งานฝีมือของนางทั้งประณีตและแปลกใหม่ จึงขายดีเสมอ เถ้าแก่เนี้ยร้านประจำพอเห็นของก็รีบรับซื้อไว้ทันทีโดยไม่ต่อรองราคา
อันซิ่วเอ๋อร์เลือกซื้อด้ายไหมและเส้นไหมตามปกติ จางเจิ้นอันเห็นนางยืนมองผ้าไหมผืนหนึ่งอยู่เนิ่นนาน จึงเอ่ยขึ้น “ซื้อไปสิ จะได้เอาไปตัดเสื้อผ้าใหม่สักชุด”
“ไม่เอาดีกว่าเ้าค่ะ ข้ามีเสื้อผ้าเยอะแล้ว” ผ้าไหมในร้านนี้คุณภาพดี ราคาก็ย่อมแพงตามไปด้วย อันซิ่วเอ๋อร์รู้สึกเสียดายเงินอยู่บ้าง
“เถ้าแก่เนี้ย เอาผืนนี้ให้ข้าพับหนึ่ง” พอเห็นนางลังเล จางเจิ้นอันก็เดินเข้าไปเลือกผ้าไหมสีเหลืองอ่อนผืนนั้นทันที เขารู้สึกว่าสีนี้ช่างเหมาะกับนางยิ่งนัก เชื่อว่าหากนางนำไปตัดเย็บเป็เสื้อผ้าสวมใส่ จะต้องดูงดงามสะดุดตาเป็แน่
“มันแพงนะเ้าคะ” อันซิ่วเอ๋อร์เห็นผ้าผืนนั้นก็ชอบใจอยู่ไม่น้อย แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปดึงแขนเสื้อเขาเบาๆ
แต่จางเจิ้นอันหาได้สนใจไม่ เขาหันไปถามราคาจากเถ้าแก่เนี้ยทันที เถ้าแก่เนี้ยย่อมยินดี รีบบอกราคา ทั้งยังอุตส่าห์ลดราคาให้เล็กน้อย คิดเป็เงินหกสิบอีแปะพอดี
“อย่าเลยเ้าค่ะ เก็บเงินหกสิบอีแปะนี่ไว้ซ่อมบ้านไม่ดีกว่าหรือเ้าคะ”
“เอาน่า” จางเจิ้นอันกลับควักเงินจ่ายไปอย่างง่ายดาย พอรับห่อผ้ามาแล้วจึงหันมากล่าวกับนาง “บ้านเรายังพออยู่ได้น่า ไม่ต้องรีบร้อนซ่อมตอนนี้หรอก”
อันซิ่วเอ๋อร์ได้แต่ถอนหายใจเบาๆ ในเมื่อเขาซื้อมาแล้ว อีกทั้งยังซื้อให้นางตัดเสื้อผ้าใหม่ ในใจนางก็อดรู้สึกยินดีไม่ได้ คิดได้ดังนั้น นางจึงถือโอกาสซื้อผ้าดิบและนุ่นจากเถ้าแก่เนี้ยเพิ่มอีกเล็กน้อย
“ข้าจะซื้อกลับไปทำหมอนหนุนดีๆ สักใบเ้าค่ะ” อันซิ่วเอ๋อร์กล่าวพลางยิ้ม “ต่อไปเราค่อยๆ เปลี่ยนข้าวของเครื่องใช้ในบ้านทีละอย่าง พอเก็บเงินได้อีก ข้าจะซื้อผ้าห่มผืนใหม่สักผืน ถือเป็สินเดิมติดตัวข้าก็แล้วกัน”
จางเจิ้นอันยิ้ม แต่ไม่ได้พูดอะไร พอเห็นนางยังคงเจื้อยแจ้วอยู่ข้างหูไม่หยุด เขาก็อดไม่ได้ที่จะใช้แขนข้างหนึ่งโอบเอวนางไว้ กล่าวเสียงทุ้ม “ข้าไม่้าสินเดิมอะไรทั้งนั้น ขอแค่มีเ้าก็พอแล้ว”
