เยว่เฟิงเกอคิดไม่ถึงว่า ใต้สุสานโบราณในด่านไร้เทียมทานแห่งนี้จะยังมีทางออกอยู่ด้วย
ตอนนั้นที่นางเข้าไปในเกมเคยถูกขังอยู่ในนี้หลายครั้ง จึงต้องใช้เวลาทั้งเดือนกว่าจะออกมาจากที่นั่นได้
หากนางรู้ว่าที่แห่งนี้ยังมีทางออกอยู่อีก นางคงออกไปโดยใช้เส้นทางนี้เพื่อไปรอรับหนังสือรับรองระดับาาปีศาจแล้ว
ทางนี้เยว่เฟิงเกอกำลังสนทนากับจิ๋วปิ่งอยู่ แต่ทางฝั่งมู่เหยียนเฉินกลับถูกปล่อยให้รออยู่นานมาก โดยไม่ได้ยินเสียงใดๆ ของเยว่เฟิงเกอตอบกลับมาเลย
เขาหัวเราะอย่างขมขื่น เดิมทีในใจยังหลงเหลือความรู้สึกต่อเยว่เฟิงเกอ แต่ยามนี้กลับถูกฉีกกระชากให้เ็ปอีกครั้ง
เขาหัวเราะที่ตัวเองยังคงคิดถึงเยว่เฟิงเกออยู่ คิดไปว่านางจะเห็นแก่ความสัมพันธ์ครั้งเก่าแล้วยื่นมือเข้าช่วยพวกเขาสักครั้ง
มิคาดเยว่เฟิงเกอจะยังเป็คนไร้หัวใจเช่นเดิม เหมือนกับเมื่อหนึ่งปีก่อนที่นางแน่วแน่จะแต่งไปยังแคว้นเป่ยชวน ยามนั้นนางเองก็ไร้ซึ่งความอาลัยต่อเขาโดยสิ้นเชิง
ความเ็ปในใจของมู่เหยียนเฉินยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ ดูท่าเขาคงจะประเมินฐานะของตนในใจของเยว่เฟิงเกอไว้สูงเกินไป
บางทีสำหรับเยว่เฟิงเกอแล้ว เขาอาจไม่นับเป็อะไรได้เลย
ในตอนที่มู่เหยียนเฉินกำลังเศร้าสร้อยด้วยคิดว่าเยว่เฟิงเกอคงไม่ช่วยพวกเขาแล้วนั้น จู่ๆ เสียงของนางก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“มู่เหยียนเฉิน ตอนนี้พวกเ้าเดินไปถึงไหนแล้ว? ” เยว่เฟิงเกออาศัยความทรงจำของตน อยากจะอาศัยความทรงจำของตนในการพามู่เหยียนเฉินสองพี่น้องไปยังสุสานโบราณ
มู่เหยียนเฉินคิดไม่ถึงว่าเยว่เฟิงเกอจะยังอยู่ เขารีบดึงสติกลับมาอย่างรวดเร็ว ตอบกลับว่า “พวกเรายังอยู่ที่หุบเขาป่าฝน”
เยว่เฟิงเกอเอียงคอคิด หุบเขาป่าฝนยังอยู่ห่างจากสุสานโบราณอยู่ประมาณหนึ่ง นางจึงให้เขามุ่งหน้าไปทางซ้าย
มู่เหยียนเฉินปราศจากความสงสัย กำลังจะพามู่เหยียนรั่วออกเดินไปตามทางที่เยว่เฟิงเกอบอก
แต่มู่เหยียนรั่วกลับไม่เชื่อคำพูดของอีกฝ่าย นางจับชายเสื้อมู่เหยียนเฉินไว้ กล่าวเสียงเบา “ท่านพี่ ท่านจะไปฟังเยว่เฟิงเกอไม่ได้นะ นางยังทำร้ายท่านไม่มากพอหรือ? ครั้งนี้นางต้องอยากทำร้ายเราสองพี่น้องอีกแน่ๆ ถึงได้แกล้งพูดออกมามั่วๆ ท่านลองตรองดูเถิด นางไม่เคยมาที่แห่งนี้ด้วยซ้ำ แล้วนางจะรู้ได้อย่างไรว่าต้องเดินไปทางไหน? ”
คำพูดของมู่เหยียนรั่วทำให้มู่เหยียนเฉินหยุดฝีเท้า เขาคิดว่าคำพูดของน้องหญิงก็มีเหตุผล อย่างไรเสีย ในความคิดของพวกเขา เยว่เฟิงเกอเป็คนที่ไม่เป็วรยุทธ์ แล้วนางจะมาฝึกฝนที่เมืองหิมะลุ่มหลงได้อย่างไร
ในเมื่อนางไม่เคยมา แล้วจะรู้ว่าต้องเดินออกจากด่านไร้เทียมทานที่ปิดผนึกชั่วกาลได้อย่างไร?
