บรรยากาศที่แสนจะตึงเครียดถูกคลี่คลายลงเล็กน้อย เมื่อฮ่องเต้และฮองเฮาทรงตรัสขึ้นเพื่อแก้ไขสถานการณ์ ขุนนางหลายคนต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก ที่แท้ก็เป็เครือญาติกันทั้งสิ้น ทว่านี่ดูเหมือนจะเล่นกันรุนแรงไปสักหน่อยกระมัง
เปาะ!
ซ่างกวนจือหลินดีดนิ้วส่งสัญญาญาณให้รองแม่ทัพกวนนำราชโองการออกมา แม่ทัพกวนที่รอจังหวะอยู่ก่อนหน้าก็เปิดกล่องนำแผ่นหยกที่มีขนาดเท่าราชโองการออกมาส่งให้ท่านแม่ทัพของตน
“ท่านมหาราชครูจวงช่วยข้าตรวจสอบของสิ่งนี้ที” มหาราชครูจวง จวงจื่อ คือมหาปราชญ์แห่งยุคที่ยังมีชีวิตอยู่ของต้าซ่ง ความรู้ด้านประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ปรัชญา หลักการเมืองการปกครอง โหราศาสตร์ ดาราศาสตร์ คนผู้นี้ล้วนแตกฉาน หากชายชราบอกว่าตนเองเป็ที่สองก็ไม่มีผู้ใดกล้าบอกว่าเป็ที่หนึ่ง
“สิ่งนี้...” มหาราชครูจวงที่กำลังยืนหลับตานิ่งฟังเื่ราวทุกอย่างอยู่เงียบๆ คล้ายกับว่าตัวเขาไม่ได้สนใจใดๆ แต่ความเป็จริงแล้วจวงจื่อกำลังเก็บข้อมูลของผู้มาเยือนอยู่เงียบๆ ใช้เวลาทบทวนอยู่พักหนึ่งจึงจำเื่ราวของตระกูลซ่างกวนออก ที่แท้ก็เป็ตระกูลที่ร่วมสร้างแคว้น น่าสนใจ...ชายชรารับแผ่นหยกที่เด็กสาวในชุดเกราะยื่นมาให้ ใช้เวลาตรวจสอบอยู่สองเค่อจวงจื่อก็รู้สึกตื่นเต้นที่ได้มีวาสนาจับต้องพระราชโองการจากองค์ไท่จู่อีกครั้ง ครั้งหนึ่งที่เขาได้มีโอกาสจับต้องพระราชโองการหยกก็คือ พระราชโองการก่อตั้งแคว้นต้าซ่ง ที่ถูกจัดเก็บอยู่ในหอประวัติศาสตร์
“เป็เช่นไรบ้าง” ซ่างกวนจือหลินกล่าวเร่งอย่างหมดความอดทน ตาเฒ่านี่ไม่ใช่ว่าเป็อัจฉริยะบุคคลไม่ใช่หรือสิ่งของแค่นี้ถึงกับใช้เวลาตรวจสอบนานถึงเพียงนี้
“ของสิ่งนี้เป็ของจริง เป็วาสนายิ่งนักที่ได้ััราชโองการขององค์ไท่จู่อีกครา จวงจื่อ ถวายพระพรองค์ไท่จู่ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปีๆ” จวงจื่อทูลพระราชโองการไว้เหนือเกล้าพร้อมกับคุกเข่าลงกล่าวถวายพระพรเสียงดัง
เมื่อเห็นท่านมหาราชครูจวงทำเช่นนั้น ทั้งขุนนางเชื้อพระวงศ์แม้กระทั้งฮ่องเต้และฮองเฮาต่างก็ตกตะลึงเป็อย่างมาก เมื่อรวบรวมสติได้แล้วทุกคนต่างคุเข่าลงถวายพระพรกันอย่างพร้อมเพรียง
ถวายพระพรองค์ไท่จู่ ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นๆ ปี
‘ด้วยโองการจาก์
บัดนี้ต้าซ่งเป็ปึกแผ่นด้วยเพราะการเสียสละตนเองของซ่างกวนซิ่นจี เราในฐานะฮ่องเต้รู้สึกละอายต่อฟ้าดิน แม้นว่าขุนศึกซ่างกวนจะไม่ขอรับยศถาบรรดาศักดิ์ ชื่อเสียงเงินทองเลือกเร้นกายจากโลกภายนอก ตัวเราล้วนตระหนักถึงเหตุผลเป็อย่างดี ดังนี้เราจึงขอมอบบรรดาศักดิ์ชินอ๋องให้แก่ทายาทผู้สืบทอดตระกูลซ่างกวน บรรดาศักดิ์ชินอ๋องนี้มีอำนาจเทียบเท่าหวงไท่จื่อ พบฮ่องเต้ไม่ต้องคุกเข่า พกดาบขี่ม้าเข้าพระราชวังได้โดยไม่มีความผิด หากมีวันใดที่มีผู้ถือราชโองการนี้มาทายาทสกุลหลี่ของข้าต้องให้ความสำคัญต่อตระกูลซ่างกวนไม่น้อยไปกว่าตระกูลเฉิน
จบราชโองการ’
“หลี่เจินน้อมรับราชโองการ” ฮ่องเต้หลี่เจินยื่นพระหัตถ์ออกไปรับพระราชโองการแล้วลุกขึ้นไปนั่งบนบัลลังก์ตามเดิม
“ทุกคนลุกขึ้น” เมื่อได้รับคำสั่งจากฮ่องเต้ทุกคนที่หมอบกราบอยู่ต่างก็ลุกขึ้นอย่างพร้อมเพรียง
“ขอบพระทัยฝ่าา”
ซ่างกวนจือหลินจับตามองปฏิกิริยาของทุกคนในห้องโถงแห่งนี้ โดยเฉพาะคนที่นางอยากใช้ดาบจ้วงแทงร่างของมันผู้นั้น...หลี่หยวนเฮ่า ข้ารู้ว่าในใจของเ้ารู้สึกเช่นไร จงเบิกตามองไว้ให้ดีว่าคนตระกูลซ่างกวนทำสิ่งใดได้!
