หญิงสาวในชุดเดรสสั้นลูกไม้สีชมพูกลีบบัว แม้ท่อนบนจะเป็เสื้อแบบเปลือยไหล่ แต่ยังมีผ้าคลุมไหล่ไม่ให้รู้สึกเปิดเผยมากเกินไป เธอดูประหม่าและกระสับกระส่ายพลางขยับแว่นสายตาอยู่ตลอดเวลา
กวิวัชร์หรี่ตามองหญิงสาวที่ยืนอยู่หน้าห้องอาหารของโรงแรมหรูระดับห้าดาว มุมปากยกยิ้มแล้วสาวเท้าเข้าไปใกล้จึงเอ่ยปากทักทาย
“คุณพลอยดาว”
“ค่ะ!” หญิงสาวรีบตอบรับทันที สีหน้าดูแตกตื่นดูขัดกับชุดสวยที่เธอสวมอยู่
“มาแล้วทำไมไม่เข้าไปล่ะครับ ผมให้เลขา เอ่อ คุณพราวมุกจองโต๊ะให้เราแล้วนี่”
“พะ..พลอยเพิ่งมาถึงค่ะ” เธอไม่กล้าบอกว่ามารออยู่ราวยี่สิบนาทีแล้ว แต่เพราะไม่คุ้นชินกับร้านอาหารแบบนี้จึงคิดว่ารอเข้าไปพร้อมเขาดีกว่า
เขากวาดตามองเหมือนจับผิด แต่กระนั้นยังส่งยิ้มให้ก่อนผายมือเชิญให้เข้าไปด้านใน พนักงานต้อนรับคุ้นเคยกับกวิวัชร์เป็อย่างดี เดินนำสองหนุ่มสาวมาที่โต๊ะพิเศษที่ถูกจองไว้แล้ว กวิวัชร์เป็ฝ่ายเลื่อนเก้าอี้ให้หญิงสาวด้วยตนเองก่อนจะนั่งตรงข้ามกับเธอ
“คุณพลอย...”
“ค่ะ!”
“ผมจะถามว่าผมเรียกคุณว่าพลอยได้ไหม” เขาพูดยิ้มๆ แล้วรับเมนูมาพลิกดู “อาหารที่นี่อร่อยทุกอย่าง ขึ้นชื่อที่สุดก็สเต็กไม่รู้ว่าคุณพลอยชอบแบบไหนครับ”
“อะไรก็ได้ค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นผมขออนุญาตสั่งให้เลยนะครับ” เขาพูดยิ้มๆ แล้วสั่งอาหารกับบริกร “ขอไวน์ปิโนต์นัวร์ด้วยครับ”
“ดื่มไวน์เหรอคะ” หญิงสาวทำตาปริบๆ
“คุณพลอยก็ดื่มด้วยสิครับ เพื่อสุขภาพ” เขายังคงยิ้มเช่นเดิม แต่รอยยิ้มของเขาทำให้หญิงสาวหายใจไม่ทั่วท้อง
“คุณพลอยสนิทกับคุณพราวมุกไหมครับ” จู่ๆ เขาก็ถามขึ้นพลางรับแก้วไวน์จากบริกรขึ้นดมกลิ่นก่อนจิบเล็กน้อย
“เราเป็ฝาแฝดกันก็ต้องสนิทกันสิค่ะ” เธอรับแก้วไวน์มาแล้วจิบเล็กน้อย รู้สึกว่าสายตาของเขายังจับจ้องที่ใบหู ทำให้เธอเผลอยกมือขึ้นแตะ
“ผมเป็ลูกคนเดียวเลยไม่รู้ว่าการมีพี่น้องเป็ยังไง” เขาพูดหลังจากดื่มไปอีกอึกใหญ่ “ไม่รู้ว่าพวกคุณเล่นสลับตัวกันบ่อยไหมครับ”
“แค่กๆ”
เสียงสำลักไวน์และท่าทางใสุดขีดไม่อยู่เหนือการคาดหมายของกวิวัชร์เลยสักนิด เขายังหยิบผ้าเช็ดหน้าส่งให้เธอด้วยซ้ำ
“ว่าไงครับ คุณพราวมุก”
“บอส” คราวนี้หญิงสาวโอดครวญเบาๆ “บอสรู้ได้ไงว่าเป็มุกคะ”
“ผมยอมรับว่าคุณสองคนเหมือนกันมากนะ แต่เอาจริงๆ ก็แยกได้ไม่ยากนัก ต่อให้คุณมุกแกล้งทำเป็ประหม่า ขัดเขิน แต่ผมรู้ว่าคุณพลอยดาวถึงจะดูเงียบๆ แต่ไม่ใช่คนขี้อายจนขาดความมั่นใจ” กวิวัชร์พูดตามที่ใจคิด “คุณกลัวผมจะหลอกพี่สาวคุณหรือครับคุณพราวมุก”
“ก็...ค่ะ” ไหนๆ ก็มาถึงขั้นนี้แล้ว ถึงจะถูกไล่ออกก็ยอม ยังไงเธอไม่ยอมให้ใครมารังแกพลอยดาวได้เด็ดขาด
“นี่คุณไม่คิดว่าผมจะจริงใจกับคุณพลอยดาวเลยเหรอ” ได้เปิดอกคุยกันแล้วเขาก็ไม่ต้องอ้อมค้อม
“แต่บอสเจอพี่สาวมุกแค่สองครั้งเองนะคะ บอสถึงขนาดนัดดินเนอร์หรูแบบนี้เลยเหรอ ไม่น่าไว้ใจสักนิด”
“ถ้านัดแรกไม่หรูไม่ประทับใจจะมีครั้งต่อไปไหมล่ะครับ” กวิวัชร์หัวเราะอารมณ์ดีไม่นึกโกรธที่เลขาทำแบบนี้ “คุณพลอยดาวเป็คนใจเย็นใช่ไหม ผมรู้สึกว่าถ้าได้อยู่ใกล้คนแบบนี้แล้วทำให้ใจสงบดี”
