“หานหมาน แม่ทัพเหล่านี้แข็งแกร่งหรือไม่?” หลินเฟิงกล่าวถาม เขา้ารู้ถึงศักยภาพของกองทัพ วิธีที่ดีที่สุดก็คือการทำความเข้าใจในความแข็งแกร่งของผู้บัญชาการ
“ทหารยศธรรมดาล้วนอยู่ขอบเขตนักรบลมปราณ หัวหน้าทหารรักษาการณ์ ทั่วๆ ไปแล้วล้วนอยู่จุดสูงสุดของขอบเขตนักรบลมปราณ และผู้บังคับกองร้อยจำเป็ต้องอยู่ระดับขอบเขตแห่งจิติญญาถึงจะสามารถอยู่ในตำแหน่งนี้ได้ ส่วนผู้บังคับกองพันก็จะเข้มงวดกว่า อย่างน้อยต้องมีการบ่มเพาะระดับขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 3 ขึ้นไป รองแม่ทัพนั้นระดับการบ่มเพาะที่ต่ำที่สุดล้วนอยู่ในขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 6 ส่วนสามแม่ทัพ คนแรกอยู่ขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 8 ส่วนอีกสองคนอยู่ขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 9 เพียงอีกก้าวเดียวก็จะสามารถทะลวงขอบเขตลี้ลับได้แล้ว พวกเขาแข็งแกร่งมาก”
หานหมานอธิบายให้หลินเฟิงฟัง ความแข็งแกร่งเป็สิ่งสำคัญที่สุดในโลกใบนี้ โดยเฉพาะในกองทัพความแข็งแกร่งจะทำให้เหล่าทหารปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด แม้แต่ในสนามรบหากปราศจากความแข็งแกร่งก็จะถูกสังหารได้ง่ายดาย
“พี่เฟิง กองทหารม้าโลหิตของพวกข้านั้นอิสระ แม้จำนวนจะไม่มากเมื่อเทียบกับกองทัพอื่น แต่ค่าเฉลี่ยความแข็งแกร่งนั้นทรงพลังยิ่งกว่ากองกำลังทหารสามกองทัพ นอกจากนี้ผู้บัญชาการทหารม้าโลหิตก็มีการบ่มเพาะอยู่ในระดับขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 9 ว่ากันว่าไม่ช้าก็เร็วจะสามารถทะลวงขอบเขตลี้ลับได้”
หานหมานกล่าวเสริม แน่นอนว่าหลินเฟิงเข้าใจดี ทหารม้าโลหิตสำหรับหลิ่วชั่งหลันถือว่าเป็ไพ่ตาย จะไม่แข็งแกร่งได้อย่างไรกัน
แม้แต่ชุดเกราะของทหารม้าโลหิตก็ยังไม่เหมือนกับสามกองกำลังทหาร ชุดเกราะสร้างมาจากโลหะสีทองมีการป้องกันที่แข็งแกร่ง เมื่อมีแสงสะท้อนกับชุดเกราะมันจะเปล่งประกายไปด้วยแสงสีเื ซึ่งดูน่าเกรงขามอย่างมาก ตอนนี้หานหมานและพั่วจวินก็สวมชุดเกราะดังกล่าว ทำให้ผู้คนที่เห็นต่างต้องหวั่นเกรง แค่เหลือบมองไปก็ราวกับว่าสร้างแรงกดดันและความหวาดกลัวให้กับผู้อื่นได้
“พี่เฟิง ท่านไม่ลองไปขอให้ท่านแม่ทัพมอบตำแหน่งผู้บังคับกองพันให้กับท่านดูล่ะ พวกเราสามคนจะได้ต่อสู้กับเหล่าศัตรูด้วยกัน”
ภายในใจของหานหมานเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น เดิมทีเจตนาของหลินเฟิงมาเพื่อต่อสู้กับศัตรู หากพี่น้องสามารถสู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่ได้ นั่นย่อมสร้างแรงบันดาลใจได้มาก
“ค่อยลองดู” หลินเฟิงเชื่อว่าหากเขาเอ่ยปากไป หลิ่วชั่งหลันจะต้องมอบตำแหน่งผู้บังคับกองพันให้เขาแน่นอน แต่ว่าตามที่หานหมานเอ่ยมานั้น ตำแหน่งของเขาจะต้องอาศัยความแข็งแกร่งในการสู้รบ หากหลิ่วชั่งหลันมอบตำแหน่งแม่ทัพให้แก่เขา มันคงยากที่จะหลีกเลี่ยงความไม่พอใจของเหล่าทหารได้ ซึ่งมันส่งผลกระทบต่อขวัญและกำลังใจของเหล่าทหาร นี่เป็สิ่งที่หลินเฟิงไม่อาจยอมรับได้
“เสี่ยวเฟิง”
ในขณะนั้นได้มีร่างเงากลุ่มหนึ่งกำลังเดินมาอยู่ไม่ไกล ร่างเงานั้นมีทั้งหมดห้าคน หนึ่งในนั้นก็คือหลิ่วชั่งหลัน
เมื่อเห็นเ้าของร่างเงาทั้งห้าแล้ว หานหมานและพั่วจวินยืนตรงอย่างฉับพลัน และโค้งตัวเล็กน้อยทำความเคารพ “ท่านแม่ทัพ! ผู้บังคับบัญชา!”