“เอาล่ะ ในเมื่อทายาทตระกูลซ่างกวนนำพระราชโองการมาซ้ำยังมีความดีความชอบด้านการศึก...
แม่ทัพซ่างกวนรับราชโองการ
ขุนศึกตระกูลซ่างกวน ซ่างกวนจือหลิน ปกป้องชายแดนรักษาแคว้นต้าซ่งให้รอดพ้นจากการรุกรานของศัตรู เสี่ยงเป็เสียงตายไม่ย่อท้อ จงรักภักดีต่อแว่นแคว้น ความสามารถในการทำศึกเป็ที่ประจักษ์แก่ใต้หล้า มีฟ้าดินเป็พยาน แต่งตั้งบรรดาศักดิ์ชินอ๋องลำดับที่หนึ่ง ซางหยางอ๋อง มอบด่านซาง หยางให้อยู่ในการดูแล คลอบคลุมทั้งมณฑลส่านซี และแต่งตั้งเป็แม่ทัพใหญ่แห่งแผ่นดิน บัญชาการกองทัพห้าแสน พระราชทานทองคำหนึ่งแสนตำลึง จวนแม่ทัพหนึ่งหลัง จบราชโองการ”
“หม่อมฉันซ่างกวนจือหลิน ขอบพระทัยฝ่าา”
“ขอบพระทัยฝ่าา”
....
“เ้าหนูไปคุกเข่าทำความเคารพเสด็จตา เสด็จยายของเ้าสิ” ก่อนที่จะได้เริ่มเื่ต่อไปต้องจัดการเื่ของเ้าเด็กนี่ก่อน
“ขอรับ” เด็กน้อยที่ยืนมองเื่ราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นกล่าวขานรับออกมาทันที สองขาเล็กเดินไปตรงหน้าชายหนุ่มที่มีศักดิ์เป็ท่านน้าของเขาแล้วยื่นโถอัฐิให้เขาถือไว้
“ท่านน้า” เด็กน้อยค้อมหัวคับนับเล็กน้อย เสร็จแล้วก็เดินไปหยุดอยู่เบื้องหน้าผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็เสด็จตาและเสด็จยาย
“หลาน หลี่ซื่อหมิน ถวายพระพรเสด็จตา ถวายพระพรเสด็จยาย ขอพระองค์ทั้งสองทรงมีพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรง” เด็กชายตัวน้อยถวายคำนับอย่างเต็มพิธีการ
“ลุกขึ้นๆ หลานข้า...เ้าต้องได้รับความไม่เป็ธรรมแล้ว” ฮ่องเต้รีบลุกขึ้นไปประคองหลานชายพร้อมกับมองสำรวจอย่างถี่ถ้วน ร่างเล็กผอมบางข้อมือมีแต่หนังหุ้มกระดูก ดูก็รู้ว่าที่ผ่านมาเด็กน้อยมีชีวิตความเป็อยู่เช่นไร
ก่อนที่ฮ่องเต้ฮองเฮาได้ได้เล่นบทโศกครอบครัวที่พลัดพราก ก็เป็ซ่างกวนจือหลินที่กล่าวขัดขึ้นมาเสียก่อน
“ฮองเฮาพระองค์จะทรงนำเสด็จจิ้งหอจ่างกงจู่ไปยังศาลบรรพชนก่อนดีหรือไม่”
“ข้ามัวแต่โศกเศร้าจนลืมเื่ที่สำคัญเช่นนี้ รัชทายาทส่งโถอัฐิมาให้เรา” ฮองเฮารีบเช็ดน้ำตาก่อนที่จะหันไปรับสั่งกับบุตรชายของตน
“ฮองเฮากระหม่อมจะไปกับพระองค์ด้วยพะยะค่ะ” หลี่หยวนเฉิงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอันสั่นครือ ตอนที่ได้รับอัฐิของพี่สาวมาถือไว้ในมือ ราวกับความรู้สึกทั้งหมดที่นางเคยได้ประสบพบเจอหลั่งไหลเข้ามาในจิตใจของเขาราวกับคลื่นที่สาดซัด
ก่อนที่ฮองเฮาจะตอบตกลงก็มีเสียงหวานใสดังขึ้นขัดจังหวะเสียก่อน
“ประชุมขุนนางยังไม่เสร็จหวงไท่จื่อจะเสด็จไปที่ใดหรือ...ยังมีสิ่งใดสำคัญยิ่งกว่าความเป็อยู่ของประชาชน?” แม้จะบอกว่าน้ำเสียงนั้นหวานใสราวระฆังแก้ว...ทว่านี่คงเป็ระฆังแก้วที่ส่งเสียงเชือดเฉือนผู้คนจนตายได้
“...” หลี่หยวนเฉิงชะงักฝีเท้าแล้วหันไปมองลูกพี่ลูกน้องที่ศักดิ์ฐานะเทียบเท่าเขา ยามนี้นางกำลังจ้องเขาด้วยสายตาเ็าเยาะหยัน...ราวกับว่านางกำลังมองเศษสวะไร้ค่า
“เป็ถึงผู้สืบทอดราชบัลลังก์...เื่ส่วนตัวเช่นนี้มีความสำคัญเท่ากิจของบ้านเมือง?”
