แตงโมที่แช่เย็นในบ่อน้ำ
ปลายมีดเพิ่งััเปลือกแตงโมเท่านั้น แตงโมทั้งลูกก็แตกออกจากกันทันที
ไม่ใช่เพราะแตงโมเน่า แต่เป็เพราะแตงโมสุกจัดแล้ว!
เปลือกบางเมล็ดน้อย ส่วนเนื้อกึ่งกรอบกึ่งทราย พอกัดเข้าไปหนึ่งคำ น้ำแตงโมหยดย้อยไหลตามแนวคาง ในปากมีเนื้อแตงโมคำโต รีบเขมือบลงไป ในที่สุดก็ส่งเสียงอุทานเฮือกใหญ่ออกมา
“หวาน!”
บ้างก็สวาปาม บ้างก็ค่อยๆ ลิ้มรส ไม่ว่าจะกินแบบไหน ความหวานของแตงโมก็ลอยฟุ้งกลางอากาศทั้งนั้น
ลูกน้องของโจวเฉิงนั่งยองใต้บริเวณร่มไม้ คนสิบกว่าคนล้อมวงเป็กลุ่ม แบ่งกันกินแตงโมที่หนักมากกว่า 10 ชั่ง ได้กินของแบบนี้หนึ่งคำในวันอากาศร้อน ไม่ด้อยไปกว่าได้กินเนื้อหมูเลยทีเดียว ทั้งสองสิ่งเป็ความเพลิดเพลินทางประสาทััที่แตกต่างกัน แค่ได้กินถือว่าดีที่สุดแล้ว ส่วนคนที่ไม่ได้แตงโม ทำได้เพียงมองอยู่ไกลๆ ควบคุมการหลั่งของน้ำลายไม่ได้แม้แต่น้อย
“ทำไมพวกเราไม่มี?”
“คู่หมายของโจวเฉิงซื้อมา...”
“คราวก่อนที่กินเนื้อแพะก็มีนี่นา!”
“ทำไมคนเขาต้องซื้อให้นายทุกครั้งไปด้วยเล่า... อีกอย่างนะ พวกนายไม่รู้รึ?”
ศีรษะของหลายคนสุมเข้าหากัน ไม่รู้เื่อะไร?
ผู้รู้รายละเอียดดีจึงเล่าเื่ราวที่เซี่ยเสี่ยวหลานส่งเนื้อแพะมา ทว่าโจวเฉิงกลับถูกรายงานโดยบุคคลไม่ระบุชื่อ เสมือนจริงเปี่ยมอรรถรส ราวกับเห็นฟางซื่อจงไปรายงานด้วยตาตนเอง
ทีนี้ทุกคนก็พากันอารมณ์เสียแล้ว
คนรักของโจวเฉิงอาจไม่ได้นำของมาฝากทุกคนทุกครั้งเสมอไป แต่เดิมทีนั้นพวกเขายังมีโอกาสได้ลิ้มรส ตอนนี้กลับถูกผลักไสไล่ส่งให้อยู่นอกวง ทุกคนชังฟางซื่อจงเหลือทน น้ำแกงเนื้อแพะเมื่อครั้งก่อนนั้น ฟางซื่อจงก็กินเหมือนกันนี่นา กินเนื้อแพะที่คนอื่นเขาจ่ายเงินซื้อ ดันไปรายงานเขาเสียได้ ละอายแก่ใจบ้างหรือเปล่า!
ทำเอาทุกคนไม่ได้กินไปด้วยเลย!
อันที่จริงกลุ่มลูกน้องของโจวเฉิงก็กำลังสนทนาเื่นี้เช่นกัน
“พวกนายว่าพี่สะใภ้เราทำงานอะไร นี่มันใจกว้างสุดยอดเลยนะ”
“คราวก่อนเป็เนื้อแพะ คราวนี้เป็แตงโม ไม่รู้ว่าคราวหน้าจะให้อะไร... โอ๊ย นายตบหัวฉันทำไม?”
“หุบปากเถอะน่า พี่สะใภ้ต้องเลี้ยงดูนายรึ ถ้าเอาของมามากมายขนาดนี้ทุกครั้ง ต่อให้เศรษฐีเป็หมื่นหยวนก็ไม่พอใช้หรอก!”