มู่เหยียนรั่วเห็นว่าพี่ชายของนางหยุดฝีเท้าลง ก็รู้แล้วว่าพี่ชายต้องฟังคำของนางแน่
นางไม่เชื่อคำพูดของเยว่เฟิงเกอแม้แต่น้อย จึงะโว่า “เยว่เฟิงเกอ เ้าอย่ามาหลอกพวกเราเสียให้ยาก เ้าไม่เคยมาที่นี่เสียหน่อย แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าต้องช่วยพวกเราอย่างไร? ข้าว่า เ้าหวังจะจัดการกับพวกเราเพื่อตัดรากถอนโคนมากกว่า”
เยว่เฟิงเกอเรียกได้ว่าเกือบจะถูกความโง่ของมู่เหยียนรั่วทำเอาขำตาย นางยังไม่เคยเจอใครที่โง่เพียงนี้มาก่อนเลย
หากไม่เคยเข้ามาที่นี่ แล้วระดับาาปีศาจขั้นสองของนางได้มาจากที่ใดกันเล่า?
ในฐานะผู้ฝึกยุทธ์ มู่เหยียนเฉินและมู่เหยียนรั่วไม่มีทางมองไม่ออกว่านางอยู่ระดับาาปีศาจแล้ว
ที่น่าขำก็คือ คำพูดของมู่เหยียนรั่วกลับทำให้มู่เหยียนเฉินที่สติปัญญาดีมาตลอดถึงกับนิ่งเงียบไปเช่นกัน
เยว่เฟิงเกอหัวเราะเสียงเย็น “มู่เหยียนเฉิน ข้าอยากจะทำร้ายพวกเ้าหรือไม่ ลองถามใจเ้าดูก็คงรู้แล้ว อีกอย่าง ข้าไม่เพียงเคยมาที่แห่งนี้ แต่ยังมาไม่ต่ำกว่าหนึ่งครั้ง หากเ้าไม่เชื่อข้า เช่นนั้นข้าก็ไม่มีทางเลือก พวกเ้าสวดภาวนากันเอาเองเถอะ” พูดจบก็ปิดเกมเมืองหิมะลุ่มหลงทันที
เมื่อครู่นางเห็นเวลาในโทรศัพท์ ตอนนี้เที่ยงคืนแล้ว หากนางยังไม่เข้านอนอีก พรุ่งนี้คงต้องออกไปพร้อมตาหมีแพนด้าอีกแน่
ส่วนสองพี่น้องคู่นั้น ก็ให้พวกเขาทนลำบากในนั้นไปก่อนแล้วกัน
จิ๋วปิ่งเห็นว่าเยว่เฟิงเกอปิดเกมแล้ว เขาส่งเสียงครางเบาๆ มุดเข้าไปในผ้าห่มของเยว่เฟิงเกอ ก่อนจะวางอุ้งเท้าสองข้างไว้บนหน้าอกนุ่มของนาง และยังขยำนวดสองสามทีด้วย
ฉับพลันนั้นเยว่เฟิงเกอโยนจิ๋วปิ่งออกจากผ้าห่ม นางพันตัวเองเป็บ๊ะจ่าง ไม่ให้จิ๋วปิ่งมุดเข้ามาอีก
จิ๋วปิ่งะโขึ้นเตียงอีกครั้งอย่างปลงๆ พาดไปบนร่างเยว่เฟิงเกอแล้วหลับใหลทันที
เยว่เฟิงเกอเองก็หลับไปพร้อมเสียงกรนของจิ๋วปิ่ง
เพียงแต่ไม่รู้หลับไปนานแค่ไหน นางรู้สึกเหมือนข้างกายมีใครเพิ่มมาอีกคน เมื่อลืมตาขึ้นมาอย่างมึนงง ก็เห็นร่างคุ้นเคยของชายคนหนึ่ง
และกลิ่นอายจากร่างของชายผู้นี้ทำให้เยว่เฟิงเกอสบายใจอย่างยิ่ง
