เฟิ่งเฉี่ยนนั่งอยู่ในศาลาริมทะเลสาบ ดวงตาทั้งคู่ของนางมองดวงหน้าอันไม่คุ้นเคยเ่าั้ด้วยความงงงัน เส้นเืบริเวณขมับเต้นตุบเป็พักๆ
“ฝ่าา เพื่อกระชับไมตรีระหว่างสองแว่นแคว้น ทางแคว้นหนานเยียนของพวกเราจึงได้ส่งตัวองค์หญิงหลานซินมาเพื่อแต่งงานกระชับความสัมพันธ์เป็การเฉพาะ นี่เพิ่งจะเข้าวังมาได้ไม่ถึงหนึ่งวันกลับได้รับการดูถูกดูิ่เยี่ยงนี้ ข้าขอบังอาจทูลถามฝ่าา นี่มันเหตุผลอันใดกันพ่ะย่ะค่ะ?” เบื้องหน้าคือขุนนางนอกราชสำนักที่พูดด้วยน้ำเสียงเย่อหยิ่งและแฝงท่าทีวางอำนาจ
ข้างกายของเขามีสตรีรูปร่างบอบบางในอาภรณ์ของราชสำนักกำลังนั่งก้มหน้าสะอึกสะอื้นอยู่ บนใบหน้างดงามนั้นมีรอยนิ้วมือสี่นิ้วปรากฏให้เห็นชัดเจน ดูแล้วช่างน่าเวทนา
นี่กำลังแสดงละครฉากใดกัน? ดูเหมือนเกิดเื่เช่นนั้นขึ้นจริงๆ ฝีมือการแต่งหน้าจากฝ่ายคอสตูมของสาวงามนางนั้นเหมือนจริงเหลือเกิน เพราะว่ารอยฝ่ามือที่ประทับอยู่บนใบหน้าราวกับถูกแต่งออกมาได้เสมือนจริง!
อย่างกับกองถ่ายละคร!
ขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น เสียงหัวเราะเบาๆ ก็ถูกเปล่งออกมาจากริมฝีปากของเฟิ่งเฉี่ยน แม้จะรู้สึกปวดแสบปวดร้อนบริเวณใบหน้า เมื่อเงยหน้าขึ้นจึงพบว่ามีสายตาสิบกว่าคู่กำลังมองตรงมาที่นาง
ขุนนางนอกราชสำนักคนนั้นถึงกับหน้าแดงด้วยโทสะและเอ่ยน้ำเสียงสูงขึ้นอีกสองคีย์ “หากฝ่าามิอาจให้คำตอบที่น่าพอใจได้ แคว้นหนานเยียนของพวกเราจำต้องใช้กำลังทางทหารของแคว้นเพื่อล้างความอับอายให้กับองค์หญิง!”
หัวคิ้วของเฟิ่งเฉี่ยนกระตุกเล็กน้อย เอ๊ะ นี่ไม่ใช่กองถ่ายละคร ดูเหมือนจะเป็เื่ที่เกิดขึ้นจริง!
นาง...ดูเหมือนนางจะทะลุมิติมาแล้ว!
เฟิ่งเฉียนรู้สึกเหมือนศีรษะของตัวเองพองโตขึ้น ความทรงจำของคนอีกคนหนึ่งไหลบ่าเข้ามาในสมองของนางราวกับคลื่นกระแสน้ำในทะเลสาบอย่างไรอย่างนั้น นางพลันพบว่า แท้ที่จริงแล้วตนก็คือคนที่พวกเขาเ่าั้กำลังกล่าวถึง...ฮองเฮาแห่งแคว้นเป่ยเยียน เฟิ่งเฉี่ยน!
นางตวัดสายตาไปมองบุรุษที่อยู่ในอาภรณ์สีเหลืองขมิ้นข้างกายตนปราดหนึ่ง บนศีรษะของเขาสวมมงกุฎทองคำ เอวคาดด้วยผ้าไหมสีทองประดับด้วยเพชรนิลจินดา ไม่รู้ว่าเป็เพราะแสงหรือเป็เพราะเขารูปงามเกินไป เฟิ่งเฉี่ยนรู้สึกเพียงว่าแสงสีทองที่เปล่งออกมาจากร่างของเขาทำให้บาดตาผู้คนจนมิกล้ามองเขาตรงๆ
เขานั่งอย่างสง่างามอยู่ที่นั่น ไม่เคลื่อนไหวแม้แต่น้อย ทว่าองคาพยพทั้งห้าบนใบหน้าที่โดดเด่นเปี่ยมไปด้วยอำนาจและบารมีของฮ่องเต้ผู้ใต้หล้า ไม่ว่าผู้ใดล้วนต้องคุกเข่าแทบเท้าของเขา...
คนที่นั่งอยู่ข้างกายเขารู้สึกเหมือนนั่งอยู่ข้างูเาน้ำแข็งลูกหนึ่ง ไอเย็นะเืนั้นัักับผิวกาย กระทั่งลมหายใจยังแทบจะแข็งค้างอยู่ในอก
เขาคือฮ่องเต้แห่งแคว้นเป่ยเยียน เซวียนหยวนเช่อ!