“...”
“กลับมายืนในตำแหน่งของท่านซะ...แล้วจงเบิกตามองว่าสิ่งใดที่เรียกว่าการกระทำที่ดีกว่าการไปร่ำไห้หน้าเถ้ากระดูกคนตาย!!”
หลี่หยวนเฉิงใช้สายตาแดงก่ำจ้องสตรีเบื้องหน้าอย่างเอาเป็เอาตาย เมื่อเห็นนางเดินตรงมาแย่งเอาโถอัฐิในมือเขาไปอย่างง่ายดาย เขาคิดที่จะเข้าไปแย่งชิงทว่ากลับโดนกำลังภายในอันแข็งแกร่งผลักให้ถอยห่าง รัชทายาทหนุ่มกำหมัดแน่นด้วยความคั่งแค้น
“อ่อนแอ” ซ่างกวนจือหลินเหลือบตามองเพียงเล็กน้อยพร้อมกับกล่าววาจาถากถางออกมา หญิงสาวไม่ได้ให้ความสนใจไอ้ไก่อ่อนมากนัก นางเดินเอาโถอัฐิไปยื่นส่งให้ฮองเฮาพร้อมทั้งกล่าวกับพระนางด้วยเสียงอันเบา
“ท่านป้า...ทางนี้ให้หลานเป็ผู้จัดการ ท่านพาพี่หญิงไปพักผ่อนเถิด”
“ได้...ข้าเชื่อเ้า พี่ชายของเ้าป้าฝากสั่งสอนเขาให้เป็ผู้เป็คนขึ้นมาบ้าง เด็กดีต้องลำบากเ้าแล้ว” ฮองเฮากล่าววาจาฝากฝังไปรอบหนึ่งก่อนจะเสด็จออกไป เื่ราชกิจวังหลังมิอาจก้าวก่าย
“เอาล่ะ...เริ่มว่าราชการได้” เมื่อทุกอย่างกลับเข้าสู่สภาวะปกติฮ่องเต้ก็กล่าวให้เริ่มว่าราชการอย่างเป็ทางการ ใจจริงเขาอยากที่จะยกเลิกว่าราชการไปซะ แต่เมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นเทพพิโรธที่กำลังสิงร่างอ๋องคนใหม่ของเขาอยู่พระองค์ก็ต้องเก็บความคิดนี้ลงไป
“กราบทูลฝ่าา หม่อมฉันขอให้ฝ่าาทรงตัดสินโทษเหล่าคนขายชาติที่ก่อให้เกิดาในครั้งนี้เพคะ”
นั่นอย่างไร พอเอ่ยปากก็พูดเื่ฏ ฮ่องเต้ทรงเหลือบมองไปทางอิงกั๋วกงที่ยืนอยู่แถวหน้าสุดในฝั่งขุนนางฝ่ายบู้แวบหนึ่ง นี่ไม่เหมือนกับที่ท่านบอกมา ตอนแรกบอกว่ามีแค่เื่พวกเหลียว เหตุใดฏขายชาติจึงงอกออกมาได้
ทางด้านเฉินปินนั้นเขาได้แสร้งตายไปแล้ว เื่เช่นนี้เขาจะไปรู้หมดทุกสิ่งได้เช่นไร
“ฝ่าา ที่ซางหยางอ๋องกล่าวมานั้นเป็ข้อหาร้ายแรงไม่อาจละเลยข้อเท็จจริงใดๆ ขอถามท่านอ๋องได้โปรดนำพยานและหลังฐานพร้อมทั้งผู้ที่ท่านกล่าวหาออกมาชี้แจงด้วย” เป็เสนาบดีลู่ที่ก้าวออกมาเป็คนแรกเมื่อเขากล่าวจบก็มีเสียงสนับสนุนเป็จำนวนมาก
“เสนาบดีลู่จะรีบร้อนไปใย ข้าก็กำลังจำชี้แจ้งอยู่” ซ่างกวนจือหลินกระตุกมุมปากขึ้นเป็รอยยิ้มเย้ยหยัน...ใครบางคนกำลังร้อนตัวสินะ ใจเย็นไว้ข้ายังไม่ทันเริ่ม
“รองแม่ทัพกวน นำสิ่งนั้นไปให้ฝ่าาและขุนนางทั้งหลายได้เห็นเป็ประจักษ์” รองแม่ทัพกวนทำตามคำสั่งทันที กล่องสามใบรูปทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดของมันไม่ใหญ่ไม่เล็ก รองแม่ทัพกวนอุ้มกล่องหนึ่งใบพร้อมกับทหารติดตามที่อุ้มกล่องอีกสองใบที่เหลือตามหลังไป ฝากล่องถูกเปิดออกไอเย็นพวยพุ่งออกมา คนทั้งสามคุกเข่าลงเบื้องหน้าฮ่องเต้ยื่นสิ่งที่อยู่ในกล่องให้พระองทอดพระเนตรอย่างชัดๆ
เป็การทอดพระเนตรเพียงชั่วครู่เท่านั้นพระองค์ก็โบกพระหัตถ์เป็สัญญาณว่าไม่อยากเห็นมันอีก พระองค์หันไปมองหลานชายที่นั่งอยู่ข้างกายก็เห็นเ้าตัวน้อยนี่นั่งมองสิ่งนั้นด้วยความนิ่งสงบปราศจากอาการหวาดกลัว
ใช้เวลาไม่นานสิ่งของที่อยู่ในกล่องก็ถูกเวียนให้รับชมกันอย่างทั่วถึง ซ่างกวนจือหลินได้เห็นท่าทางราวกับเห็นผีของหลี่หยวนเฮ่าแล้วก็สบถอย่าเ็า...เศษสวะ
“ฉินอ๋อง...หน้าท่านดูซีดเซียวนะ” หญิงสาวจงใจกล่าววาจาเช่นนั้นออกมา พอได้เห็นท่าทางตื่นใของมันนางก็ได้แต่สบถอีกหน...ตอแหล
“นะ...นั่นเป็หัวของคนตระกูลเจียง!” หลี่หยวนเฮ่ากล่าวออกมาด้วยท่าทางใจนขีดสุด ใบหน้าของเขาขาวซีดริมฝีปากสั่นระริกพร้อมทั้งแข้งขาอ่อนแรงทรุดลงไปคุกเข่าอยู่บนพื้น ขุนนางหลายคนที่เห็นก็ได้แต่ลอบส่ายหัวมองเช่นนี้ก็รู้ว่าใจนทำอันใดไม่ถูก
“ไม่ผิด เป็หัวของขุนนางตระกูลเจียงที่ข้าตัดมากับมือ”
“ท่านอ๋องท่านสังหารขุนนางของราชสำนักก่อนที่ฝ่าาจะมีคำตัดสินชี้ขาด ไม่ว่าขุนนางเ่าั้จะมีความผิดจริงหรือไม่การที่ท่านกระทำเช่นนี้ถือว่าเป็ความผิด” เป็เ้ากรมตุลาการที่ก้าวออกมากล่าวโทษเป็คนแรก
“อ้อ?”