พอรู้สึกถึงมือใหญ่ที่โอบรอบเอว ใบหน้าอันซิ่วเอ๋อร์ก็พลันแดงก่ำขึ้นมาทันที นางพยายามขืนตัวเล็กน้อย พลางดันมือเขาออก กล่าวเสียงอู้อี้ “ปล่อยเถอะเ้าค่ะ คนเยอะแยะ ประเดี๋ยวคนอื่นเขาจะว่าเอาได้ว่าข้าไม่มียางอาย”
“จะไปสนใจคำพูดคนอื่นทำไม เ้าเป็ภรรยาข้า ข้าจะกอดภรรยาตัวเองไม่ได้รึไง?” จางเจิ้นอันทำท่าไม่ใส่ใจ แต่พอเห็นแก้มนางแดงก่ำเหมือนลูกตำลึงสุก เขาก็รู้ว่านางขี้อาย จึงยอมปล่อยนางแต่โดยดี
อันซิ่วเอ๋อร์จึงค่อยหายใจคล่องขึ้น ที่จริงคนในเมืองส่วนใหญ่นางก็ไม่รู้จัก ใครจะว่าอย่างไรนางไม่ใส่ใจนักหรอก เพียงแต่กลัวว่าหากบังเอิญมีคนในหมู่บ้านมาเห็นเข้า นางคงได้อายม้วนไปเลย
ทั้งสองเดินซื้อของในตลาดต่ออีกครู่หนึ่ง ได้ข้าวสารและแป้งสาลีติดมือกลับไป อันซิ่วเอ๋อร์ี้เีทำอาหารกลางวัน จึงซื้อหมั่นโถวร้อนๆ กลับไปด้วยสองสามลูก
ขากลับ บังเอิญเจอกับคนรู้จักจากหมู่บ้านเดียวกันสองสามคน คนเหล่านี้ล้วนมีท่าทีเป็มิตรและถือเป็คนดีในหมู่บ้าน อันซิ่วเอ๋อร์จึงเอ่ยปากชวนให้นั่งเรือกลับไปด้วยกัน ส่วนนางเองยังคงยกม้านั่งตัวเล็กไปนั่งที่หัวเรือ มองจางเจิ้นอันคัดท้ายเรือไปพลาง ชวนเขาคุยสัพเพเหระไปพลาง
พอกลับถึงบ้าน อันซิ่วเอ๋อร์ก็เอาเงินที่ได้จากการขายของออกมานับ นางหยิบหีบไม้ใบเล็กออกมา บรรจงเก็บเงินที่หามาได้ในวันนี้ใส่ลงไป พลางคิดในใจว่า รอให้เก็บเงินได้มากพอเมื่อไหร่ จะต้องหาทางซ่อมแซมบ้านหลังนี้เสียที
่นี้อากาศยังดีอยู่ แต่อีกไม่นานก็จะเข้าฤดูฝนแล้ว ถึงตอนนั้น หากฝนตกหนักติดต่อกัน กระท่อมหลังนี้คงทั้งอับชื้นทั้งขึ้นรา ไม่แน่ว่าอาจจะมีน้ำรั่วซึมลงมาอีกก็เป็ได้
นางไม่ได้จู้จี้เื่ความเป็อยู่มากนัก แต่ก็ยังหวังว่าจะได้อยู่ในสภาพที่ดีกว่านี้ นางอยากจะเก็บเงินสร้างบ้านก่ออิฐมุงกระเบื้องสักหลัง บ้านแบบนั้นทั้งสะอาด สว่าง และคงทนอยู่ได้นานนับร้อยปี ไม่ต้องคอยกังวลเื่ซ่อมหลังคาทุกครั้งที่ถึงหน้าฝนอีก
จางเจิ้นอันเดินเข้ามา เห็นนางกำลังนั่งนับเงินเหรียญด้วยท่าทางเหมือนพวกเศรษฐีขี้เหนียว ก็นึกขำ เดินเข้าไปนั่งข้างๆ แล้วเอ่ยแซว “กำลังนับสมบัติส่วนตัวอยู่รึไง?”