“อืม” หลิ่วชั่งหลันพยักหน้าเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “หานหมาน พั่วจวิน พวกเ้าสองคนออกไปก่อน”
“ขอรับ ท่านแม่ทัพ!”
หานหมานและพั่วจวินต่างเหลือบมองหลินเฟิงด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า จากนั้นพวกเขาก็ออกไป
“เสี่ยวเฟิง เข้ามาในกระโจมก่อน”
หลิ่วชั่งหลันกล่าวกับหลินเฟิง จากนั้นหลิ่วชั่งหลันและอีกสี่คนที่เหลือก็เดินเข้าไปในกระโจม แล้วหลินเฟิงก็เดินตามไปท้ายสุด
ภายในกระโจม หลิ่วชั่งหลันและอีก 4 คนต่างคนต่างนั่งลง พวกเขาจ้องมองหลินเฟิงที่ยืนอยู่กลางกระโจม ในขณะเดียวกันหลินเฟิงก็มองพวกเขากลับเช่นกัน
หลินเฟิงมองไปยัง 2 คนที่อยู่ข้างหลิ่วชั่งหลัน พวกเขาสวมเสื้อเกราะสีดำและสีทอง ส่วนอีก 2 คนที่เหลือสวมเสื้อเกราะสีเงิน
นอกจากนี้สายตาของทั้งสี่แหลมคมราวกับมีกระแสไฟฟ้าวาบผ่าน และร่างกายก็เปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายอันน่าเกรงขาม แค่นั่งอยู่ตรงนั้นเงียบๆ ก็ทำให้หลินเฟิงรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายของเืได้แล้ว
“เสี่ยวเฟิง นี่คือจิวชื่อเซวี่ยเป็ผู้บัญชาการทหารม้าโลหิต ตรงกลางคือผู้บัญชาการเริ่นชิงขวัง ด้านซ้ายคือผู้บัญชาการเฟิงยวี่ห่าน และด้านขวาคือผู้บัญชาการเหล่ยฉิงเทียน”
หลิ่วชั่งหลันแนะนำทุกคนให้หลินเฟิงรู้จัก จิวชื่อเซวี่ยคือผู้บัญชาการทหารม้าโลหิต ตรงกลางคือเริ่นชิงขวัง ส่วนฝ่ายซ้ายและขวาคือเฟิงยวี่ห่านและเหล่ยฉิงเทียน
หลิ่วชั่งหลันได้แต่งตั้งทั้งสี่คนนี้เป็ผู้นำกองกำลังทหารขนาดใหญ่ กองกำลังหนึ่งมีทหารถึงสามแสนนาย
“หลินเฟิง ขอคำนับผู้บัญชาการจิว ผู้บัญชาการเริ่น ผู้บัญชาการเฟิง และผู้บัญชาการเหล่ย”
หลินเฟิงโค้งคำนับให้ทั้งสี่คนนี้เล็กน้อย แต่ภายในใจของเขายังคงสงสัย ทำไมท่านลุงหลิ่วถึงพาผู้บัญชาการทั้งสี่คนมาที่นี่และแนะนำให้หลินเฟิงรู้จัก
นอกจากนี้เมื่อครู่หลิ่วชั่งหลันได้จากไป แต่กลับมาพร้อมกับผู้บัญชาการทั้งสี่คน นี่เป็เจตตนา ไม่ใช่เื่บังเอิญแน่นอน
“นี่คือหลินเฟิงที่ข้าเคยบอกกับพวกเ้า เขาเป็คนรักของเฟยเฟย และจะเป็ลูกเขยในอนาคตของข้า”