“อย่างนี้เอง” พราวมุกถอนหายใจโล่งอก มือเรียวเล็กหยิบสมาร์ทโฟนออกมาวางบนโต๊ะแล้วส่งเสียงถึงคนปลายสาย “ได้ยินแล้วใช่ไหม...พลอย”
“ผมแยกเื่งานกับเื่ส่วนตัวออกจากกันได้” กวิวัชร์ส่ายหน้าไปมา “อีกอย่างผมก็ไม่ใช่เด็ก ถ้าสนใจใครก็ไม่อยากเสียเวลา ลองทำความรู้จักกันเลยดีกว่า ถ้าไม่เวิร์คก็แยกย้ายกันไป”
“คุณแน่ใจหรือคะว่าพลอยจะไม่ทำให้คุณเสียเวลาอันมีค่าของคุณไป ทั้งที่รู้ว่าเราแตกต่างกันมาก”
กวิวัชร์เงยหน้าขึ้นมองเ้าของเสียงหวานใส เธอสวมชุดกระโปรงแบบเดียวกับพราวมุก สองคนนี้พอแต่งตัวเหมือนกันแทบแยกไม่ออกเลยจริงๆ แต่แววตาไม่ยอมคนคู่นั้น ทำให้เขารู้ว่าเธอคือพลอยดาว ไม่ใช่พราวมุก
พราวมุกลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วแตะไหล่พลอยดาวเบาๆ “เอาไงดี”
“พลอยจัดการเองได้”
“งั้นมุกกลับก่อนนะ ถ้ามีอะไรตามมุกได้ทันที”
“อืม” พลอยดาวพยักหน้ารับ
พราวมุกสูดลมหายใจลึก ยังไงก็ไม่ใช่เด็กแล้ว ถึงจะเป็ห่วงยังไง แต่เื่นี้เป็เื่ส่วนตัวของพลอยดาวต้องตัดสินใจเอง พราวมุกมองหน้ากวิวัชร์แล้วพูดขึ้น
“ถ้าบอสรังแกพี่สาวมุกล่ะก็ เจอดีแน่”
กวิวัชร์รับคำหนักแน่นแต่สายตาหยุดที่เ้าของร่างอรชร พลอยดาวรอจนพราวมุกเดินออกไปแล้วจึงนั่งลงแทนที่น้องสาว นิ้วเรียวดันแว่นตาอย่างเคยชินไม่มีท่าทีหลบสายตาของเขา
“ผมสั่งริบอาย (Ribeye Steak)สเต็กไว้ คิดว่าคุณคงชอบ” เขายิ้มอารมณ์ดี “เปลี่ยนแก้วไหมครับ”
“ไม่เป็ไรค่ะ” พลอยดาวไม่ถือที่จะดื่มแก้วเดียวกับน้องสาว ไวน์แก้วแรกผ่านลงคอกระตุ้นให้หัวใจเต้นแรง แต่พลอยดาวกลับรู้สึกสมองโล่งขึ้น “วิวชั้นสามสิบสี่นี่สวยดีเหมือนกันนะคะ”
“ครับ ผมมากินข้าวที่นี่หลายครั้ง บางทีการได้มองอะไรไกลๆ มันก็สบายตาดี”
“มองตอนมืดๆ ก็เห็นแต่ไฟดวงเล็กๆ กรุงเทพฯ นี่เป็เมืองที่ไม่เคยหลับจริงๆ” พลอยดาวเบ้ปาก “มองต้นไม้ยังสบายตากว่าอีก”
“อ้อ! เ้าต้นอะไรนั้นยังอยู่ดีนะครับ” เขาหัวเราะเบาๆ รอจนบริกรยกอาหารมาเสิร์ฟออกไปแล้วจึงพูดต่อ “คุณไม่คิดถึงต้นไม้นั้นเหรอ มันชื่อต้นอะไรนะ”
“เศรษฐีเรือนในค่ะ”
หญิงสาวตอบแล้วลงมือกินอาหาร ไหนๆ ก็มีเ้ามือแล้ว จะกินให้อิ่มหนำสำราญใจเลยทีเดียว แต่ท่าทางกินอย่างมีความสุขทำให้กวิวัชร์พอใจไม่น้อย เขาไม่ชอบเห็นคนกินเหมือนกลัวอ้วน มันพลอยทำให้ไม่อยากอาหารไปด้วย
ไม่รู้ว่าเพราะบริกรรินไวน์ให้ต่อเนื่องหรือเพราะบรรยากาศพาไป แก้มนวลจึงฝาดสีเืแดงเรื่อและแววตาอ่อนลง เสียงหัวเราะของเธอก็ถี่ขึ้น รวมทั้งท่าทางผ่อนคลายมากขึ้น
ไวน์แดงมีรสฝาดนำและเปรี้ยวหวานผสานซ่อนอยู่ภายใน เหมาะกับอาหารที่ทำจากเนื้อสัตว์ใหญ่ เพราะความฝาดจะไปตัดความมันที่ปนในเนื้อไม่ให้เลี่ยน แต่ไม่เหมาะกับรสเผ็ดเพราะความฝาดจะเปลี่ยนเป็รสขม และไม่เข้ากับอาหารทะเล เพราะความฝาดจะดันกลิ่นคาวออกมา ส่วนไวน์ขาวจะตรงกันข้ามกัน
ตอนนี้กวิวัชร์รู้สึกกลายร่างเป็สัตว์กินเนื้อ อยากกินเ้ากระต่ายน้อยขึ้นมาแล้วสิ