“คิกๆ นี่เป็รายได้ของข้าในวันนี้เ้าค่ะ” อันซิ่วเอ๋อร์เก็บเงินลงหีบจนหมด แล้วยื่นหีบใบเล็กให้เขา “นี่เ้าค่ะ ท่านเป็หัวหน้าครอบครัว ท่านเก็บไว้เถอะ”
“หา?” จางเจิ้นอันประหลาดใจเล็กน้อย เขาก้มมองนาง เห็นนางยื่นให้ด้วยสีหน้าจริงจัง ไม่มีทีท่าเสียดายแม้แต่น้อย จึงกล่าว “นี่เป็เงินที่เ้าหามาเอง เ้าก็เก็บไว้เองเถอะ”
“เราเป็ครอบครัวเดียวกันแล้ว จะมาแบ่งแยกของเ้าของข้าอะไรกันอีกเล่าเ้าคะ” อันซิ่วเอ๋อร์หัวเราะเบาๆ พลางดันหีบใส่มือเขา
จางเจิ้นอันรู้สึกว่าตนเป็บุรุษอกสามศอก จะมาเอาเงินที่ภรรยาหามาได้อย่างไร เขาจึงส่งหีบคืนให้นาง “เ้าเก็บไว้เองเถอะน่า อยากได้อะไรก็จะได้มีเงินซื้อ” ว่าแล้วก็ล้วงเอาเศษเงินสองสามอีแปะที่เหลือติดตัวออกมา “นี่ ข้าให้เ้าไว้ใช้จ่ายเพิ่มเติม”
“ขอบคุณท่านพี่เ้าค่ะ” อันซิ่วเอ๋อร์เห็นว่าเขาก็มีเงินติดตัวไม่มากนัก จึงยื่นมือรับมาเก็บไว้อย่างยินดี
ท่านแม่เคยสอนนางั้แ่เด็กว่า ผู้หญิงที่เป็แม่บ้านต้องรู้จักเก็บหอมรอมริบ สมัยก่อนท่านพ่อชอบสูบยาเส้น ท่านแม่จึงค่อยๆ แอบเก็บเงินสะสมไว้ทีละเล็กทีละน้อยเสมอ พอถึงคราวข้าวยากหมากแพง ก็จะนำเงินเก็บก้อนนี้ออกมาจุนเจือ ช่วยให้ครอบครัวผ่านพ้น่เวลาลำบากไปได้
ตอนนี้จางเจิ้นอันก็ชอบดื่มเหล้า นางรู้สึกว่าตนเองควรจะเอาอย่างท่านแม่ ค่อยๆ เก็บสะสมเงินส่วนตัวไว้บ้าง เผื่อวันข้างหน้าอาจจะมีประโยชน์ก็เป็ได้
หลังจากเก็บเงินลงหีบเรียบร้อย นางก็นำหีบใบเล็กไปเก็บไว้ในกล่องเสื้อผ้าตามเดิม จากนั้นจึงเดินกลับมานั่งข้างๆ เขา ถามอย่างเอาใจ “ท่านพี่ วันนี้พายเรือเหนื่อยไหมเ้าคะ อยากจะเอนหลังพักผ่อนสักครู่หรือไม่”
จางเจิ้นอันไม่ได้ตอบคำถามนั้น เพียงส่ายหน้า แต่ที่มุมปากกลับปรากฏรอยยิ้มมีลับลมคมใน เขาเอ่ยขึ้น “หลับตาสิ”
“ทำไมหรือเ้าคะ?” อันซิ่วเอ๋อร์เบิกตากลมโตมองเขา ภายใต้แพขนตางอนยาว ดวงตาคู่นั้นเป็ประกายระยิบระยับ ฉายแววอยากรู้อยากเห็นว่าเขากำลังคิดจะทำอะไร
“หลับตาก่อนน่า” จางเจิ้นอันกล่าวเสียงต่ำย้ำอีกครั้ง อันซิ่วเอ๋อร์แม้จะยังสงสัย แต่ก็ยอมหลับตาลงแต่โดยดี
เมื่อเบื้องหน้ามืดสนิท ประสาทััส่วนอื่นก็พลันชัดเจนขึ้น นางรู้สึกถึงสิ่งของเย็นๆ ที่ลากผ่านเส้นผม ปลายนิ้วหยาบกร้านที่สั่นเทาเล็กน้อยกำลังรวบผมของนางขึ้น ทันใดนั้น เสียงทุ้มของเขาก็ดังขึ้นเหนือศีรษะ “เสร็จแล้ว”