อ้อ? ...นี่คือคำตอบรับเช่นนั้นหรือ ขุนนางหลายคนต่างหน้าเขียวหน้าเหลืองกับท่าทางเช่นนี้ของซางหยางอ๋อง โดยเฉพาะเ้ากรมตุลาการที่แทบจะสิ้นสติเพราะโทสะ เด็กเมื่อวานซืน!
“ท่านอ๋องนี่จะเป็การไม่เห็นกฎหมายบ้านเมืองอยู่ในสายตาหรือไม่” ยังคงเป็เสนาบดีลู่ที่กล่าวโจมตีด้วยท่าทางที่ผู้ใหญ่สั่งสอนเด็ก
“ที่ฝ่าาและทุกท่านเห็น หนึ่งคือหัวของเย่ว์ลู่ ทัวปาจี๋รัชทายาแคว้นเหลียวแม่ทัพใหญ่ที่นำทัพมาบุกต้าซ่ง สองคือเจียงเกิงเ้าเมืองจี้โจว และสามคือเจียงเหิงแม่ทัพประจำมณฑลเหอเป่ย ข้อกล่าวหาที่เ้ากรมตุลากรและเสนาบดีลู่กล่าวมาข้าย่อมมีคำตอบให้ท่านอย่างชัดเจน
นี่...เป็หลักฐานความผิดของเ้าเมืองจี้โจว เจียงเกิง เ้าสวะนี่ภายใต้ฝ่าพระบาทโอรส์ถึงกลับกล้าฉ้อโกงเรียกเก็บภาษีเกินกว่าที่ราชสำนักกำหนด ใช้อำนาจบาตรใหญ่ รัชศกเจินจงปีที่สิบยักยอกเงินบรรเทาทุกข์ที่จะต้องนำมาช่วยเหลือราษฎรจากภัยหนาว จำนวนเงินไม่ใช่น้อยๆ ...แปดล้านตำลึง พวกท่านว่าแปดล้านตำลึงที่หายไปนั้นจะต้องมีคนตายเพราะได้รับการช่วยเหลือไม่ทั่วถึงสักกี่คน ข้าจะบอกให้...สามหมื่นคน
เป็สามหมื่นชีวิตที่พวกท่านมิอาจชดใช้คืนได้
สุดท้าย...ทว่ายังไม่ร้ายที่สุด เจิงเหิง เป็ถึงแม่ทัพประจำมณฑลประจำด่านชายแดนที่สำคัญ ไม่มีจิตใจรักชาติที่ชายชาติทหารควรมี ทรยศแผ่นดินเกิด ละโมบในทรัพย์สินเงินทอง นำยุทศาสตร์ที่สำคัญของด่านชายแดนไปขายให้ศัตรู ปิดบังข่าวสาร รายงานความเท็จ ถือเป็ฏต่อแผ่นดิน!
จะบอกความเสียหายว่าถ้าหากข้ายกทัพไปไม่ทันหรือถ้าหากแคว้นต้าซ่งไม่มีตระกูลที่อยู่ในมุมมืดคอยปกป้องต้าซ่งอย่างลับๆ แน่นอนว่าทัพทมิฬอันเลื่องชื่อจะกรีธาทัพกวาดล้างสามหัวเมืองให้ราบเป็หน้ากลอง
จี้โจว!
ฉือเหมิน!
ถังชาน!
สามหัวเมืองมีราษฎรหลายแสนชีวิตพวกมันจะสังหารทิ้งไม่มีเหลือแม้กระทั่งสุนัขสักตัว แน่นอนว่าหากทัพใหญ่ของต้าซ่งมาถึงทุกอย่างก็จะคลี่คลาย ทว่าศึกครั้งนี้จะทำให้แคว้นเราาเ็สาหัสไปอีกหลายสิบปี”
“...”
