แรงจากฝ่ามือของโจวเฉิงช่างหนักหน่วงเหลือเกิน
แม้ฝ่ามือของเขาจะกระทบเกาเฟยโดยไม่ได้ตั้งใจ ทว่าพอโดนแรงนั้นเข้า เกาเฟยก็ซวนเซล้มลงกับพื้นทันที
ถึงบอกว่าเจ็บ ทว่าที่มากกว่านั้นคือความรู้สึกเหลือเชื่อ คือความอับอาย
โจวเฉิงตบหน้าเธอ ต่อหน้าหญิงต่างถิ่นน่าชังคนนั้น! ั้แ่เล็กจนโตเกาเฟยไม่เคยถูกคนในครอบครัวใช้นิ้วมือดีดแม้สักครั้งเดียวด้วยซ้ำ การถูกตบหน้าเช่นนี้ ความรู้สึกถูกเหยียดหยามนั้นหนักหนากว่าความรู้สึกเ็ป ดวงตาของเกาเฟยเต็มไปด้วยความอาฆาต คนที่ตบเธอคือโจวเฉิง แต่คนที่เธอชิงชังกลับเป็เซี่ยเสี่ยวหลาน
“โจวเฉิง!”
ฟางซื่อจงปล่อยให้เกาเฟยไปด่าคนอื่น เพื่อระบายความโกรธ
ทว่าเกาเฟยถูกตบต่อหน้าต่อตาเขา อีกทั้งไม่ใช่ผู้หญิงลงมือ แต่เป็โจวเฉิง!
ฟางซื่อจงทนได้เสียที่ไหน หลังประคองเกาเฟยขึ้นมา เขาก็ไม่ลงมือกับโจวเฉิง เขาอยากตอบโต้คืนที่เซี่ยเสี่ยวหลาน ทว่าโจวเฉิงจะปล่อยให้เขาอยู่ใกล้เซี่ยเสี่ยวหลานได้อย่างไร เขาลากฟางซื่อจงไปยังข้างสนามฝึกซ้อม ที่นั่นมีหลิวจื่อเทาซึ่งกำลังยืนมองอย่างงุนงงอยู่ด้วย
“ไปหาพี่สาวเธอตรงนั้นเสีย!”
หลิวจื่อเทาก้าวขาเล็กๆ วิ่งไปทางด้านเซี่ยเสี่ยวหลานหลังจากที่โจวเฉิงพูดจบ
เกาเฟยกระเสือกกระสนลุกขึ้นมาจากพื้นแล้ว บุคคลผู้กำลังจะทำหน้าที่เป็หมอพุ่งชนเสี่ยวหลานราวกับพวกหญิงหยาบคายไร้เหตุผล
หลี่เฟิ่งเหมยมีท่อนแขนหนา เธอจับเกาเฟยไว้ ก่อนจะถามเซี่ยเสี่ยวหลานด้วยความกระหายอยากทำบางอย่าง
“ตบได้ไหม?”
นี่คนคนนี้โผล่มาจากไหนกัน หลี่เฟิ่งเหมยรู้สึกคันไม้คันมือเหลือเกิน
เธอมีรูปร่างสมบูรณ์ เมื่อก่อนสามารถทำนาส่วนของทั้งครอบครัวทั้งสามคนได้ด้วยตัวคนเดียว สภาพไก่อ่อนอย่างเกาเฟยนั้น ไม่ว่าจะทุรนทุรายอย่างไรก็หลุดพ้นจากพันธนาการของหลี่เฟิ่งเหมยไม่ได้ เซี่ยเสี่ยวหลานโอบเทาเทาไว้ ส่วนทางด้านข้างสนามฝึก โจวเฉิงซ้อมฟางซื่อจงจนหน้าคว่ำไปแล้ว
ทีนี้มีอะไรให้เจรจากันอีกเล่า?
“ตบแล้วกัน! ป้าออมแรงไว้สามส่วนนะ อย่าตบจนเละเล่า!”
เมื่อได้รับการอนุญาตจากเซี่ยเสี่ยวหลาน หลี่เฟิ่งเหมยไม่ปราณีแม้แต่น้อย เธอตบซ้ายขวาข้างละเท่าๆ กัน
เกาเฟยร้องฮือฮือ หลี่เฟิ่งเหมยตบหน้าเธอพร้อมกับด่าไปด้วย “ตอนที่ฉันไม่ได้มา เธอรังแกหลานสาวฉันใช่หรือไม่? ถุย คอยดูฉันตีเธอให้ตายเถอะ!”
คิดว่ารังแกบ้านหลิวได้เพียงเพราะเราไร้ที่พึ่งอื่นรึ?