หลิ่วชั่งหลันกล่าวกับผู้บัญชาการทั้งสี่ สิ่งที่หลิ่วชั่งหลันเอ่ยมาทำให้หลินเฟิงใมาก คาดไม่ถึงว่าหลิ่วชั่งหลันจะประกาศว่าหลินเฟิงและหลิ่วเฟยเป็คนรักกัน นอกจากนี้ยังบอกว่าหลินเฟิงเป็ลูกเขยของเขา
ถึงแม้หลินเฟิงจะทราบดีว่าหลิ่วชั่งหลันจงใจจับคู่หลินเฟิงกับหลิ่วเฟย แต่ถึงอย่างไรหลินเฟิงกับหลิ่วเฟยก็ยังคงเป็เพียงมิตรสหาย ไม่ได้มีความสัมพันธ์ใดๆ การที่หลิ่วชั่งหลันทำถึงขนาดนี้ มันทำให้หลินเฟิงใมาก และในเมื่อหลิ่วชั่งหลันเอ่ยมาเช่นนี้ เขาก็ไม่ได้โต้แย้งใดๆ ได้แต่จำใจยอมรับมัน
“ข้าอยากเห็นจริงๆ ว่าผู้ชายที่ทำให้หลิ่วเฟยตกหลุมรักได้เป็อย่างไรกัน”
ผู้บัญชาการฝ่ายซ้ายเหล่ยฉิงเทียนยืนขึ้นและเดินตรงไปหาหลินเฟิง ขณะเดียวกันก็ปลดปล่อยลมปราณมุ่งไปที่หลินเฟิง
มันเป็ปราณที่เดือดพล่าน เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเืและความตาย ในตอนนี้เองหลินเฟิงก็รู้สึกได้ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าตัวเองนั้นไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็เครื่องจักรสังหาร มือของเขาเปื้อนไปด้วยเืของศัตรูมากมาย
“ช่างน่ากลัวอะไรขนาดนี้”
หลินเฟิงยังคงยืนหยัดอยู่ตรงนั้น แต่ก็ไม่เป็ผล ลมปราณที่บ้าคลั่งนี้มันเพียงพอที่จะส่งผลกระทบต่อจิตใจมนุษย์ได้ หากจิตใจไม่แข็งแกร่งพอเกรงว่าลมปราณนี้จะทำให้ได้รับาเ็สาหัสเอาได้
เพียงลมปราณของผู้บัญชาการคนนี้ก็น่าหวาดกลัวมากแล้ว หลินเฟิงไม่กล้าคิดเลยว่าเขาสังหารผู้คนมามากเท่าไรแล้ว
“หืม?”
เมื่อเหล่ยฉิงเทียนเห็นแววตาของหลินเฟิงยังคงสงบนิ่ง เขาจึงเผยแววตาสนใจออกมาและก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ก็มาถึงด้านหน้าของหลินเฟิงที่อยู่ห่างถึงสามเมตรได้ ั์ตาสีแดงก่ำจดจ้องหลินเฟิงราวกับดวงตาของปีศาจ
สีหน้าของหลินเฟิงยังไม่เปลี่ยนไป เขามองั์คู่นั้นอย่างเฉยเมย เนื่องจากจิตใจของเขาในตอนนี้แข็งแกร่งมาก สายตาคู่นี้และลมปราณที่น่ากลัวจึงไม่อาจส่งผลกระทบต่อหลินเฟงได้ง่ายนัก
ทันใดนั้นหลินเฟิงก็ปลดปล่อยเจตจำนงการต่อสู้ที่หนาแน่นออกมา แม้ว่ามันจะไม่ได้น่าหวาดกลัวเหมือนลมปราณของเหล่ยฉิงเทียน แต่ก็ส่งกลิ่นอายของความตายอันหนาวเหน็บออกมา
“ตูม!”