หลังฐานทั้งหมดถูกส่งไปให้ฝ่าาตรวจสอบและตามด้วยเหล่าขุนนางทั้งหลาย
บรรยากาศภายในท้องพระโรงเงียบสงัดราวกับสุสานร้าง ไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยปากแต่มีผู้หนึ่งที่ก้าวออกมาโดยไม่หวั่นเกรง
“ผู้ตรวจการแปดมณฑล ขุนนางขั้นสี่เว่ยเจิง ขอถามซางหยางอ๋อง”
เหล่าขุนนางที่ได้ยินใต้เท้าเว่ยขานตำแหน่งของตนเองออกมาเต็มๆ เช่นนี้มีอันต้องยืดหลังตรงโดยมิรู้ตัว แม้จะเป็ขุนนางขั้นสี่ทว่าตำแหน่งผู้ตรวจการแปดมณฑลที่อดีตฮ่องเต้ทรงแต่งตั้งนี้ไม่อาจมองข้ามได้ กล่าวได้ว่าอำนาจของผู้ตรวจการแปดมณฑลนี้มีสิทธิ์ในการตรวจสอบถึงเชื้อพระวงศ์
“ท่านผู้ตรวจการเชิญกล่าว”
“มีประโยคหนึ่งที่ท่านอ๋องกล่าว ‘สุดท้าย...ทว่ายังไม่ร้ายที่สุด’ ประโยคนี้ขอท่านอ๋องให้ความกระจ่างแก่ขุนนางผู้ต่ำต้อยด้วย” เว่ยเจิงประสานมือโค้งกายลงอย่างมีมารยาท
“คำถามของท่านผู้ตรวจการคือสิ่งที่หม่อมฉันกำลังจะกล่าวอยู่พอดีเลยเพคะฝ่าา” ซ่างกวนจือ หลินหันไปกล่าวกับฮ่องเต้ในขณะเดียวกันเ้าตัวก็ถอดหมวกเกราะออก เส้นผมสีดำสนิทที่แซมไปด้วยสีเงินยวงขับเน้นให้คนผู้นี้ราวกับปีศาจร้ายที่จะมาเอาชีวิตคน
“หลานข้า...เ้าลองกล่าวออกมาก่อนแล้วให้ขุนนางทุกคนช่วยลงความเห็น” ฮ่องเต้ตรัสอย่างเป็กลางที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตัวเขาค่อนข้างใกับสภาพของเด็กสาวเล็กน้อย
“สำหรับคำตอบในคำถามของใต้เท้าเว่ย...ข้าได้ไตร่ตรองเื่ราวที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าเหตุใดเจียงเกิงและเจียงเหิงถึงได้มีความกล้าทำเื่เช่นนี้มาหลายปี จากหลักฐานพยานวัตถุหรือแม้กระทั้งคำสารภาพที่ข้าเค้นออกมาจากปากของพวกมันทั้งสอง ข้าจึงได้รู้ว่าเ้าโง่สองตัวนี้เป็เพียงแค่สวะที่ทำตามคำสั่งเท่านั้น...หนึ่งในการสอบสวนที่สำคัญคือหาว่าผู้บงการแผนการอันซับซ้อนเช่นนี้ว่า...เป็ผู้ใด
จะเป็ผู้ใดกันนะ...ที่ล่ออิงกั๋วกงไปยังดินแดนอันห่างไกลเพื่อที่จะเปิดทางให้กองทัพข้าศึก น่าเสียดายที่พวกมันรู้เพียงว่าคนตระกูลเจียงสั่งมา นั่นจึงเป็ข้อสรุปที่ข้าวิเคราะห์ได้
รัชศกเจินจงที่สิบเจียงเฟยเป็ที่โปรดปราณได้รับเลื่อนขั้นเป็กุ้ยเฟย ใช่แล้ว...ตำแหน่งสนมเอกหนำซ้ำยังให้กำเนิดพระโอรสแก่ฝ่าา คนสกุลเจียงจึงคิดการใหญ่หวัง่ชิงตำแหน่งหวงไท่จื่อให้องค์ชายสี่ในเวลานั้นหรือก็คือฉินอ๋องในยามนี้นั่นเอง!
สกุลเจียงมักใหญ่ใฝ่สูง! สมคบศัตรูต่างแคว้นหวัง่ชิงราชบัลลังก์ ความผิดเท่านี้ก็สมควรได้รับโทษปะาเก้าชั่วโคตร!”
“ฝ่าา!ทรงให้ความเป็ธรรมแก่เสด็จแม่และลูกด้วย กระหม่อมขอสาบานด้วยชีวิตว่าไม่เคยมีความคิดเช่นนั้น” หลี่หยวนเฮ่าร่ำไห้อย่างไม่อายผู้คน ท่าทางของฉินอ๋องราวกับกวางที่าเ็จากคมเขี้ยวพยัคฆ์
“ลูกข้า...เ้า” ก่อนที่ฮ่องเต้จะได้ตรัสสิ่งใด ฝูกงกงก็รีบเดินเข้ามากระซิบข้างพระกรรณ
“ว่าอย่างไรนะ!” หลี่เจินผุดลุกขึ้นอย่างกะทันหัน เมื่อรู้ตัวว่าเสียกิริยาเขาก็รีบกลับมาอยู่ในท่าทางสุขุมดังเดิม
“ขุนนางทั้งหลายเราขอพักสักครึ่งชั่วยามแล้วค่อยกลับมาถกเื่นี้กันต่อ” ฮ่องเต้รับสั่งเสร็จก็เตรียมจะเสด็จจากไปแต่ก็ต้องหยุดชะงักเพราะเสียงหนึ่งๆ ที่เย็นะเืราวกับภูตผี
“ฝ่าาเกิดเื่อะไรขึ้นเพคะ”
“เอ่อ...กุ้ยเฟยะเืใจในสิ่งที่คนในตระกูลทำลงไปนาง...ฆ่าตัวตาย”
“ตายหรือไม่?”
