เฟิ่งเฉี่ยนอดทอดถอนใจไม่ได้ ในอดีตฮองเฮาได้สร้างความเกลียดชังให้กับผู้คนมากมายเพียงใดกันนะ!
ทว่านางคงไม่ได้มองข้ามประเด็นสำคัญอย่างหนึ่ง...
เหตุใดนางจึงข้ามเวลาทะลุมิติมาได้? นั่นเป็เพราะเ้าของร่างเดิมเสียชีวิตไปแล้ว!
ฮองเฮาเพียงแค่ตบหน้าองค์หญิงไปเพียงหนึ่งฉาด ทว่าองค์หญิงกลับซัดฝ่ามือเข้ามาที่หน้าอกของฮองเฮาหมาย้าเอาชีวิตของนาง!
เมื่อเปรียบเทียบเช่นนี้ อย่าได้กล่าวถึงการตบองค์หญิงเพียงหนึ่งฉาด ต่อให้ต้องสังหารองค์หญิงเพื่อเป็การชดใช้ด้วยชีวิตก็ถือว่าไม่เกินไป!
ไทเฮาได้ยินคำพูดขององค์หญิงหลานซิน นางหวั่นไหวทันทีอีกทั้งมารดาผู้ให้กำเนิดองค์หญิงหลานซินเป็พี่สาวแท้ๆ ของนาง นางย่อมต้องมีใจเอนเอียงไปเข้าข้างหลานสาวของตนเอง “องค์หญิงลุกขึ้นเถิด! องค์หญิงไม่ได้รับความเป็ธรรม อายเจีย[1]จะต้องคืนความเป็ธรรมให้เ้าแน่นอน!”
“ขอบพระทัยไทเฮาเพคะ” องค์หญิงหลานซินซาบซึ้งใจจนน้ำตาไหลพราก ขณะที่ลุกขึ้นใบหน้าก้มต่ำ มุมปากของนางปรากฏให้เห็นรอยยิ้มลำพองใจที่สังเกตได้ยากยิ่ง
ไทเฮาหันมาใช้น้ำเสียงเข้มงวดกับเฟิ่งเฉี่ยน “ฮองเฮา เ้าตบตีคนแล้วไม่สำนึกผิด ซ้ำยังทำราวกับเป็เื่สมเหตุสมผล ในสายตาของเ้ายังมีกฎระเบียบของวังหลวงอยู่หรือไม่? อายเจียสั่งให้เ้าขอขมาองค์หญิงเดี๋ยวนี้!”
“หากหม่อมฉันไม่ยอมขอขมาเล่าเพคะ?” เฟิ่งเฉี่ยนยิ้มบางๆ มองตอบกลับไปอย่างไร้ซึ่งความเกรงกลัว นางรู้ว่าตนเองยังคงเป็ฝ่ายถือไพ่ที่เหนือกว่า ไพ่ใบแรกของนางคือพินัยกรรมของอดีตฮ่องเต้ ก่อนหน้าที่อดีตฮ่องเต้จะทรงเสด็จตได้เขียนพินัยกรรมไว้ฉบับหนึ่ง คือพระราชทานสมรสนางให้แก่เซวียนหยวนเช่อ อีกทั้งยังไม่อนุญาตให้เซวียนหยวนเช่อปลดฮองเฮา! ไพ่ใบที่สองของนางคือบิดาของนางเอง เขาก็คืออัครมหาเสนาบดี เฟิ่งชาง! ผู้อยู่ใต้คนเพียงคนเดียวแต่อยู่เหนือคนนับหมื่น พินัยกรรมของอดีตฮ่องเต้เพียงส่งให้นางขึ้นสู่ตำแหน่งฮองเฮา แต่บิดาของนางต่างหากที่ส่งให้นางทำอะไรตามอำเภอใจในตำหนักในได้!
แม้ก่อนหน้านี้นางจะดูถูกดูแคลนคนที่ชอบอาศัยบารมีของบิดา ทว่าเวลานี้นางมีบิดาที่สู้ผู้อื่นได้ ไฉนจะไม่ใช้ประโยชน์เล่า?