และแล้วก็เงียบปากจริงๆ แตงโมรสชาติหวานอร่อย ทว่าจะกินจนพี่สะใภ้จนลงไม่ได้หรือเปล่า? หลังกินแตงโมเสร็จ ควรสะท้อนความคิดเห็นจากใจจริงกับหัวหน้าโจวสักหน่อย ขอให้ครั้งหน้าพี่สะใภ้อย่าสิ้นเปลืองอีกเลย
พวกเขารู้ว่าเซี่ยเสี่ยวหลานมีผลการเรียนดีเยี่ยม อันดับหนึ่งประจำมณฑล มหาวิทยาลัยหัวชิง ทุกคนกำลังพูดคุยเกี่ยวกับประเด็นเหล่านี้ในหมู่พวกเขาเอง
มีคนบอกว่าเซี่ยเสี่ยวหลานมาจากชนบทต่างมณฑล
แน่นอนว่าแทบไม่มีคนเชื่อข้อมูลนี้
ท่ามกลางพวกเขามีคนชนบทไม่ใช่น้อย ชีวิตชนบทเป็เช่นไร ทุกคนจะไม่รู้หรือ?
อาชีพของพวกเขานี้คือเกียรติยศ ประหยัดอาหารให้ครอบครัวได้ แม้แต่เสื้อหรือกางเกงก็ได้รับการดูแลโดยหน่วยงาน อีกทั้งยังจ่ายเบี้ยเลี้ยงให้พวกเขาทุกเดือน
หากพลาดการเข้าทำงาน และร่างกายผ่านเกณฑ์การตรวจสุขภาพ เป็ลูกผู้ชายปกป้องบ้านเกิดคุ้มครองประเทศได้ย่อมดีที่สุดอย่างแน่นอน!
หลังกระจายที่ดินสู่ครัวเรือนในสองปีที่ผ่านมานี้ ชีวิตในชนบทได้เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น แต่คนชนบทคนไหนๆ ก็ไม่ใจป้ำอย่างเซี่ยเสี่ยวหลาน ใครบอกว่าเธอเป็คนชนบท คนเหล่านี้เป็กลุ่มแรกที่ปฏิเสธจะเชื่อ หน้าตาของพี่สะใภ้ประหนึ่งถูกสรรสร้างออกมาโดยฝีแปรง คนจริงๆ ทั่วไปสวยขนาดนั้นไม่ได้ ผิวขาวอ่อนละมุน หญิงสาวชนบทที่ทำงานเกษตรทุกวันไม่สามารถดูแลให้กลายเป็เช่นนี้ได้
ยิ่งไปกว่านั้น วันนี้คนในครอบครัวของพี่สะใภ้ก็มาด้วยเช่นกัน
หลิวเฟินกับหลี่เฟิ่งเหมยเปลี่ยนแปลงไปจากตอนเพิ่งเข้าเมืองโดยสิ้นเชิง จริงๆ แล้วหลิวเฟินหน้าตาดีทีเดียว ใบหน้าของเซี่ยเสี่ยวหลานประกอบขึ้นจากจุดเด่นของคนบ้านหลิว
เดิมทีสองแม่ลูกมีเครื่องหน้าคล้ายกัน ผิวที่คล้ำเพราะตากแดดของหลิวเฟินขาวขึ้นหลายระดับจากการพยายามบำรุงและป้องกันแสงแดดไปพร้อมๆ กัน ตอนนี้เธอยังไม่ถือว่าขาวผ่อง ทว่าก็เป็สีผิวของคนทั่วไป ชาวจีนเป็กลุ่มชาติพันธ์มองโกลอยด์ คนผิวขาวจัดว่ามีอยู่เป็ส่วนน้อย คนส่วนใหญ่แม้ผิวขาวก็เจือเหลืองอยู่ดี
ทาครีมเกล็ดหิมะบนใบหน้าเล็กน้อย เช่นนั้นแล้วความเหลืองก็จะไม่หลงเหลืออยู่เลย
ใส่ใจการแต่งเนื้อแต่งตัวอีกหน่อย ใครจะกล้าบอกว่าหลิวเฟินเป็หญิงชนบท?
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหลี่เฟิ่งเหมย เธอรูปร่างออกจะอวบอิ่มอยู่แล้ว หลังเป็ผู้จัดการในร้านเสื้อผ้าหลายเดือน มีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนบ่อยขึ้น ทำอะไรก็ไม่ประหม่าอีกต่อไป
แม้แต่หลิวจื่อเทาก็สะอาดสะอ้านเหมือนกัน ใครเข้ามาพูดคุยกับเขา เขาจะทักทายกลับอย่างสุภาพต่อทุกคน เจอผู้บังคับบัญชายังโค้งคำนับแสดงความเคารพอีกด้วย พอผู้บังคับบัญชาถูกเด็กน้อยคนนี้ฉะอ้อนด้วยคำหวานไม่กี่ประโยค ก็ตกลงให้โจวเฉิงพาเขาไปยิงเป้า!