คนเมืองหลวงรังแกคนต่างถิ่นได้ฝ่ายเดียว?
หลี่เฟิ่งเหมยมิอาจยับยั้งไฟโทสะในใจได้จริงๆ ตบเกาเฟยประหนึ่งเป็หัวหมู เวลาผู้หญิงทะเลาะลงไม้ลงมือต่อกันก็ไม่พ้นดึงผม ข่วนหน้า หรือตบหน้าอะไรเทือกนี้ หญิงสาวในเมืองผู้ได้รับการประคบประหงมจากครอบครัวอย่างเกาเฟยสู้หลี่เฟิ่งเหมยผู้เคยทำงานในท้องไร่ท้องนาได้เสียที่ไหน
อย่าพูดไปเลย พอเห็นหลี่เฟิ่งเหมยตบหน้าเกาเฟยอย่างหนักหน่วงแล้ว เซี่ยเสี่ยวหลานรู้สึกพึงพอใจอย่างถึงที่สุด
นี่คือป้าสะใภ้ของเธอเอง เที่ยงตรงแบบนี้นี่แล!
เซี่ยเสี่ยวหลานรู้สึกอบอุ่นไปทั้งใจ เมื่อครู่โจวเฉิงขวางด้านหน้าเพื่อปกป้องเธอ ส่วนหลี่เฟิ่งเหมยไม่ยอมให้เธอลงมือก็เพื่อปกป้องเธอเช่นกัน ตอนนี้เซี่ยเสี่ยวหลานยังไม่ทันได้รายงานตัวกับหัวชิงด้วยซ้ำ หลี่เฟิ่งเหมยกลัวเกาเฟยเล่นสกปรก จึงรีบก้าวออกมาจัดการอีกฝ่ายอย่างไม่เกรงกลัว
ทำร้ายคนอื่นในหน่วยงานของโจวเฉิงย่อมไม่ใช่เื่ดีแน่นอน แต่จู่ๆ มีคนโผล่มาด่าพวกเธอโดยไร้เหตุผล จะถือว่าหมาบ้ามันเห่าหอนและไม่แยแสได้จริงหรือ?
หลิวเฟินอ้าปากค้าง ทว่ายังคงไม่ห้ามอยู่ดี
หลี่เฟิ่งเหมยบอกว่าเวลาที่เธอเห็นอะไรแล้วไม่เข้าใจก็เงียบไว้ และในตอนนี้หลิวเฟินไม่เข้าใจสถานการณ์แม้แต่น้อย
เธอเป็ห่วงโจวเฉิง ย่าอวี๋บอกว่ากฎระเบียบของหน่วยงานโจวเฉิงเข้มงวดยิ่งนัก เมื่อครู่นั่นเป็อุบัติเหตุ แต่เหล่าผู้บังคับบัญชาของหน่วยงานจะเชื่อหรือไม่?
สุดท้ายก็มีคนอื่นมาช่วยเกาเฟยและฟางซื่อจง
เกาเฟยโดนตบจนวิงเวียนศีรษะ ใบหน้าบวมเป่งจนดวงตาเล็กลง ฟางซื่อจงเองก็โดนโจวเฉิงจับถูลู่ถูกังอยู่บนพื้นเหมือนกัน โจวเฉิงโดนลูกเตะของอีกฝ่ายไม่กี่ฝ่าเท้า ไม่มีที่โดนจังๆ ทว่ารอยรองเท้าที่อยู่บนตัวเขานั้นชัดเจนมาก และโจวเฉิงจงใจไม่เช็ดออก
คนในกองของฟางซื่อจงมาช่วยเขา ฟางซื่อจงผลักพวกเขาออก ชี้ไปยังโจวเฉิงในสภาพกระง่องกระแง่ง
“ถ้าฉันเอาแกให้ตายไม่ได้ ฉันก็คือลูกหลานโคตรเหง้าคนขลาดเดียวกับกับแกนี่แหละ!”
โจวเฉิงเช็ดหน้า ทั่วใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยเศษดิน
“สภาพอย่างแกนี่นะ อย่าว่าแต่จะเป็ลูกหลานแซ่ฉันเลย แค่เป็คนเฝ้าบ้านให้ฉันก็ยังคิดว่าแกไร้ค่าด้วยซ้ำ”
เกาเฟยโดนตบจนงุนงงไปหมด ผ่านไปนานสองนานก็ยังไม่ได้สติกลับมา
อยู่ดีๆ เธอทรุดตัวลงร้องห่มร้องไห้
หลี่เฟิ่งเหมยเองก็รู้สึกผิดนิดหน่อย คนอื่นๆ รีบมาช่วยสองคนนั้นไปทันที “โจวเฉิง นี่มันจะไม่เป็ไรใช่ไหม?”