ตามตำนานได้กล่าวถึงเขาว่าเป็ฮ่องเต้ที่ขึ้นครองราชย์ขณะที่พระชนมายุได้เพียงสิบหกชันษา เป็ฮ่องเต้ที่ทรงพระเยาว์ที่สุดในประวัติศาสตร์ และเป็ฮ่องเต้ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือแห่งยุค
เฟิ่งเฉี่ยนถึงกับหมดคำพูดไปอึดใจหนึ่ง นางไม่เพียงแต่ทะลุมิติข้ามเวลามาเท่านั้น ซ้ำยังได้สามีผู้เอาเปรียบมาด้วยอีกคนหนึ่ง!
ไม่รอให้เซวียนหยวนเช่อเอ่ยปาก สตรีวัยกลางคนที่นั่งหน้าตึงอยู่อีกด้านหนึ่งเป็ฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อนว่า “ท่านทูตระงับโทสะก่อนเถิด! ฮองเฮาไม่รู้ผ่อนหนักผ่อนเบา ทำให้องค์หญิงหลานซินต้องได้รับความไม่เป็ธรรม เื่นี้อายเจียจะให้ความเป็ธรรมแน่นอน!”
ทันทีที่ได้ยินคำพูดนี้ ขุนนางนอกราชสำนักผู้นั้นถึงกับมีสีหน้าลำพองใจขึ้นมาหลายส่วน “หากเป็เช่นนี้ดียิ่ง ขอฝ่าาและไทเฮาทรงตัดสินพระทัยโดยเร่งด่วน หาไม่แล้วข้อพิพาทระหว่างสองแคว้นคงต้องไกล่เกลี่ยกันในสนามรบ!”
ไทเฮาหันหน้ามองไปทางเซวียนหยวนเช่อ แววตานั้นแฝงไปได้ด้วยความยำเกรงและหวาดกลัว “ฮ่องเต้ พระองค์จะว่าอย่างไร?”
เซวียนหยวนเช่อนิ่งไปครู่หนึ่ง ใบหน้างดงามราวรูปปั้นแกะสลักอันเ็านั้นมองไปทางเฟิ่งเฉี่ยน สายตานั้นเพียงแค่ปรายตามองผ่านไปเท่านั้น “ฮองเฮา เ้ารู้ความผิดของตนหรือไม่?”
เฟิ่งเฉี่ยนพลันรู้สึกตัวเงยหน้าขึ้น ก็ประสานเข้ากับดวงตาเ็าเฉกเช่นหิมะใน่เวลาก่อนวสันตฤดูมาเยือนคู่หนึ่ง ความเยียบเย็นนั้นส่งผ่านเข้ามาถึงจิตใจ หัวใจของนางเย็นวาบ พร้อมๆ กับกำแพงป้องกันที่ก่อตัวขึ้น
บุรุษคนนี้ช่างมีบุคลิกกดข่มผู้อื่นเหลือเกิน!
ในความทรงจำของนาง บุรุษที่มีบุคลิกยิ่งใหญ่เช่นนี้เท่าที่นางเคยพบมาก็คือหมอจิตแพทย์รุ่นพี่ของนาง ลั่วปิง ครั้งนั้นนางได้ล่วงเกินบุคคลสำคัญที่มีอำนาจทางการเมือง บุคคลสำคัญทางการเมืองผู้นั้นจึงได้ตั้งรางวัลนำจับเพื่อให้นักฆ่ามาเอาชีวิตนาง รุ่นพี่เล่นงานนักฆ่าระดับยอดฝีมือสิบคนด้วยเข็มเงินเพียงเล่มเดียวทิ่มแทงพวกเขาเสียจนปัสสาวะราด เมื่อวงการนักฆ่าที่ได้ยินข่าวการตายดังกล่าว จึงไม่มีนักฆ่ากล้ารับงานตามรางวัลนำจับนั้นอีก!
นาทีนั้น นางรู้สึกว่ารุ่นพี่เท่สุดๆ!
เวลานี้เมื่อเปรียบเทียบบุคลิกของบุรุษตรงหน้ากับรุ่นพี่ของนางแล้ว...
สัญชาตญาณบอกกับนางว่า บุรุษคนนี้เป็คนอันตรายอย่างร้ายกาจทีเดียว!
ทว่านางในฐานะ จิ้งจอกเงิน มือสังหารอันดับหนึ่งของวงการนักฆ่าใต้ดิน คนอันตรายประเภทใดบ้างที่นางไม่เคยพานพบมาก่อน แล้วนางจะเกรงกลัวเขาหรือ?
ขณะที่กำลังขบคิดว่าจะตอบอย่างไรดี พลันมีเสียงตุบดังขึ้น สาวใช้ข้างกายคุกเข่าพร้อมทั้งโขกศีรษะลงกับพื้น “ฝ่าา เหนียงเหนียงเพียงแค่พลั้งมือโดยมิได้ตั้งใจเพคะ! อีกทั้งเหนียงเหนียงเพิ่งฟื้นขึ้นมา เกรงว่าจะยังไม่ฟื้นคืนสติอย่างเต็มที่เพคะ...”