หลินเฟิงไม่คิดถอยหลังแต่อย่างใด เขาก้าวเข้าไปหาเหล่ยฉิงเทียนหนึ่งก้าว ตอนนี้ระยะระหว่างหลินเฟิงกับเหล่ยฉิงเทียนห่างกันเพียงสองก้าว พวกเขาจ้องตากันอย่างดุเดือดจนเกิดสายลมปะทะกันกลางอากาศ ทำให้ผมยาวของหลินเฟิงต้องปลิวไสวไปตามสายลม
ฉากนี้เกิดขึ้นเป็เวลา 10 วินาที จากนั้นลมปราณของเหล่ยฉิงเทียนที่ปล่อยออกมาเริ่มมลายหายไป ที่มุมปากของเขาเผยรอยยิ้มออกมา
“ไม่เลว เมื่อเผชิญหน้ากับลมปราณของข้าไม่เพียงแต่ไม่กลัวและไม่คิดหนีเท่านั้น คาดไม่ถึงว่าจะกล้าก้าวมาข้างหน้าหนึ่งก้าวอย่างกล้าหาญ ข้าชักถูกใจเ้าเด็กนี่แล้วสิ”
เหล่ยฉิงเทียนยิ้มอย่างเบิกบานและตบไหล่หลินเฟิงเต็มแรง ทำให้หลินเฟิงถึงกับตะลึงในพละกำลังมหาศาลของเขา
“สมแล้วที่เป็คนรักของเฟยเฟย อายุยังน้อยแต่มีการบ่มเพาะระดับขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 5 แล้ว” ผู้บัญชาการฝ่ายซ้ายเฟิงยวี่ห่านพยักหน้าขณะยิ้ม เมื่อเทียบกับเหล่ยฉิงเทียนแล้ว รอยยิ้มของเฟิงยวี่ห่านดูอ่อนโยนกว่ามาก
บรรยากาศอึมครึมภายในกระโจมพลันสลายไปทั้งหมด
“หากข้าเข้าใจไม่ผิด การบ่มเพาะอยู่ระดับขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 6 ใช่หรือไม่?”
ผู้บัญชาการฝ่ายกลางเริ่นชิงขวังยิ้ม หลินเฟิงหยักหน้าเล็กน้อยและกล่าวว่า “ผู้บัญชาการเริ่น ถูกต้องแล้วขอรับ ข้าอยู่ขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 6”
“อายุยังไม่ครบ 18 ปีบริบูรณ์ แต่การบ่มเพาะกลับแข็งแกร่งกว่าพวกข้าเหล่าผู้าุโเสียอีก อนาคตยังอีกยาวไกล แต่น่าเสียดายที่คุณสมบัติของเ้ามันยังไม่สามารถอยู่ในกองกำลังทหารได้เป็เวลานานนัก”
น้ำเสียงของเริ่นชิงขวังเต็มไปด้วยความเสียดาย ส่วนใหญ่คนรุ่นเยาว์ที่มีพร์อันน่าทึ่งล้วนไม่อยากเป็ทหาร แต่มุ่งมั่นแสวงหาในเส้นทางแห่งนักรบ แม้จะเป็ทหาร ในสนามรบแล้วก็ยังต้องฝึกฝนตัวเอง ััประสบการณ์อันตรายกับความเป็ตาย และหาโอกาสพัฒนาตัวเองให้ก้าวหน้า คนเหล่านี้มักอยู่ในกองทัพได้ไม่นาน พอแสวงหาประสบการณ์เสร็จสิ้นพวกเขาก็จะจากไป
คนที่เหมือนกับหลิ่วชั่งหลันนั้นมีน้อยมาก นอกจากนี้หลิ่วชั่งหลันยังเป็แม่ทัพ มันมีความกดดันและเื่หยุมหยิมมากเกินไป จึงไปหน่วงเหนี่ยวพร์เอาไว้ แต่เพราะเื่เหล่านี้เอง จึงทำให้ความแข็งแกร่งของหลิ่วชั่งหลันเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
การเป็แม่ทัพจะมีประสบการณ์ที่แตกต่างกัน การหาประสบการณ์นั้นจำเป็ต้องแสวงหาความแข็งแกร่งไม่หยุดหย่อน แต่การเป็แม่ทัพต้องสามารถควบคุมผู้บัญชาการและทหารได้
พร์ของหลินเฟิงดูเหมือนจะน่าหวาดกลัวกว่าหลิ่วชั่งหลัน ซึ่งแน่นอนว่าเขาไม่สามารถอยู่ในกองทัพได้นานนัก
ผู้บัญชาการทั้งสี่มีเพียงผู้บัญชาการจิวชื่อเซวี่ยที่ไม่เอ่ยอะไรออกมา สีหน้าของเขายังคงเคร่งขรึม ราวกับน้ำแข็งล้านปีที่ไม่สามารถละลายได้
“เอาล่ะ พวกเ้ากลับไปทำหน้าที่ของตัวเองได้แล้ว ส่วนชื่อเซวี่ยอยู่ก่อน”
หลิ่วชั่งหลันกล่าวอย่างไม่แยแส ผู้บังคับบัญชาทั้งสามพยักหน้า จากนั้นก็ก้าวออกจากกระโจมไป
“หลินเฟิง”
ในขณะนั้น จิวชื่อเซวี่ยที่ดูเคร่งขรึมเมื่อครู่ก็เปิดปากและะโเรียกหลินเฟิง
“หืม?”
