุกคนเห็นว่าดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าเหนือเมืองหลวงของแคว้นเหยียนหลงพร้อมกัน มันจึงเป็ไปได้ยากที่ทุกคนจะไม่ให้ความสนใจ แม้แต่คนธรรมดาก็ถูกดึงดูดความสนใจจนวางงานที่ทำอยู่ในมือลงและมองดูปรากฏการณ์นี้ ปรมาจารย์ด้านการวาดภาพหลายคนถึงกับหยิบพู่กันและกระดาษออกมาเพื่อบรรยายฉากอันงดงามนี้ส่งต่อให้คนรุ่นหลัง
ในขณะเดียวกันปรมาจารย์มากฝีมือก็ปรากฏกายขึ้นเพื่อมามองเหตุการณ์นี้เช่นกัน
ไม่ว่าจะเป็สาวงามทั้งสี่ เผ่าัผู้แข็งแกร่ง ผู้แข็งแกร่งลำดับต้นๆ จากสำนักอวี้ติงเจินเหริน หรือผู้คนที่มาถึงแล้วแต่ซ่อนตัวอยู่ในความมืด พวกเขาทั้งหมดปรากฏตัวอยู่ทั้งบนพื้นดินและบนท้องฟ้า
พวกเขาเองก็ถูกเหตุการณ์นี้ดึงดูดความสนใจเช่นกัน
“ท่านนายพลโต่วไห่คิดเห็นว่าอย่างไร?” หลงเยียนหรันองค์หญิงสามของเผ่าัจ้องมองเหตุการณ์ที่แปลกประหลาดนี้ ด้วยพร์ในวรยุทธ์และความรอบรู้อันน่าทึ่งของนางทำให้นางััได้ถึงบางสิ่งอย่างที่คลุมเครือ แต่นางก็ไม่สามารถระบุได้ว่ามันคืออะไร
นายพลทั้งสี่แห่งเผ่าัถือได้ว่าเป็บุคคลหลักที่รับผิดชอบในการจัดการกับเื่ต่างๆ ของผู้ฝึกวรยุทธ์ที่มีพลังต่ำกว่าระดับทลายยุทธ์
แต่พวกเขาก็ยังอยู่ภายใต้คำสั่งของหลงเยียนหรัน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าสถานะของหลงเยียนหรันในเผ่าันั้นสูงส่งมาก
“กระหม่อมคิดว่าหลัวเลี่ยน่าจะกำลังทำความเข้าใจพลังหยินจากดวงจันทร์พ่ะย่ะค่ะ” หลงโต่วไห่ตอบ
“พลังหยินจากดวงจันทร์?” หลงเยียนหรันขมวดคิ้ว “ในพลังวรยุทธ์ระดับหยินหยางนั้น หยินมาจากดวงจันทร์ แต่หลัวเลี่ยที่ฝึกฝนเคล็ดวิชาจักรพรรดิฟ้าแดนประจิมย่อมรู้เื่นี้ั้แ่แรกอยู่แล้ว นอกจากนี้แม้ว่าเคล็ดวิชาจักรพรรดิฟ้าแดนประจิมจะเป็เคล็ดวิชาที่แข็งแกร่งที่สุดในระดับหยินหยางแต่มันก็ไม่ใช่เคล็ดวิชาที่มีเนื้อหาเื่ความสมดุลของหยินหยางอย่างสมบูรณ์และดูเหมือนว่าสุดท้ายมันจะเอนเอียงไปทางหยางด้วยซ้ำ แล้วเหตุใดหลัวเลี่ยจึงมุ่งเน้นฝึกฝนไปทางหยินจากดวงจันทร์เล่า”
หลงโต่วไห่ส่ายหัว “ข้าไม่แน่ใจ”
หนึ่งในสี่นายพลแห่งเผ่าัผู้ยิ่งใหญ่ที่ยืนอยู่ข้างๆ หลงโต่วไห่เอ่ยเสียงเบาว่า “หรือว่าเขาจะชำระล้างตัวเองขึ้นมาใหม่”
หลงโต่วไห่พยักหน้า “อาจเป็ไปได้ ตอนที่หลัวเลี่ยต่อสู้กับไก้อู๋ซวงครั้งก่อน พวกเขาก็มีพลังสูสีกัน แต่สิ่งที่ไก้อู๋ซวงด้อยกว่าหลัวเลี่ยก็คือพละกำลังและความอดทนต่อการถูกโจมตี และการเกิดใหม่ของไก้อู๋ซวงในครั้งนี้ต้องทำให้นางเปลี่ยนแปลงไปมากแน่ๆ นางจะต้องเปลี่ยนจุดอ่อนมาเป็ข้อได้เปรียบอย่างแน่นอน ดังนั้นหากหลัวเลี่ยอยากจะชนะ เขาก็ต้องไปเอาดีด้านอื่นแทน”