“บังอาจ! ฝ่าากำลังตรัส เ้าซึ่งเป็เพียงบ่าวคนหนึ่งจะพูดแทรกได้อย่างไร?” ขุนนางนอกราชสำนักผู้นั้นก้าวออกมาพูดด้วยสีหน้าเ็าและน้ำเสียงดุดัน
เฟิ่งเฉี่ยนคิ้วกระตุก ดวงตาดำขลับนั้นหรี่ลงอย่างอันตราย...
พยัคฆ์ไม่แสดงอำนาจ ก็คิดว่าข้าเป็แมวป่วยหรือ?
นางพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “เ้าต่างหากที่บังอาจ! ที่นี่คือตำหนักในของแคว้นเป่ยเยียน เ้าในฐานะทูตของแคว้นหนานเยียน มีสิทธิ์อะไรมาพูดแทรก?”
ขุนนางนอกราชสำนักหน้าแดงก่ำ “เ้า...”
เฟิ่งเฉี่ยนแค่นหัวเราะเสียงเย็น “ในเมื่อองค์หญิงของพวกเ้าเข้ามาอยู่ในตำหนักในของแคว้นเป่ยเยียนของเรา เื่ภายในตำหนักในนับเป็เื่ภายในเรือนของฝ่าา หาก้าปรึกษาหารือเื่ระหว่างแคว้น ก่อนอื่นต้องเชิญองค์หญิงของเ้ากลับไปแคว้นหนานเยียนแล้วค่อยส่งทูตมาเจรจา! หาไม่แล้วก็หุบปากสุนัขของเ้าซะ เอะอะโวยวาย ช่างน่ารำคาญใจนัก!”
คนทั้งหมดที่ได้ยินคำพูดนี้ได้แต่ตกตะลึงตาค้าง สายลมบางๆ พัดเข้ามาจากทะเลสาบ ส่งผลให้บรรยากาศรอบข้างกลายเป็ความเงียบสงบอย่างผิดสามัญ
“เ้า...เ้า...ทำให้ข้าโมโหแทบตาย!” ขุนนางนอกราชสำนักชี้เฟิ่งเฉี่ยนด้วยนิ้วมือที่สั่นระริก แววตาของเขาสุมด้วยเปลวเพลิงที่แทบจะพ่นไฟออกมาอยู่แล้ว
เซวียนหยวนเช่อไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ทางสีหน้า ทว่าในดวงตากลับทอประกายวูบ สายตาเ็านั้นราวกับกระบี่คมกริบที่ค่อยๆ กระเทาะนางออกมา
ฮองเฮาผู้โอ้อวดถือดี หน้าอกใหญ่ทว่าไร้สมอง กลายเป็คนมีความคิดลึกซึ้ง คำพูดแต่ละคำล้วนแสดงให้เห็นถึงความคิดที่ตกผลึกเช่นนี้ั้แ่เมื่อใดกัน?
ทว่าเพียงแค่สามวินาทีสั้นๆ เท่านั้น เขาไม่เสียเวลาที่จะมองอีก คนที่รู้จักอุปนิสัยของเขาดีล้วนรู้ว่าเขากำลังจะสิ้นความอดทน
องค์หญิงหลานซินพลันคุกเข่าลงกับพื้นดังตุบด้วยดวงตาที่เอ่อคลอไปด้วยน้ำตา “ฝ่าา ในเมื่อหม่อมฉันแต่งเข้ามาในตำหนักในของแคว้นเป่ยเยียนแล้ว ย่อมต้องเป็คนของแคว้นเป่ยเยียน หม่อมฉันเพียงแค่้าทวงความเป็ธรรมให้กับตนเอง หรือมีฐานะเป็ฮองเฮาก็สามารถเหยียบย่ำสนมของตำหนักในได้ตามอำเภอใจหรือเพคะ?”
นางกวาดสายตามองเหล่าสนมชายาของตำหนักในที่อยู่ด้านนอกศาลาริมทะเลสาบ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเห็นอกเห็นใจ “เท่าที่หม่อมฉันรู้มา ในยามปกติฮองเฮาแสดงอำนาจบาตรใหญ่ภายในตำหนักในอยู่เสมอ บรรดาพี่สาวน้องสาวในตำหนักในต่างต้องถูกกดขี่ข่มเหง ได้แต่โมโหแต่ไม่กล้าพูดจา วันนี้หม่อมฉันก้าวออกมาพูดเพื่อทวงความเป็ธรรมให้กับบรรดาพี่สาวน้องสาวทั้งหมดของตำหนักใน ต่อให้ต้องได้รับการลงโทษเพราะสาเหตุนี้ หม่อมฉันก็จะไม่หลบเลี่ยงเพคะ!”
ช่างเป็คำพูดที่แสดงถึงความใจกว้างและจูงใจคนได้อย่างดีเยี่ยม เหล่าสนมชายาได้ยินเช่นนี้ล้วนส่งสายตาซาบซึ้งใจและเลื่อมใสไปให้นาง