โจวเฉิงยังมีอารมณ์หัวเราะออกมา “คุณป้า กลัวอะไรกัน จะให้คุณโดนตบตีไม่ตอบโต้อยู่ฝ่ายเดียวไม่ได้ใช่ไหมล่ะครับ?”
หลี่เฟิ่งเหมยไม่เข้าใจ ทว่าเซี่ยเสี่ยวหลานรู้สิ่งที่โจวเฉิงกำลังสื่อ นี่คือต่างฝ่ายต่างสู้กัน สมาชิกในครอบครัวมีปัญหากันเอง ทางหน่วยงานน่าจะขอให้ประนีประนอมต่อกัน กรณีชกต่อยระหว่างโจวเฉิงกับฟางซื่อจงต่างหากที่ค่อนข้างร้ายแรง
“ถ้าเมื่อครู่เธอไม่บังไว้ก็ไม่โดนผู้หญิงคนนั้นแล้ว ตอนนี้ฉันกลัวว่าเขาจะเล่นงานเื่นี้ไม่ยอมปล่อย!”
“พูดอะไรเหลวไหล ฉันจะปล่อยให้เขารังแกเธอได้หรือ?”
โจวเฉิงเคยลั่นวาจาไว้ก่อนหน้านี้ว่าฟางซื่อจงและเกาเฟยอย่าได้เข้าใกล้เขา กำลังนำหลิวจื่อเทายิงปืนในสนามซ้อมอยู่ดีๆ สุนัขบ้าก็วิ่งมากัดคนเสียได้ เขาต้องยืนหยัดปกป้องภรรยาของตนเป็ธรรมดา อย่างไรเสียโจวเฉิงก็คิดว่าเขาไม่ผิด การตบหน้าเกาเฟยนั้นเป็อุบัติเหตุ ทว่าก็ทำให้รู้สึกเบิกบานยิ่งนัก ตอนผู้บังคับบัญชาเรียกตัวเขาไป เขาก็อธิบายเช่นนี้เหมือนเดิม
“ไม่ขอโทษครับ”
สีหน้าของผู้บังคับบัญชาเคร่งขรึมมาก ผู้บังคับบัญชาอีกคนส่งสัญญาณให้โจวเฉิงอยู่ข้างๆ ทว่าโจวเฉิงทำเป็มองไม่เห็น
“โจวเฉิง หน่วยเรายังใจกว้างกับเธอไม่พออีกหรือ? ฉันรู้ว่าตอนแรกเธอไม่อยากย้ายกลับมาจากแนวหน้า และเธอคิดว่าหน่วยเรารับเธอไว้โดยไม่รู้สึกกดดันหรือ?”
โจวเฉิงไม่ได้ย้ายกลับมาเพราะปฏิบัติความดีความชอบที่แนวหน้าเพียงพอแล้ว
ที่เขากลับมาเพราะไม่เหมาะสมจะอยู่ในสภาวะนั้น โจวเฉิงเข้าสู่แนวหน้าั้แ่อายุยังน้อยเกินไป ได้รับผลกระทบจากภาพเหตุการณ์นองเืเ่าั้ แน่นอนว่าคนที่ได้รับผลกระทบไม่ใช่แค่โจวเฉิงคนเดียว ผู้ที่เคยผ่านความเป็ความตายในแนวหน้า ได้ยินเสียงปืนคร่าชีวิตคน ล้วนมีปัญหาทางจิตใจไม่มากก็น้อยกันทั้งนั้น แต่โจวเฉิงแตกต่างออกไป เขามีผลงานโดดเด่น ผู้บังคับบัญชาเบื้องสูงห่วงใยเอ็นดูเขา ไม่้าให้ต้นกล้าดีๆ เติบโตอย่างบิดเบี้ยว จึงลงชื่อในคำสั่งย้ายเสีย
โจวเฉิงกลับมายังหน่วยภายใต้เงื่อนไขเช่นนี้นั่นเอง
ปกติพฤติกรรมของเขาไม่มีปัญหา ทว่าวันนี้กลับทำร้ายฟางซื่อจงจนมีสภาพเช่นนั้นเพราะขัดแย้งกัน อีกทั้งยังลงมือตบหน้าเกาเฟย—ด้านโจวเฉิงบอกว่าเป็อุบัติเหตุ เกาเฟยไม่เห็นด้วย ใบหน้าดุจหัวหมูก็คือหลักฐานอันชัดเจนแจ่มแจ้ง ปี 84 ในปัจจุบันมีกล้องวงจรปิดเสียที่ไหน อย่างไรก็ตาม เกาเฟยกับฟางซื่อจงมักกัดเขาไม่ปล่อย และคนอื่นก็ไม่สามารถเป็พยานให้เขาได้