“ถูกช่วยเอาไว้ทันแต่ตอนนี้หมดสติเป็ตายเท่ากัน” ฮ่องเต้กล่าวด้วยท่าทางร้อนรน
ซ่างกวนจือหลินมองลุงเขยของตัวเอง...สวะ
“หม่อมฉันและขุนนางต่างก็เป็ห่วงพระอาการของกุ้ยเฟย เอาเช่นนี้… หม่อมฉันและใต้เท้าเว่ย ขอติดตามฝ่าาไปดูอาการของกุ้ยเฟยดีหรือไม่เพคะ” หญิงสาวยิ้มออกมาด้วยความกระหายเื
“ใต้เท้าเว่ยเป็บุรุษ...” เป็หลี่หยวนเฮ่าที่เอ่ยแทรกขึ้นมา ยามนี้เขามีท่าทางร้อนรนราวกับว่าอยากจะไปดูอาการพระมารดาของตน
“ใต้เท้าเว่ยอีกสองปีก็จะเก้าสิบ นี่ฉินอ๋องจะิ่เกียรติของขุนนางผู้ภักดีหรือ”
“เลิกเถียงกันได้แล้ว! ผู้ใดอยากมาก็มา” ฮ่องเต้ตวาดอย่างหัวเสีย พระองค์สะปัดแขนเสื้ออย่างแรงแล้วเดินจากไป ตามด้วยฉินอ๋องที่ตามไปไม่ห่าง
หึ...
“ฮ่องเต้น้อยตามท่านอ๋องเช่นข้ามา แล้วเ้าจะได้เรียนรู้อีกหลายสิ่ง”
“เราล้วนเชื่อฟังท่าน” เด็กน้อยเดินไปจับมือที่ยื่นมาให้อย่างว่าง่าย
“ใต้เท้าเว่ยเชิญ” ซ่างกวนจือหลินหันไปผายมือเชิญชายชราที่เดินมาหยุดยืนอยู่ด้านข้างอย่างมีมารยาท
“เชิญ...” เว่ยเจิงเดินตามเด็กรุ่นเหลนทั้งสองที่มีฐานะสูงส่ง เขาไม่ได้กล่าวสิ่งใดแต่หูกับฟังบทสนทนาของทั้งคู่อย่างตั้งใจ นี่...ซางหยางอ๋องกำลังสั่งสอนฮ่องเต้น้อยเื่การบริหารราชกิจ เนื้อหาก็คือการถอดบทเรียนคดีในวันนี้เป็การอธิบายอย่างผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจ และข้อต่อมานั้นทำให้ชายชราต้องกางหูฟังอย่างตั้งอกตั้งใจนั่นคือเื่การฆ่าตัวตายของเจียงกุ้ยเฟย
อืม...ที่เด็กคนนี้กล่าวมาล้วนมีเหตุผล เว่ยเจิงลูบเคราสีเงินของตนอย่างครุ่นคิด
กุ้ยเฟย...คิดว่าตนเองมีอำนาจสักเท่าใดกัน
ณ ตำหนักอี้คุน
ทั้งสามเดินผ่านประตูเข้ามาก็พบกับความวุ่นวาย ทั้งหมอหลวงทั้งนางกำนัลต่างก็วิ่งพล่านราวกับหนูติดจั่นเสียงพิโรธของฮ่องเต้ดังมาเป็ระยะ ซ่างกวนจือหลินเดินมาถึงหน้าประตูตำหนังบรรทมหญิงสาวไม่ได้รีบร้อนเข้าไปแต่หยุดยืนอยู่ด้านหน้าครู่หนึ่ง สายตาของนางสำรวจประตูตำหนักแล้วชี้ให้ใต้เท้าเว่ยดู
เว่ยเจิงล้วงสมุดพกเล่มเล็กแล้วก็พู่กันออกมาจดสิ่งที่เห็นลงไปในกระดาษ ผู้ที่มีความรู้ความสามารถและเปี่ยมไปด้วยประสบการณ์ไม่ต้องบอกก็รู้ถึงเจตนา
ทั้งสามเดินเข้ามาด้านใน เป็ตำหนักบรรทมที่งดงามโอ่อ่าการมาเยือนของคนทั้งสามแม้กระทั่ง กูกูคนสนิทก็ไม่กล้าเอ่ยปากทัดทาน หญิงชราได้แต่มองการกระทำของคนทั้งสามอย่างเฝ้าระวัง
ซ่างกวนจือหลินเดินอ้อมไปหลังฉากกั้นหยก เห็นคนอยู่เต็มไปหมด ทั้งฮ่องเต้ ฮองเฮา และฉินอ๋องที่กำลังร่ำไห้ราวกับมารดาสิ้นใจ
“เ้ามานี่” ซ่างกวนจือหลินชี้เรียกนางกำนัลที่อยู่ในความทรงจำของนางอย่างชัดเจน นางกำนัลผู้นี้เป็อีกหนึ่งคนสนิทและมันสมองของเจียงกุ้ยเฟย มีนามว่าหรูหลาน
“ใต้เท้าเรียกข้าหรือเ้าคะ” หรูหลานเดินมาตามเสียงเรียกอย่างช่วยไม่ได้
“นี่คือท่านอ๋องไม่ใช่ใต้เท้า” เป็ใต้เท้าเว่ยที่เอ่ยแก้ให้
“ขอภัยท่านอ๋องที่ข้าน้อยเสียมารยาท” หรูหลานย่อกายขออภัยทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น
“ข้ามีคำถามสองสามข้อหวังว่าเ้าจะตอบได้”
“กุ้ยเฟยหมดสติไปนานเท่าไหร่แล้ว?”