“เห็นได้ชัดว่าด้านพลังวรยุทธ์และด้านอาวุธย่อมเป็ไปไม่ได้ เพราะไก้อู๋ซวงเป็ศิษย์ของอู๋อวิ๋นเซียน เห็นได้ชัดว่านางจะต้องเป็ฝ่ายได้เปรียบในด้านที่พูดมานี้อย่างแน่นอน ดังนั้นหลัวเลี่ยก็จะต้องวนกลับมาในด้านพละกำลังอีกครั้ง”
“ก็พอจะเข้าใจได้”
ทุกคนในเผ่าัที่เฝ้าดูจากระยะไกลต่างให้ความสนใจ
มีเพียงหลงเยียนหรันเท่านั้นที่จ้องมองหลัวเลี่ยอย่างไม่ละสายตา ไม่รู้ว่าทำไมนางมักจะมีความรู้สึกคุ้นเคยแปลกๆ เกิดขึ้น ทั้งๆ ที่ครั้งนี้ถือว่าเป็ครั้งแรกที่นางได้เห็นหลัวเลี่ย
คนอื่นๆ ก็คาดเดาเหตุการณ์แปลกประหลาดนี้อย่างออกรสเช่นกัน
เปรี๊ยะ!
ราวกับว่ามีคนไม่้าให้หลัวเลี่ยถูกสนใจ เพราะทันใดนั้นจู่ๆ ไข่ัที่อยู่บนแท่นเหยียนซินก็เริ่มส่งเสียงปริแตกออกมา
สายตาของทุกคนต่างจับจ้องไปที่เสียงร้าวนั้น
พวกเขาเห็นว่าที่เปลือกไข่มีรอยรูแตกปรากฏขึ้นสองรูคู่กัน จากนั้นเสียงแปลกๆ ของไก้อู๋ซวงก็ดังออกมาจากรูนั้น
เมื่อมีเสียงดังเล็ดลอดออกมาจากไข่ั ดวงอาทิตย์ที่ร้อนแรงแผดเผาอยู่ก็เหมือนจะถูกกระตุ้นและแผ่ไอร้อนเพิ่มมากขึ้นอย่างน่าประหลาด แสงจากดวงอาทิตย์ส่องสว่างครอบคลุมไปทั่วทั้งเมืองหลวงของแคว้นเหยียนหลงอย่างสว่างไสว
สิ่งที่มหัศจรรย์ที่สุดคือมีเงาของัปรากฏขึ้นอย่างเลือนรางที่พื้นผิวของดวงอาทิตย์
เมื่อผู้คนเฝ้าดูอย่างระแวดระวัง พวกเขาก็พบว่าแท้จริงแล้วมันคือรูปัสองตัวที่เล่นไข่มุกอยู่ ซึ่งเป็ภาพที่เหมือนกับรูบนไข่ัทุกประการ
บนดวงอาทิตย์ที่แผดเผามีัทั้งสองเล่นไข่มุก และไข่มุกเม็ดนั้นก็ดูดซับพลังของดวงอาทิตย์แล้วส่งเป็ลูกไฟไปยังไข่ั ทำให้ไข่ัเปล่งประกายสว่างไสว เห็นได้ชัดว่าไก้อู๋ซวงที่อยู่ภายในไข่ัก็ได้ดูดซับแก่นพลังของดวงอาทิตย์เพื่อนำไปหล่อเลี้ยงตัวเองด้วย
“ไก้อู๋ซวงกำลังเปลี่ยนร่างใหม่จริงๆ ด้วย”
“นางอาศัยใช้แก่นพลังดวงอาทิตย์ชำระล้างร่างกายของตัวเองเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่ง”
“สมกับที่ได้กำเนิดมาจากธรรมชาติและเป็ศิษย์สายตรงของบรรพชน นางไม่ธรรมดาจริงๆ เกรงว่าการเกิดใหม่ด้วยวิธีนี้อาจทำให้นางมีพื้นฐานที่แข็งแกร่งมากกว่าเดิมก็เป็ได้”
ทุกคนอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงกับวิธีของไก้อู๋ซวง