พวกเซี่ยเสี่ยวหลานทั้งสามคนกำลังสนทนากันใต้ร่มไม้ หลิวจื่อเทาก็รายงานภารกิจแก่พี่เขยทันที
“พี่เขย พี่เฉินชิ่งจะเรียนหนังสือในปักกิ่งเหมือนกัน เขาจะไปหาพี่เสี่ยวหลานบ่อยๆ หรือเปล่า?”
โจวเฉิงมองเขา เ้าน้องชายตัวน้อยคนนี้เป็ประโยชน์จริงๆ ด้วยสิ
“มามามา เธอช่วยเล่าให้พี่ฟังมากกว่านี้อีกหน่อยสิ”
สำหรับเฉินชิ่งน่ะหรือ ตอนแรกโจวเฉิงไม่สนใจนัก ทว่าเส้ากวงหรงไปรับเซี่ยเสี่ยวหลานและพวกที่สถานี ก็บอกเป็การส่วนตัวว่าหนุ่มนั่นมีใจทะเยอทะยาน มีสัญชาตญาณดื้อรั้น!
แม้เป็เพียงหลานชายของหัวหน้าหมู่บ้าน ใครจะคาดเดาได้ว่าวันหนึ่งวันไหนไอ้หนุ่มนี่อาจมีชีวิตดีขึ้นมา? นอกจากนี้เขายังคงคิดไม่ซื่อต่อเสี่ยวหลานอยู่ มิเช่นนั้นคงไม่ตามมาถึงปักกิ่ง อีกทั้งจงใจเลือกเรียนเศรษฐศาสตร์ เด็กชนบทอย่างเขา รู้หรือไม่ว่า ‘เศรษฐศาสตร์’ คืออะไร!
เลือกเรียนเศรษฐศาสตร์ก็เพื่อจะเข้าใกล้เสี่ยวหลาน
อยากมีภาษาร่วมกันกับเสี่ยวหลานรึ
โจวเฉิงไม่กล้าละเลยจุดนี้ การที่ชายหญิงจะลงเอยกัน นอกจากแรงดึงดูดแรกเริ่ม มิใช่ยังต้องพิจารณานิสัยและความสนใจว่าเข้ากันได้ดีหรือไม่รึ?
ก็เหมือนที่เขารู้สึกต่อเสี่ยวหลาน ถูกตาต้องใจั้แ่แรกเห็น นั่นเป็รักแรกพบจากรูปกายภายนอก พอยิ่งรู้จักก็ยิ่งชอบ ชอบความเพียรพยายามพัฒนาตนและความมั่นใจในตัวเองของเธอ
หากเฉินชิ่งศึกษาสิ่งที่เสี่ยวหลานสนใจโดยเฉพาะ จะมีเื่ราวพูดคุยกับเสี่ยวหลานได้จริงๆ
เส้ากวงหรงมองว่าปัญหาไม่ได้ร้ายแรงสักเท่าไร แต่กระทั่งเด็กประถมตัวน้อยอย่างเทาเทายังคิดว่าต้องมารายงานแก่พี่เขย โจวเฉิงเกิดความสนใจ ต้องเจอเ้าหนุ่มนี่สักหน่อยเมื่อไรดี?
----------------------------------------
การถกเถียงเกี่ยวกับแตงโมลอยเข้าหูเกาเฟยและฟางซื่อจง คำชื่นชมที่มีต่อโจวเฉิงกับเสี่ยวหลาน สำหรับพวกเขาย่อมไม่ใช่อะไรที่รื่นหูนัก
เกาเฟยกับฟางซื่อจงทำตัวเหมือนตัวละครฝ่ายอธรรมในละครต้นแบบ [1] ไม่รู้ว่าคนใจร้ายหน้าไหนพูดว่าฟางซื่อจงคือ ‘ขบถฟาง’ ถ้าชื่อนี้แพร่ออกไปไกล ผู้บังคับบัญชาเบื้องบนจะมองเขาอย่างไร? เกาเฟยไม่กล้าถ่อไปโวยวายต่อหน้าโจวเฉิง นั่นมันคือการยอมรับฉายานี้ด้วยตัวเองไม่ใช่รึ?