ไม่ว่ามีเหตุผลใด การทำร้ายสมาชิกครอบครัวของคนในหน่วย ไม่ส่งผลดีเลยจริงๆ
มีใครตบตีภรรยาหรือไม่? มีแน่นอน! ทว่าส่วนใหญ่ก็ปิดประตูจนสนิทและทุบตีภรรยากันทั้งนั้นมิใช่หรือ โจวเฉิงนี่สิ คนที่ลงมือดันเป็ภรรยาของคนอื่น ใบหน้าของเกาเฟยบวมเหมือนหัวหมู สะอื้นไห้ไม่หยุดหย่อน ส่งเหล่าสะใภ้ในกองทัพหลายคนไปเกลี้ยกล่อมเธอก็ช่วยอะไรไม่ได้
หัวหน้าแค่สงสัย สถานการณ์ของโจวเฉิงยังไม่ผ่อนคลายด้วยซ้ำ วันนี้ะเิอารมณ์โดยไม่คิดที่จะควบคุม ไร้ซึ่งความเป็เหตุเป็ผลโดยสิ้นเชิง!
พอให้โจวเฉิงไปขอโทษเกาเฟย โจวเฉิงก็ไม่ยอม เดิมทีโจวเฉิงคิดว่ามันคืออุบัติเหตุั้แ่แรก โดยมีสาเหตุมาจากการยั่วยุของเกาเฟย เขาไม่คิดว่าตนจำเป็ต้องขอโทษสักนิด
แค่คำว่า ‘ไม่ขอโทษ’ อันแข็งกระด้างประโยคเดียว ทำเอาหัวหน้าของเขาโมโหแล้วเช่นกัน
เขาไม่สนว่าผู้บังคับบัญชาเบื้องบนจะชอบโจวเฉิงหรือไม่ หรือใครจะปกป้องคุ้มครองเด็กอย่างโจวเฉิงนี้อีก ในเมื่อโจวเฉิงอยู่ภายใต้การดูแลของเขา เขาก็ต้องสั่งสอนโจวเฉิงให้ยอมจำนน!
“ไม่ขอโทษ เธอก็ส่งรายงานความประพฤติมาชุดหนึ่ง หลังจากนั้นก็รอรับบทลงโทษ—”
“นี่ สหายเหล่าหลี่ อย่าเพิ่งโมโหนักเลย ว่ากันตามตรงเื่ในวันนี้ก็ไม่ใช่ความผิดของโจวเฉิงทั้งหมดนะ ภรรยาเหล่าฟางน่ะก่อกวนยั่วยุเหมือนกัน คนที่บอกว่าทั้งหน่วยงานกินแพะกันก่อให้เกิดวินัยที่ไม่ดีก็คือเธอ พอส่งแตงโมให้คนของโจวเฉิงกินเท่านั้น คนอื่นวิจารณ์ลับหลังไม่กี่คำ เธอก็ไม่พอใจอีก วิ่งไปด่าว่าที่แม่ยายโจวเฉิงถึงสนามฝึก โจวเฉิงไม่ต้องรักษาศักดิ์ศรีต่อหน้าว่าที่แม่ยายกับคนรักของเขาหรือ? ระหว่างความวุ่นวายมันเกิดอุบัติเหตุจริงๆ ทุกคนถอยกันคนละก้าวเถอะ...”
“โจวเฉิง เธอเลือกเองนะ จะขอโทษและเขียนรายงานสำนึกความผิด หรือรอพวกเราลงโทษ?”
หัวหน้าของเขายอมลดละให้ เขาเคยกินเนื้อแพะนั่น แตงโมก็ยังเหลืออยู่บนโต๊ะของเขาอีกครึ่ง นี่เป็เพราะได้ผลประโยชน์จากคนอื่นมาถึงโอนอ่อนให้ ‘บทลงโทษทางวินัย’ กลายเป็ ‘ลงโทษ’ เช่นนั้นลักษณะก็แตกต่างกันแล้ว อย่างแรกต้องบันทึกลงในประวัติ อย่างหลังแค่รอดูว่าจะลงโทษอย่างไร มีแบ่งหนักเบา
โจวเฉิงไม่แม้แต่จะไตร่ตรอง เขาโค้งคำนับให้
“ผมยินดีรับการลงโทษ!”