นางเขยิบเข้าใกล้เขาทันที ปากยังคงพึมพำ “ท่านมาอีกแล้ว”
พูดจบก็หลับตาเข้าสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง
ม่อหลิงหานเปิดผ้าห่มที่ห่อตัวเยว่เฟิงเกออยู่มาคลุมไว้บนร่างตนด้วย จากนั้นจึงกอดเยว่เฟิงเกอที่หลับสนิทไว้แล้วค่อยๆ ปิดตาลง
วันนี้เขาใช้ยาถอนพิษส่วนที่เหลือที่เยว่เฟิงเกอให้เขาแล้ว ดังนั้น พิษไฟหนาวในร่างของเขาตอนนี้จึงถูกขจัดออกไปจนหมดแล้ว
ในร่างกายไม่มีพิษหลงเหลืออยู่แล้ว ม่อหลิงหานรู้สึกปลอดโปร่งโล่งสบายยิ่งนัก
เมื่อครู่เขาเข้าไปในทางลับของหอแปดทิศ ไปยังเรือนจิ้งจู๋ของกงซุนหนานเสียน เพื่อบอกเล่าเื่ที่พิษบนร่างถูกขจัดออกไปแล้วให้อีกฝ่ายรู้
หลังจากกงซุนหนานเสียนจับชีพจรให้ม่อหลิงหาน ก็พบว่า ไม่เพียงพิษในร่างของม่อหลิงหานถูกขจัดไปหมด แต่ยังมีพลังอีกกลุ่มที่กำลังไหลเวียนอยู่
และยังช่วยทะลวงลมปราณทั้งแปดเส้นที่ก่อนนี้เคยถูกอุดไว้ด้วยพิษไฟหนาวอีกด้วย
กล่าวอีกอย่างก็คือตอนนี้คนสามารถฝึกฝนวรยุทธ์ต่อได้แล้ว
กงซุนหนานเสียนรู้สึกสงสัยในตัวเยว่เฟิงเกอเป็อย่างมาก เขาอยากฟังเื่ของนางจากปากของม่อหลิงหานให้มากกว่านี้ แต่กลับถูกม่อหลิงหานปฏิเสธ
หลังกลับมาจากเรือนจิ้งจู๋ ม่อหลิงหานก็มาที่เรือนเยว่เหยาทันที เมื่อเห็นว่าแมวตัวนั้นกำลังนอนพาดอยู่ข้างแก้มเยว่เฟิงเกอ เขาก็รีบจับหนังหลังคอของจิ๋วปิ่งขึ้นแล้วโยนออกไปนอกหน้าต่าง
จิ๋วปิ่งมองม่อหลิงหานที่เอนกายอยู่ข้างเยว่เฟิงเกอด้วยสายตาโกรธแค้น เขายื่นอุ้งมือไปหาหลังศีรษะของม่อหลิงหาน หลังจากเก็บนิ้วจนหมดเหลือแค่นิ้วกลางอย่างเดียวแล้ว ก็ชี้ใส่ม่อหลิงหานอย่างจงใจ ก่อนจะรีบวิ่งไปหาเสี่ยวฮัวทันที
เนื่องจากคืนนี้เยว่เฟิงเกอนอนดึกมาก นางจึงหลับยาวจนตะวันโด่ง
ตอนที่นางตื่นขึ้นมาก็เห็นว่าม่อหลิงหานยังคงนอนอยู่ข้างกาย
ส่วนท่านอนของนางในตอนนี้คือมือหนึ่งแนบไปบนหน้าของม่อหลิงหาน ขาข้างหนึ่งพาดไปบนเอวของม่อหลิงหาน
เยว่เฟิงเกอใจนรีบหดมือกลับ ทว่า ตอนที่นางกำลังจะดึงขากลับมานั้น กลับถูกมือใหญ่จับไว้
“ว้าย” เยว่เฟิงเกอใจนส่งเสียงร้อง
ม่อหลิงหานลืมตามองเยว่เฟิงเกออย่างลึกล้ำ “ในที่สุดเ้าก็ตื่นแล้ว”