นางใช้แก่นพลังจากดวงอาทิตย์โดยตรง
และเมื่อทุกคนมองไปที่หลัวเลี่ยอีกครั้งก็พบว่าเขากำลังดูดซับแก่นพลังจากจันทร์เต็มดวงอยู่ ทั้งไก้อู๋ซวงและหลัวเลี่ยมีวิธีการที่คล้ายคลึงกัน แต่สิ่งที่แตกต่างกันก็คือวิธีของไก้อู๋ซวงจะร้อนแรงและบ้าคลั่งมากกว่า ส่วนวิธีของหลัวเลี่ยจะค่อนข้างสงบและเรียบนิ่ง
ไก้อู๋ซวงที่อยู่ภายในไข่ัลืมตาขึ้นช้าๆ เผยให้ทุกคนเห็นแววตาอันน่ากลัวของนาง
ไก้อู๋ซวงจ้องมองไปที่หลัวเลี่ยอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นที่บริเวณมือทั้งสองข้างของนางก็ค่อยๆ ลอกคราบออกมาเพื่อพัฒนาพลังของตัวเอง เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นพร้อมๆ กับที่เปลือกไข่เกิดแสงสว่างทอประกายเข้มขึ้นเรื่อยๆ ร่วมกับแสงอาทิตย์ที่สาดส่องลงมามากขึ้น
เมื่อเวลาผ่านไปเปลวเพลิงจากดวงอาทิตย์ก็ทวีความรุนแรงมากขึ้นจนแผ่รัศมีออกมานอกเปลือกไข่ มันค่อยๆ แผ่กว้างและลุกลามออกมาจนคนจากกลุ่มเต่าสุพรรณต้องรีบกระจายกำลังเข้าควบคุมสถานการณ์อย่างรวดเร็ว ทุกแห่งที่อยู่ใกล้ๆ บริเวณไข่ัล้วนมีร่องรอยการลุกไหม้ของเปลวเพลิงอยู่
นอกจากนี้ยังมีลูกไฟขนาดใหญ่พุ่งเข้าหาหลัวเลี่ยอีกด้วย
หลัวเลี่ยที่นั่งอยู่เหนือหมอกก็มีปฏิกิริยาตอบสนองที่แข็งแกร่งมากเช่นกัน ตอนแรกเขากำลังสร้างเคล็ดวิชาจักรพรรดิฟ้าแดนประจิมโดยอาศัยระฆังจันทราซึ่งเป็หนึ่งในเก้าส่วนของระฆังจักรพรรดิประจิมอยู่ นอกจากนี้เขายังมีความรู้ลับๆ ที่เกี่ยวกับจักรพรรดิประจิมไท่อีอยู่ในความทรงจำด้วย แน่นอนว่าคุณสมบัติทั้งหมดที่กล่าวมาคงพอจะทำให้หลัวเลี่ยกลายเป็บุคคลที่น่าอิจฉาและมีความพิเศษมาก
สิ่งที่พิเศษคือดูเหมือนว่าหลัวเลี่ยจะเรียนรู้วิชายุทธ์ของผู้อื่นได้
ยกตัวอย่างคือในตอนที่บางคนมีพละกำลังไม่ถึงขั้นและทำได้เพียงไปฝึกฝนเคล็ดวิชาที่ไม่ใช่อันดับต้นๆ เพื่อเปลี่ยนแปลงพลังของตนเอง ดังนั้นเมื่อพวกเขาทำการเพิ่มพลังขึ้นมาแล้ว หลัวเลี่ยก็จะสังเกตและเริ่มจดจำนำมาคิดและปรับให้เข้ากับเคล็ดวิชาที่เขาสร้างขึ้นเอง
ความสามารถนี้ทำให้หลัวเลี่ยรู้สึกว่าเขาไม่ใช่คนที่สร้างเคล็ดวิชา แต่เป็จิตสำนึกของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ต่างหากที่กำลังทำอยู่ ซึ่งเื่นี้ก็ช่างลึกลับซับซ้อนเกินไปจริงๆ
และในตอนที่ไก้อู๋ซวงกำลังโจมตีหลัวเลี่ยด้วยลูกไฟ หลัวเลี่ยก็รู้สึกได้ถึงพลังอันเบาบางบางอย่างเช่นกัน
“เคล็ดวิชานิพพานเป็ตายของไก้อู๋ซวงหรือ?”