“ั้แ่ที่นำพระนางลงมาจากเชือกราวๆ ครึ่งชั่วยามเ้าค่ะ”
“นางผูกคอตาย?”
“ใช่แล้วเ้าค่ะ”
“อ้อ...ข้าก็นึกว่านางใช้กริชแทงที่หัวใจเสียอีก” เสียงของหญิงสาวไม่เบานัก เรียกสายตาทุกคนในห้องให้มาจ้องนางเป็จุดเดียว แต่คนอย่างซ่างกวนจือหลินก็หาได้สนใจ ยังคงถามต่อไป
“ตอนที่พวกเ้าเข้ามาพบ นางมีลักษณะเป็เช่นไร”
“พะ...พระนางทรงแน่นิ่งไปแล้วเ้าค่ะ!” หรูหลานกล่าวออกมาอย่างะเืใจพร้อมกับหยาดน้ำตาที่ไหลรินออกมา
“ข้าหมดคำถามแล้ว เ้าไปได้”
“เ้าคะ?” นางกำนัลหรูหลานที่กำลังเตรียมตัวจะเล่นบทโศกก็ปรับอารมณ์แทบไม่ทันเมื่ออีกฝ่ายหยุดถามดื้อๆ
“ครบถ้วนหรือไม่” ซ่างกวนจือหลิน
“ดีเลยล่ะ” เว่ยเจิง
ต่อมาซ่างกวนจือหลินก็เดินหน้าต่อโดยมีใต้เท้าเว่ยเดินตามติดไม่ห่าง หญิงสาวเดินมาหยุดอยู่ข้างเตียงบรรทมหลังใหญ่ที่นอนอยู่บนนั้นคือหนึ่งในศัตรูที่นางต้องกำจัดให้สิ้นซาก ไม่สิต้องกำจัดให้ตายอย่างช้าๆ ให้มันได้ลิ้มรสความทุกข์ทรมานในการสูญสิ้นทุกสิ่งก่อนตาย
ซ่างกวนจือหลินไม่ได้สนใจผู้คนรอบข้าง มือเรียวงามของสตรีแรกแย้มยื่นไปเปิดอาภรณ์ที่ปกปิด่ลำคอของเจียงกุ้ยเฟยให้เปิดออก
“บังอาจ!พระวรกายอันสูงส่งเ้ากล้าแตะต้องได้หรือ” เป็กูกูชราที่เห็นท่าไม่ดีจึงตวาดออกมานางพยายามเข้าไปผลักคนผู้นั้นออก แต่กลับถูกถีบออกมาจนลอยไปกระทบฉากกั้นหยก แรงถีบนี้ไม่ได้ออมแรงแม้แต่น้อยเล่นเอาฉากกั้นหยกอันล้ำค่าแตกเป็เสี่ยงๆ ส่วนคนก็สิ้นใจไปแล้ว
“ซางหยางอ๋องเ้าจะโหดร้ายเกินไปแล้ว ฆ่าคนเป็ผักปลาเช่นนี้ได้เช่นไร!” หลี่หยวนเฮ่าถลันตัวจะเข้าไปทำร้ายแต่กลับถูกฮ่องเต้ห้ามเอาไว้เสียก่อน
เ้าลูกโง่! เ้ากล้าไปสู้ตัวต่อตัวกับคนที่ตัวหัวเทพาต้าเหลียวรึ!
ไร้สมอง! ไม่เห็นรึว่านางพร้อมที่จะถีบเ้าโดยไม่สนใจใครหน้าไหนทั้งสิ้น!
“ฉินอ๋องหุบปาก” ฮ่องเต้ปรามบุตรชายไปหนึ่งที
“เสด็จพ่อ...”
“หลานสาวอ๋องเ้ากำลังทำสิ่งใดอยู่เช่นนั้นหรือ” ฮ่องเต้ไม่สนใจลูกโง่อีกต่อไป พระองค์หันไปถามหลานสาวอย่างใคร่รู่
“คืนความเป็ธรรมให้กุ้ยเฟย”
“เช่นไรหรือ...เ้าช่วยขยายความได้หรือไม่”
ซ่างกวนจือหลินกลอกตาอย่างเบื่อหน่าย ท่านจะเสแสร้งไปถึงไหนกัน!
“การที่กุ้ยเฟยเลือกที่จะฆ่าตัวตายใน่ที่สำคัญเช่นนี้ย่อมทำให้เกิดข้อสงสัย...ว่านาง้าแยกตัวออกให้ห่างจากความผิดทั้งหมดที่สกุลเจียงก่อขึ้น”
“อ้อ...เช่นนั้นหลานสาวอ๋องเ้าตรวจสอบตามสบายเถิด”
ซ่างกวนจือหลินหันหลังให้ฮ่องเต้ทันที แล้วเริ่มสำรวจ...รอบลำคอยังคงขาวเนียนดุจไข่ปอก หลอดลมไม่ได้รับความเสียหาย กระดูกคออยู่ในสภาพปกติ เมื่อดูเสร็จหญิงสาวก็ยืดกายขึ้นแล้วหันไปกระซิบบอกรายละเอียดแก่ใต้เท้าเว่ยรอบหนึ่ง เพื่อให้หลักฐานแน่นหน้าต้องมีสิ่งที่เปรียบเทียบ
หญิงสาวสืบเท้าไปหยุดอยู่เบื้องหน้านางกำนัลหรูหลาน ใบหน้าเล็กเงยขึ้นมองผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าด้วยความใสุดขีดก่อนที่นางจะได้ส่งเสียง ร่างทั้งร่างของนางก็ลอยหวือขึ้นตามแรงกระชากที่ด้านหลังคอเสื้อ เพราะคอเสื้อที่รั้งไปด้านหลังหรูหลานจึงไม่อาจเปล่งเสียงออกมาได้ หญิงสาวถูกลากไปหยุดอยู่ตรงที่กุ้ยเฟยทรงแขวนแพรขาวเอาไว้ ด้วยชุนละมุนหรือด้วยความตั้งใจไม่อาจทราบได้แพรขาวผืนนี้จึงยังไม่ได้ปลดลง ไวเท่าความคิดซ่างกวนจือหลินกระชากร่างของหรูหลานขึ้นไปแขวนบนแพรขาวผืนนั้นแล้วเ้าตัวก็ไปหาที่นั่งรอเวลาอย่างใจเย็น
อึก! อึก! เฮือก!