ไทเฮามีสีหน้าอึมครึมขณะมองนางด้วยโทสะ “หากเ้าไม่ขอขมา ให้ส่งตัวเ้าเข้าตำหนักเย็น หันหน้าเข้ากำแพงพิจารณาตัวเองเป็เวลาหนึ่งเดือน!”
พูดแล้วนางลอบมองไปทางเซวียนหยวนเช่อปราดหนึ่ง เห็นสีหน้าของเขายังคงเหมือนเดิม ริมฝีปากบางนั้นเม้มแน่น ไม่แสดงท่าทีโกรธเคือง นางจึงลอบพรูลมหายใจอย่างโล่งอก
ขนตาหนาดกเป็แพกระพือเบาๆ ราวกับพัด เมื่อช้อนตาขึ้นอีกครั้งในแววตาของเฟิ่งเฉี่ยนกระจ่างใส “ได้ หม่อมฉันขอขมา”
ไทเฮาตกตะลึง ท่าทีของฮองเฮาเปลี่ยนแปลงเร็วเช่นนี้ นางกลับเป็ฝ่ายรู้สึกไม่คุ้นเคยเสียเอง
ขุนนางนอกราชสำนักเพิ่งจะเก็บอัดโทสะไว้เต็มท้อง เวลานี้เห็นนางยอมอ่อนข้อให้ คิ้วจึงคลายตัวลงพร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงโอ้อวดถือดี “ตามกฎระเบียบของแคว้นหนานเยียนของพวกเรา การขอขมาองค์หญิงต้องคุกเข่าสามครั้งโขกศีรษะเก้าครั้ง จึงจะนับว่าได้ว่าทำอย่างถูกต้องตามประเพณี!”
บรรดาสนมชายาได้ยินแล้ว แต่ละนางล้วนมีสีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่องรอดูละครฉากสำคัญ
องค์หญิงหลานซินลอบมองไทเฮาและฮ่องเต้ที่ประทับอยู่เบื้องบน เห็นคนทั้งสองมิได้มีท่าทีขัดขวาง มุมปากจึงยกขึ้นสูงด้วยรอยยิ้มได้ใจ
เฟิ่งเฉี่ยนกวาดสายตามองไปรอบๆ เพื่อจดจำสีหน้าและแววตาของคนทั้งหมดเอาไว้ นางพูดด้วยน้ำเสียงไม่แสดงความรู้สึกว่า “ได้ เช่นนั้นก็ทำตามกฎเกณฑ์ของแคว้นหนานเยียน...”
ท่ามกลางสายตาของทุกคน เฟิ่งเฉี่ยนก้าวเข้าไปหาองค์หญิงหลานซินทีละก้าวๆ นางยอบกายลงเล็กน้อย จากนั้นค่อยๆ โน้มศีรษะและคอที่ตั้งตรงของนางลงช้าๆ...
สาวใช้น้ำตาเอ่อคลอเต็มดวงตารู้สึกปวดใจอย่างที่สุด “เหนียงเหนียง...”
ดวงตาขององค์หญิงหลานซินปรากฎให้เห็นรอยยิ้มของผู้กำชัยชนะ ผู้ใดกล่าวว่าฮองเฮาของแคว้นเป่ยเยียนแตะต้องไม่ได้ ผู้ใดกล่าวว่าเมื่อนางมาถึงวังหลวงของแคว้นเป่ยเยียนแล้วไม่ว่าจะทำอะไรล้วนต้องดูสีหน้าฮองเฮา? ฮองเฮาผู้อวดดีคนนั้นที่จริงแล้วโง่เขลาแทบแย่ นางเพียงแค่ใช้เล่ห์เหลี่ยมเล็กๆ น้อยๆ ก็เหยียบย่ำนางไว้ใต้ฝ่าเท้าได้แล้ว โดยที่แทบจะไม่ได้เสียแรงแม้แต่น้อย! หึๆ นับแต่นี้ต่อไป นางจะต้องเป็คนสำคัญอันดับหนึ่งของตำหนักในแห่งนี้...