หัวใจของหลัวเลี่ยกระตุกด้วยความตกตะลึง
เคล็ดวิชานิพพานเป็ตายนี้แม้ว่าจะไม่มีความร้ายกาจเท่าเคล็ดวิชาจักรพรรดิฟ้าแดนประจิม แต่มันก็มีความสามารถอย่างอื่นที่เป็เอกลักษณ์ เช่น การฟื้นคืนจากความตาย ซึ่งความสามารถนี้ก็เป็สิ่งที่วิเศษมาก
หลัวเลี่ยจับความรู้สึกถึงพลังในเคล็ดวิชานิพพานเป็ตายนี้ได้และเขาก็ได้นำมันมารวมเข้ากับเคล็ดวิชาที่เขาสร้างขึ้นโดยไม่รู้ตัว
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หลัวเลี่ยกลับ้าให้ไก้อู๋ซวงกดดันเขาให้มากที่สุดและปล่อยให้เขาเรียนรู้ให้ได้มากที่สุด เพื่อที่เขาจะได้นำมันมาพัฒนาตัวเองและพัฒนาเคล็ดวิชาของตัวเองมากขึ้น
แน่นอนว่าไก้อู๋ซวงไม่รู้เื่นี้ นางแค่้าทำให้หลัวเลี่ยทนทุกข์ทรมานและทำให้เขารู้ว่านี่คือราคาของการที่เขามายั่วโมโหนางและทำให้นางตาย ดังนั้นนางจึงลงมืออย่างดุเดือด
ทันใดนั้นจู่ๆ เปลวไฟที่โหมกระหน่ำก็ส่งผลกระทบต่อดวงจันทร์ที่สว่างไสวเหนือศีรษะของหลัวเลี่ยจนทำให้มันตกลงมาที่บริเวณด้านหลังของหลัวเลี่ย
แน่นอนว่าดวงจันทร์ที่สว่างไสวบนท้องฟ้าดวงนี้ไม่ใช่ดวงจันทร์จริงๆ แต่เป็ปรากฏการณ์พิเศษที่เกิดขึ้นมาจากหลัวเลี่ย แต่ถึงกระนั้นเมื่อดวงจันทร์ดวงนี้ตกลงมาที่ข้างหลังหลัวเลี่ยแล้ว มันก็ส่งผลให้ไก้อู๋ซวงรู้สึกบางอย่างและทันใดนั้นดวงอาทิตย์ที่มอบพลังให้นางก็ตกลงมาอยู่ด้านหลังของนางเช่นกัน
คนทั้งสองดูเหมือนเป็ตัวแทนของดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ที่สว่างไสว พวกเขาหันหน้าเข้าหากันราวกับเป็หยินและหยางที่อยู่คู่กัน
ฉากดังกล่าวนี้ส่งผลให้แม้แต่ดวงตาของปรมาจารย์ผู้เฒ่าหลายคนก็ยังเปล่งประกายเป็ความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้
เป็ความจริงที่หลัวเลี่ยและไก้อู๋ซวงต่างมีความรู้ในระดับที่ลึกมาก การกระทำของพวกเขาได้ไปกระตุ้นให้ปรมาจารย์หลายคนเริ่มสังเกตวิธีการของพวกเขา
สัญชาตญาณของหลัวเลี่ยก็แข็งแกร่งยิ่งขึ้นเช่นกัน
หลัวเลี่ยรู้สึกราวกับว่าิญญาของเขาได้ออกจากร่าง เขาออกมามองดูทุกสิ่งจากบนที่สูง
ร่องรอยของความรู้พื้นฐานที่เบาบางนำมาสู่ความรู้ใหม่
หากมีหยินเพียงสิ่งเดียวย่อมไม่ก้าวหน้า หากมีหยางเพียงสิ่งเดียวย่อมไม่เติบโต เมื่อหยินและหยางผสมผสานกันจึงจะเป็หนทางสู่ระดับบรรพชน
แิของเคล็ดวิชานี้หลัวเลี่ยได้อนุมานขึ้นในใจตามการเกิดขึ้นของธรรมชาติ
สิ่งนี้คือเคล็ดวิชาเต๋านับอนันต์