อันซิ่วเอ๋อร์ลืมตาขึ้น สบเข้ากับั์ตาดำขลับที่ทอประกายรอยยิ้มจางๆ ของเขา นางลองยกมือขึ้นแตะมวยผมด้านหลัง ััได้ถึงวัตถุเย็นๆ ชิ้นหนึ่ง จึงค่อยๆ ดึงมันออกมาดูใกล้ๆ พบว่าเป็ปิ่นปักผมเงินอันหนึ่ง
ปิ่นเงินอันนี้ดูเรียบง่าย ตัวปิ่นเป็ลายคลื่นน้ำธรรมดา ส่วนปลายเป็รูปพัดอันเล็กๆ ไม่มีการประดับตกแต่งอื่นใด แต่กลับดูงดงามหมดจดในความเรียบง่ายนั้น
“ทำจากเงินหรือเ้าคะ?” อันซิ่วเอ๋อร์เงยหน้าถาม
“อืม” จางเจิ้นอันพยักหน้ารับ
“เหตุใดอยู่ๆ ท่านถึงซื้อปิ่นปักผมให้ข้าล่ะเ้าคะ?” อันซิ่วเอ๋อร์เลิกคิ้วมองเขา แต่ในใจกลับเผลอกำปิ่นเงินในมือแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว วินาทีนี้ นางลืมเื่ความคุ้มค่าหรือไม่คุ้มค่าไปเสียสิ้น รู้สึกเพียงอารมณ์บางอย่างที่อุ่นซ่านและอ่อนโยนกำลังก่อตัวขึ้นในอก...คล้ายจะมีความหวานปะปนอยู่ด้วย
“ก็แค่อยากให้เ้าได้มีของสวยๆ บ้าง” จางเจิ้นอันตอบสั้นๆ แล้วคว้าปิ่นจากมือนางกลับไป ปักลงบนมวยผมให้นางอีกครั้ง เขาขยับเข้ามาใกล้จนนางได้กลิ่นอายบุรุษอันคุ้นเคย ใบหน้าพลันร้อนผ่าวขึ้นมา หัวใจก็เต้นแรงระรัว
“ปิ่นอันนี้เหมาะกับเ้ามากจริงๆ เสียดายที่บ้านเราไม่มีกระจก ไม่อย่างนั้นคงอยากให้เ้าได้ส่องดูตัวเองชัดๆ” จางเจิ้นอันกล่าวหลังจากพินิจมองนางอยู่ครู่หนึ่ง
อันซิ่วเอ๋อร์ก้มหน้าลงเล็กน้อย กล่าวเสียงเบา “อย่างไรเสีย...ท่านว่าสวย มันก็สวยแล้วเ้าค่ะ”
แม้คำพูดจะฟังดูคลุมเครือ แต่เขาก็พอจะเข้าใจความหมาย เขายื่นมือไปบีบปลายจมูกโด่งรั้นของนางเบาๆ กล่าวว่า “เอาไว้ต่อไป ข้าจะค่อยๆ ซื้อหามาให้เ้าเอง ของที่คนอื่นเขามีกัน ข้าก็จะหามาให้เ้ามีเหมือนกัน”
“ไม่เป็ไรหรอกเ้าค่ะ ข้าไม่ใช่คนฟุ้งเฟ้อขนาดนั้น” อันซิ่วเอ๋อร์รีบกล่าว “มีปิ่นอันนี้อันเดียวข้าก็พอใจแล้ว อย่างอื่นท่านไม่ต้องลำบากหามาให้ข้าหรอก”
“ทำไมล่ะ? เสียดายเงินอีกใช่ไหม?” แววตาจางเจิ้นอันฉายแววล้อเลียน กล่าวติดตลก “หญิงสาวคนอื่นๆ เขาชอบเครื่องประทินโฉม ชอบปิ่นสวยๆ กันทั้งนั้น มีแต่เ้านี่แหละที่วันๆ เอาแต่คิดคำนวณเื่จุกจิกหยุมหยิม เหมือนยายแก่ไม่มีผิด”
พอได้ยินเขาว่าตนเองเหมือนยายแก่ อันซิ่วเอ๋อร์ก็ร้อนตัวขึ้นมาทันที “จริงหรือเ้าคะ?”