เธอเลือกปะทะกับต้นตอของปัญหานั่นเอง
ฟางซื่อจงห้ามเธอไม่อยู่ เกาเฟยตรงไปยังสนามฝึกซ้อมทันที
เธอไม่ได้บันดาลโทสะใส่เซี่ยเสี่ยวหลาน แต่เธอขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกระแนะกระแหนหลิวเฟิน “คนต่างถิ่นนี่ไม่ได้รับการอบรบสั่งสอนจากครอบครัวสินะ แค่สอบติดหัวชิงก็ไม่เห็นใครในสายตาแล้ว? หลังเรียนจบมหาวิทยาลัย 4 ปี ไม่ได้แปลว่าลูกสาวคุณจะกลายเป็คนปักกิ่งได้เสมอไปนะ ไม่รู้ว่าเป็เศรษฐีใหม่มาจากไหน ถึงเอามาอวดว่าคุณสามารถ อวดว่าคุณมีเงิน? พวกคุณคิดว่าตัวเองเป็ใคร—”
หลิวเฟินโดนต่อว่าต่อขานจนงุนงงไปหมดแล้ว
เธอไม่รู้จักเกาเฟยแม้แต่น้อย
เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองไปทำอะไรให้อีกฝ่ายเจ็บช้ำน้ำใจ!
ไม่ อาจไม่ใช่ทำให้อีกฝ่ายเจ็บช้ำน้ำใจ คนบางคนก็เลวร้ายเช่นนี้ เหมือนคนตระกูลเซี่ยในอดีต
เซี่ยเสี่ยวหลานดันหลิวเฟินและหลี่เฟิ่งเหมยไปด้านหลัง “แม่กับป้าถอยไปก่อน ฉันจัดการเอง”
ฟางซื่อจงเดินอืดอาดตามมาอยู่ด้านหลัง เขาแน่ใจแล้วว่านี่เป็เพียงการปะทะคารมระหว่างผู้หญิง ยกไปทะเลาะต่อหน้าผู้บังคับบัญชาก็ตัดสินไม่ได้ว่าใครไร้เหตุผล
เซี่ยเสี่ยวหลานฉีกยิ้มเยือกเย็น “เกาเฟย เธอกล่าวหาว่าคนอื่นกระจอกงอกง่อย แล้วเธอเองล่ะเป็ใคร? ต่อให้เธอทำอย่างไร โจวเฉิงก็ไม่ชอบเธอหรอก”
เกาเฟยหน้าแดงก่ำ ฟางซื่อจงเองก็โมโหเพราะความอับอาย นี่เซี่ยเสี่ยวหลานกำลังบอกว่าเกาเฟยใส่หมวกเขียวให้เขามิใช่หรือ? ขณะที่ฟางซื่อจงยกมือขึ้น โจวเฉิงก็วิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว
เพี๊ยะ!
แขนของผู้ชายสองคนกระทบกันกลางอากาศ เกาเฟยกรีดร้องพลางถลาเข้ามาห้าม ฟางซื่อจงดีดตัวขึ้นมาจะต่อยโจวเฉิง โจวเฉิงคว้ามือของเขาทันที ฟางซื่อจงออกแรงกระแทกมือของโจวเฉิงจนเบนทิศ มือของโจวเฉิงระงับแรงไม่อยู่ มือของเขาจึงกระทบโดนใบหน้าของเกาเฟยท่ามกลางความวุ่นวาย
แรงมือของผู้ชายนั้นมากเพียงใด? เดิมทีเขาตั้งใจจะมุ่งไปหาฟางซื่อจง ใครจะรู้ว่าแค่ฝ่ามือเดียวกลับทำเอาเกาเฟยล้มลงกับพื้น
ฟางซื่อจงถึงกับตกตะลึง จากนั้นก็ชี้หน้าด่าโจวเฉิงทันที “แกตบภรรยาของฉัน? กับผู้หญิงแกก็ลงมือได้?”
กระทั่งตัวโจวเฉิงเองยังงุนงง ประเดี๋ยวประด๋าวถัดมาก็ขมวดคิ้วนิ่วหน้า “ปกติผมไม่ตีผู้หญิง แต่ผมไม่เสียใจที่ตีหมาบ้า อีกอย่างเื่ราวมันเป็อย่างไรกันแน่ คุณรู้ดีกว่าใครทั้งนั้น!”
เชิงอรรถ
[1]样本戏 ละครต้นแบบ คือ ผลงานละครที่ผลิตขึ้นระหว่าง่ปฏิวัติวัฒนธรรม (รวมถึงอุปรากร บัลเล่ต์ ละครวิทยุ ฯลฯ)