ขณะที่กำลังคิดอย่างลำพองใจอยู่นั้น คนที่กำลังค่อยๆ คุกเข่าลงช้าๆ ตรงหน้าพลันเงยหน้าขึ้น
ริมฝีปากของเฟิ่งเฉี่ยนคลี่ออกเล็กน้อย ราวกับดอกฝิ่นที่กำลังเตรียมจะเบ่งบานในยามราตรี ชั่วร้ายสามส่วน เปี่ยมเสน่ห์เจ็ดส่วน!
หัวใจขององค์หญิงหลานซินเต้นผิดไปหนึ่งจังหวะ สัญชาตญาณของนางบอกตนเองว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง ทว่าสายเกินไปเสียแล้ว...
เพียะๆๆๆๆๆๆๆๆๆ... เสียงฝ่ามือตบฉาดลงบนใบหน้าสิบครั้งติดๆ กันดังเข้ามาในโสตประสาท!
ใบหน้างดงามนั้น รู้สึกปวดแสบปวดร้อนเป็อย่างแรก ก่อนจะค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็ชาไปทั้งแถบ จนกระทั่งไร้ซึ่งความรู้สึก องค์หญิงหลานซินถูกตบจนโง่งม นางประคองใบหน้าที่บวมปูดราวกับหัวสุกรยืนตะลึงอยู่ที่นั่น ลืมกระทั่งการตอบโต้
ชั่วขณะนั้นภายในศาลาริมทะเลสาบมีเพียงเสียงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ
ตกตะลึง เงียบงัน---
ดวงตาเ็าของเซวียนหยวนเช่อหรี่ลงเล็กน้อย เขามองเฟิ่งเฉี่ยนด้วยสายตาเหมือนคมดาบ ราวกับกำลังใช้สายตานั้นกรีดลงบนร่างของนางเป็าแ ไม่นานความเ็าในดวงตาสลายไป แทนที่เข้ามาคือความรังเกียจ! เขาเกลียดชังการแย่งชิงความโปรดปราน แต่เกลียดชังสตรีที่ชอบแย่งชิงความโปรดปรานยิ่งกว่า
เฟิ่งเฉี่ยนััได้ถึงสายตารังเกียจของเขาทันที ในใจจึงรู้สึกไม่มีความสุขนัก นั่นเขาใช้สายตาอันใดกัน? ท่านคิดว่าข้าคิดจะแย่งชิงความโปรดปราน? ข้าไม่มีความคิดเช่นนั้นหรอกนะ!
มองไปรอบๆ อีกครั้ง เสียงของนางพลันดังขึ้นในศาลาริมทะเลสาบ “ตบหนึ่งครั้งก็คือตบ ตบสิบครั้งก็คือตบเช่นกัน! คิดจะให้ข้าก้มศีรษะขอขมาหรือ ชาติหน้าเถอะ!”
การตบหน้าสิบครั้งนี้ นางทำแทนเฟิ่งเฉี่ยนที่ต้องตายไป นับว่าเป็การแก้แค้นแทนนาง
คนภายในศาลาต่างมองมาที่เฟิ่งเฉี่ยนที่ยืนอยู่กลางศาลาด้วยแววตาตื่นตระหนกราวกับกำลังเห็นปีศาจตนหนึ่ง
เฟิ่งเฉี่ยนไม่ใส่ใจคนเหล่านี้อีกต่อไป นางเดินเข้าไปหาสาวใช้ของตน แล้วพูดขึ้นเรียบๆ ประโยคหนึ่ง “ไปเถิด”
สาวใช้อ้าปากกว้างราวกับกำลังสำลักน้ำลายของตนเอง และถามขึ้นว่า “ไป...ไปไหนเพคะ?”
“ตำหนักเย็น!” นางกล่าวออกมาสามคำด้วยน้ำเสียงไม่แยแส เฟิ่งเฉี่ยนหมุนตัวเดินออกไปจากศาลารับลมด้วยตนเอง
[1] อายเจีย แปลว่า ผู้น่าสงสาร เพราะเป็ม่ายร้างพระสวามี เป็คำเรียกแทนตัวเองของไทเฮา และฮองไทเฮา (จะไม่ใช้คำว่า เปิ่นกง เหมือนฮองเฮา)