เยว่เฟิงเกออยากจะดึงขาออกจากมือของม่อหลิงหาน แต่กลับถูกเขาจับไว้แน่นกว่าเดิม
นางหน้าแดงแจ๋ทันที หัวเราะแหะๆ อย่างกระอักกระอ่วน “ท่านอ๋องควรลุกไปเสวยสำรับเช้าได้แล้วเพคะ”
ม่อหลิงหานดึงเยว่เฟิงเกอเข้าไปในอ้อมแขน ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ “ตอนนี้เที่ยงแล้ว เลยเวลาอาหารเช้าไปนานแล้ว แต่ว่าตอนนี้เปิ่นหวางยังไม่หิว แค่มองเ้าอย่างเดียวก็อิ่มแล้ว”
เมื่อเยว่เฟิงเกอได้ยินประโยคนี้ สีแดงระเรื่อก็ลุกลามั้แ่ใบหน้าไปถึงคอ นางออกแรงดันม่อหลิงหาน อยากจะดิ้นรนออกมาจากอ้อมแขนเขา
“ทำไม เ้ากลัวเปิ่นหวางมาก? ” ตอนที่พูดนี้ มุมปากของม่อหลิงหานยกขึ้น
เยว่เฟิงเกอไม่กล้าสบตากับเขาอีก นางเพียงก้มหน้าลงแล้วผลักม่อหลิงหานออกไป ยิ้มอย่างอายๆ “ท่านอ๋อง พวกเราอย่าล้อเล่นกันอีกเลยเพคะ ข้าไม่ใช่อาหารเสียหน่อย มองข้าแล้วจะอิ่มได้ที่ใดกัน”
ม่อหลิงหานเห็นท่าทางเอียงอายคล้ายทำตัวไม่ถูกก็ทนไม่ไหวหัวเราะออกมาเบาๆ เขาดูดดึงริมฝีปากเยว่เฟิงเกอเบาๆ ไปทีหนึ่ง ถึงได้ปล่อยนาง
ในที่สุดเยว่เฟิงเกอก็ได้รับอิสระอีกครั้ง นางลุกขึ้นนั่งทันที เตรียมจะลงจากเตียง แต่สุดท้ายกลับพบว่าตนกำลังสวมอาภรณ์ตัวในแสนบางเบาอยู่
อาภรณ์โปร่งบางนี้เป็ชุดนอนที่ใส่นอนสบายยิ่ง
เยว่เฟิงเกออยากไปเปลี่ยนชุด แต่ม่อหลิงหานยังอยู่ที่นี่ นางก็ไม่กล้าไปเปลี่ยนจึงหันศีรษะไปมองม่อหลิงหานที่กำลังเอามือเท้าศีรษะ มองนางตรงๆ มุมปากยังแขวนรอยยิ้มไว้
“ท่านอ๋อง ทรงออกไปก่อนได้หรือไม่เพคะ? ข้าจะสวมใส่อาภรณ์” เยว่เฟิงเกอหน้าแดงก่ำขณะเอ่ยออกมา
ม่อหลิงหานอยากจะเอ่ยหยอกเย้านางต่ออีกสองประโยค แต่ในตอนนี้เอง ประตูห้องกลับถูกเปิดออก
ชิงจื่อเดินเข้ามาก็เห็นว่าม่อหลิงหานยังนอนอยู่ นางรีบคารวะม่อหลิงหาน “ถวายบังคมเพคะท่านอ๋อง”
ม่อหลิงหานเห็นว่าบรรยากาศดีๆ เช่นนี้ถูกชิงจื่อทำลายไปจนหมด ก็หมดอารมณ์จะหยอกล้อเยว่เฟิงเกอต่อ จึงลุกขึ้นแล้วลงจากเตียงไป
“เปิ่นหวางจะไปรอเ้าที่ห้องอาหาร” ม่อหลิงหานพูดจบก็เดินออกไปจากเรือน
รอจนม่อหลิงหานจากไปแล้ว เยว่เฟิงเกอถึงได้ถอนใจโล่งอก