ทั้งห้องเงียบจนน่าใ ไม่มีผู้ใดกล้าส่งเสียง มีเพียงเสียงดิ้นรนของหรูหลานเท่านั้นที่ดังเข้าไปถึงจิตใจของใครหลายคน บางคนคุกเข่าก้มหน้าด้วยความหวาดกลัวสุดขีด ส่วนฮ่องเต้และฮองเฮาต่างก็หันหน้าสนทนากันเงียบๆ ในส่วนของฉินอ๋องนั้นใบหน้าอันหล่อเหลาเ็าไร้ความรู้สึกสายตาของเขาจดจ้องแต่สตรีที่กำลังนอนหมดสติอยู่บนเตียง
ในที่สุดหรูหลานก็หยุดดิ้นรนและแน่นิ่งไป
เมื่อเห็นว่าใช้ได้แล้วซ่างกวนจือหลินก็นำนางลงมา แย่จริงเลย...ไม่หายใจเสียแล้ว ปึก!...ปึก!...ปึก!ทุบหน้าอกไม่กี่ทีร่างที่แน่นิ่งไปแล้วก็กลับมาหายใจดังเดิม หญิงสาวกลับมานั่งจิบชาดังเดิมจนล่วงเข้าครึ่งชั่วยามจึงเริ่มลงมือตรวจสอบ กระดูกคอผิดรูปอย่างเห็นได้ชัด รอยเล็บข่วนจนเกิดแผล หลอดลมเสียหายอย่างหนัก สุดท้ายรอบลำคอเขียวช้ำเป็รอยรัดอย่างเห็นได้ชัด
“ครบถ้วนดีหรือไม่เ้าคะ” หญิงสาวสอบถามชายชราด้วยความเคารพ
“ครบทั้งหมด ขาดแต่กระดาษแผ่นใหญ่เท่านั้น” กระดาษที่ใต้เท้าเว่ยกล่าวถึงคือเอาไว้สำหรับเขียนคำร้องนั่นเอง
“ท่านรอสักครู่” ซ่างกวนจือหลินเดินหายไปครู่เดียวจริงๆ แล้วกลับมาพร้อมกระดาษเสวียนจื่อชั้นดีและถาดหมึก
“ท่านไปจัดการเถิด ข้ายังต้องเขียนอีกสักพัก”
ตอนนี้กุ้ยเฟยทรงฟื้นแล้ว ยามนี้กำลังร่ำไห้ซบอกฮ่องเต้ เสียงร้องของนางราวกับจะขาดใจให้ได้ ซ่างกวนจือหลินเดินไปหยุดอยู่ข้างฮองเฮาที่กำลังนั่งดื่มชาอย่างสบายใจ
“ฝ่าาได้เวลากลับไปว่าราชการแล้วเพคะ”
“ต้องไปแล้วหรือ...อาการกุ้ยเฟยยังไม่คงที่ เราไม่วางใจ”
“ฝ่าานี่คงเป็หลานสาวใช่หรือไม่เพคะ” เจียงกุ้ยเฟยเช็ดน้ำตาเล็กน้อยพร้อมกับเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงอันแหบแห้ง
“เป็เพียงสนมต่ำศักดิ์มีสิทธ์อันใดมาเรียกข้าว่าหลานสาว”
“ฝ่าา...ฮึก” เจียงกุ้ยเฟยร้องเรียกฝ่าาอย่างน่าสงสาร
ทางด้านหลี่หยวนเฮ่าทำเพียงคุกเข่าก้มหน้าอยู่ข้างแท่นบรรทม
“การฆ่าตัวตายที่สมจริงที่จะทำให้ผู้คนเห็นถึงจิตใจอันเด็ดเดี่ยว กุ้ยเฟยทราบหรือไม่ว่าต้องทำเช่นไร”
“...”
“เพียงแค่มีดปลอกผลไม้เล่มเล็กๆ เช่นนี้...จ้วงแทงตรงกลางหัวใจให้สุดกำลัง!”
ปึก!
ซ่างกวนจือหลินหยิบมีดปลอกผลไม้ที่วางอยู่ในถาดบนโต๊ะขึ้นมาปักลงไปบนโต๊ะจนมิดด้าม
“เช่นนี้… จึงจะทำให้ท่านและบุตรชายรอดพ้นจากความผิดที่สกุลเจียงก่อ!”
“!!”
“อย่าพึ่งด่วนจบชีวิตตนเองล่ะ...นี่คือคำเตือน ถ้ายังอยากให้สายเืสกุลเจียงเหลือรอด” ซ่างกวนจือหลินทิ้งข้อความทิ้งท้ายไว้แล้วพาคนเดินจากไปทันที
เจียงกุ้ยเฟยในยามนี้ร่างกายของนางสั่นสะท้านอย่างห้ามไม่อยู่
สตรีนางนั้นขู่นาง หากว่านางชิงจบชีวิตตนเองแม้แต่บุตรชายของนางก็จะไม่ละเว้น!