หลินเฟิงเงยหน้าขึ้นมองจิวชื่อเซวี่ย เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายมีอะไรจะกล่าวกับเขา
“หลินเฟิง ในกองกำลังทหารม้าโลหิต นอกจากข้าที่เป็ผู้บัญชาการ ก็ยังมีอีก 3 คนที่เป็รองผู้บัญชาการ มีผู้บังคับกองพัน 30 คน ผู้บังคับกองร้อย 300 คน และอีก 3,000 คนเป็หัวหน้าทหารสังเกตการณ์ และมีม้าโลหิตทั้งหมด 28,521 ตัว ทหารแต่ละนายล้วนเป็ทหารที่เกรียงไกร แม้กองกำลังทหารม้าโลหิตของข้าจะมีจำนวนน้อยกว่ากองกำลังอื่นๆ แต่หากเกิดา ทหารม้าโลหิตจะต้องได้รับชัยชนะอย่างแน่นอน”
จิวชื่อเซวี่ยกล่าวอย่างเคร่งขรึมและเชื่อมั่นในตัวเอง นอกจากนี้คาดไม่ถึงว่าเขาจะจดจำจำนวนกองกำลังทหารม้าโลหิตได้อย่างแม่นยำเช่นนี้ มันยากมากที่จะจดจำแต่ละตำแหน่งได้ และต้องทราบถึงจำนวนทหารที่ตายในสนามรบ จำนวนมากมายขนาดนี้ช่างยากยิ่งนักที่จะจดจำได้ ทำได้เพียงคาดเดาตัวเลขเท่านั้น
“หลินเฟิง สิ่งเหล่านี้เ้าจดจำได้หรือไม่?” จิวชื่อเซวี่ยกล่าวถามหลินเฟิง จึงทำให้หลินเฟิงประหลาดใจ จดจำหรือ? ทำไมจิวชื่อเซวี่ยต้องให้เขาจดจำกัน?
แต่หลินเฟิงก็ยังพยักหน้าและกล่าวว่า “ข้าจำได้”
“จดจำไว้ก็ดีหลินเฟิง ทหารม้าโลหิตนั้นทุกคนต่างแข็งแกร่ง และยังเป็เหมือนสิ่งล้ำค่า ดังนั้นหลังจากจบศึกรบไม่ว่าจะเป็ศึกใหญ่หรือเล็ก ข้าจะนับจำนวนทหารตลอด เมื่อทำเช่นนี้แล้ว ข้าก็จะรู้ถึงจำนวนทหารที่สูญเสียไป และเมื่อข้าได้รู้จำนวนพี่น้องที่ต้องจากข้าไป ข้าก็ยิ่งเ็ปมากเท่านั้น ศึกครั้งหน้าข้าจะระมัดระวังให้มากกว่าเดิม สู้รบอย่างเต็มกำลัง จะได้มีผู้าเ็และผู้ล้มตายน้อยลง”
จิวชื่อเซวี่ยกล่าวออกมาช้าๆ คำพูดของเขาทำให้หลินเฟิงรู้สึกเลื่อมใสในตัวเขามากขึ้น มีทหารพันนาย แต่ในนั้นการหาคนที่ดีมันยากเกินไป จิวชื่อเซวี่ยเป็ทหารที่ยอดเยี่ยม เปรียบเสมือนพี่ใหญ่ในกองทัพ หลังจากจบศึกรบทุกครั้งเขาจะจดจำสถิติจำนวนทหารไว้ในใจอยู่เสมอ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้