“เ้าว่าจริงไหมล่ะ?” จางเจิ้นอันย้อนถาม
อันซิ่วเอ๋อร์รีบส่ายหน้าปฏิเสธ “ของสวยๆ งามๆ ใครๆ ก็ชอบทั้งนั้นแหละเ้าค่ะ แต่ก็ต้องดูฐานะความเป็อยู่ของเราด้วยไม่ใช่หรือ เอาไว้จัดการเื่บ้านช่องให้เรียบร้อยก่อน ถ้ามีเงินเหลือค่อยซื้อก็ยังไม่สายนี่เ้าคะ”
“เ้าก็พูดถูก” จางเจิ้นอันพยักหน้าเห็นด้วย แล้วจึงกล่าวต่อ “แต่ข้าว่านะ บ้านจะสวยงามไปทำไมกัน มีแค่สองห้องพอให้อยู่อาศัย มีที่ซุกหัวนอนก็พอแล้ว อย่างอื่นไม่เห็นจะสำคัญตรงไหน”
“ข้าก็ไม่ได้้าอยู่อย่างร่ำรวยหรูหราอะไร แต่บ้านก็ควรจะน่าอยู่หน่อยไม่ใช่หรือเ้าคะ” อันซิ่วเอ๋อร์รีบแย้ง สำหรับนางแล้ว บ้านคือสถานที่สำคัญ นางอยากจะทำให้มันน่าอยู่และสะดวกสบายมากขึ้น แต่ดูเหมือนจางเจิ้นอันจะไม่ใส่ใจเื่นี้เลยแม้แต่น้อย
นางจึงกล่าวเสริม “ท่านลองคิดดูสิ กลับมาจากทำงานเหนื่อยๆ ได้เอนหลังบนเก้าอี้สบายๆ มีชาร้อนๆ ให้ดื่มสักถ้วย จะดีแค่ไหน”
“ข้าจะไปจับปลา” จางเจิ้นอันไม่อยากคุยเื่การจัดการบ้านกับนางอีกต่อไป เขาตัดบท ลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไปทันที
สีหน้าอันซิ่วเอ๋อร์หมองลงทันที นางไม่เข้าใจว่าตนเองพูดอะไรผิดไป นั่งเหม่ออยู่ริมเตียงครู่ใหญ่ ก่อนจะลุกเดินตามออกไปที่ประตู แต่เขาก็เดินออกไปไกลแล้ว
นางถอนหายใจเบาๆ แล้วหยิบงานปักผ้าออกมาทำต่อ แต่ระหว่างคิ้วกลับปรากฏร่องรอยความกังวลระบายอยู่จางๆ ส่วนจางเจิ้นอันนั้น พอขึ้นเรือแล้ว เขาก็ไม่ได้ลงมือทอดแหจับปลา แต่กลับยกเหยือกสุราขึ้นมาดื่มเงียบๆ คนเดียว
มองสายน้ำเอื่อยไหล เขาเคยคิดอยากจะหาหญิงสาวที่ถูกใจสักคน มาสร้างครอบครัว สร้างเนื้อสร้างตัวไปด้วยกัน แต่พอใช้ชีวิตตัวคนเดียวมานานหลายปี กลับรู้สึกว่าการมีครอบครัวเป็เหมือนพันธนาการ การมีผู้หญิงข้างกายก็มีแต่เื่จุกจิกวุ่นวาย
ช่างเถอะ... ข้าจะพยายามหาวัตถุสิ่งของมาให้เ้าได้ แต่สิ่งอื่นใดนอกเหนือจากนั้น ข้าคงให้เ้าไม่ได้กระมัง
ครั้นเก็บเหยือกสุรา เขาก็ดึงแหขึ้นมา เตรียมลงมือจับปลาอย่างจริงจัง เขาพิถีพิถันเลือกทำเลเหมาะๆ แล้วเริ่มทอดแห พอเก็บแหขึ้นมา ก็ได้ปลาติดมาไม่น้อยเลยทีเดียว
อันซิ่วเอ๋อร์ตั้งใจทำอาหารเย็นรอเขา พลางนึกถึงท่าทีไม่สบอารมณ์ของเขาเมื่อตอนกลางวัน นางจึงยิ่งตั้งใจปรุงอาหารมื้อนี้เป็พิเศษ แต่รอแล้วรอเล่าเขาก็ยังไม่กลับมา ทั้งที่ปกติแล้ว เขาควรจะกลับถึงบ้านพร้อมๆ กับอาทิตย์ตกดิน
อันซิ่วเอ๋อร์เริ่มกระวนกระวายใจ นางออกไปยืนรอเขาอยู่ที่หน้าประตู รอจนกระทั่งตะวันลับขอบฟ้าไปแล้ว เหลือเพียงแสงสุดท้ายรำไร เขาจึงหาบปลาย่ำเท้ากลับเข้ามาในบ้านอย่างเร่งรีบ
อันซิ่วเอ๋อร์รีบเดินเข้าไปหา แต่ก็ััได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง วันนี้เขาดูไม่เหมือนเดิม สีหน้าเ็าเรียบเฉยนั้นดูห่างเหินกว่าทุกครั้ง นางชะงักฝีเท้าลงเล็กน้อย เห็นเขาเดินผ่านหน้าไปโดยไม่ทักทาย นางก็ฝืนยกยิ้ม เดินตามเขาไปเงียบๆ
เขาเดินตรงไปยังลานหลังบ้าน จัดการเทปลาลงในอ่างตามปกติ เมื่อเดินกลับเข้ามาในห้องโถง อันซิ่วเอ๋อร์ก็ยื่นชามข้าวและตะเกียบส่งให้ เขารับไปเงียบๆ โดยไม่เอ่ยคำใดออกมา
