“ฆ่าคน...ฆ่าคนตาย...” ฮูหยินซูจับแขนคนรับใช้ไว้แน่นด้วยร่างกายที่สั่นเทา
มิใช่ว่านางไม่เคยเห็นคนตาย แต่นางไม่เคยเห็นความตายที่น่าสังเวชเช่นนี้มาก่อน
นางจ้องมองไปที่ท่านย่าจ้าวและเหลือบมองเวินซี ในใจก็หวาดกลัว
โชคดีที่...คนบนพื้นมิใช่นาง
“ฮูหยินซู ข้ามิได้ฆ่าผู้ใด ดูดีๆ สิเ้าคะ ท่านย่าจ้าวยังมีชีวิตอยู่”
ความโกรธในใจของเวินซีลดลงทันทีที่ท่านย่าจ้าวล้มลงกับพื้น นางยิ้มให้ฮูหยินซู
พิษที่ใช้นั้นไม่ได้ร้ายแรงถึงชีวิต แต่มันทำให้อีกครึ่งชีวิตที่เหลือของท่านย่าจ้าวต้องนอนอยู่บนเตียงไปตลอดก็เท่านั้น
นาง้าให้ท่านย่าจ้าวใช้ชีวิตที่น่าเวทนายิ่งกว่าการเผชิญความตาย มิฉะนั้นก็ยากที่จะลบล้างความฝังใจของยียีได้ การที่จู่ๆ ท่านย่าจ้าวก็มาเล่นพนัน เื่นี้จะต้องมีเบื้องลึกแน่ นางต้องรู้เื่นี้ให้ชัด
“ใช่ ใช่น่ะสิ” ฮูหยินซูละสายตาออกอย่างกล้าๆ กลัวๆ ยามนี้นางไม่กล้าสบตากับเวินซี
“ฮูหยินซู ข้ายังมีอีกเื่หนึ่ง”
“ว่า...ว่าเช่นไร คุณหนูเวิน...เวินซี มีอันใดหรือ?” ฮูหยินซูมองนางก็รู้สึกขนลุกซู่
“ฮูหยินซู ข้าอยากจะได้อีกคน”
“ผู้ใดกัน?”
“คนที่ทุบตียียี”
“ได้ ได้ รอสักครู่”
ฮูหยินซูไม่กล้าชักช้า เมื่อนางยกมือขึ้น บุรุษผู้หนึ่งก็ถูกคนรับใช้ลากออกมาจากกลุ่มคน
บุรุษผู้นั้นใมากกับเหตุการณ์เมื่อครู่ ขาของเขาอ่อนและทรุดลงทันทีเมื่อไปถึงเบื้องหน้าเวินซี
“คุณหนู ปล่อยข้าไป ปล่อยข้าไปเถิดขอรับ ข้ามิรู้ตัวตนของเด็กผู้นั้น ข้านึกว่าเขาเป็เพียงนางโลมธรรมดา จึง... คุณหนู ข้ามิกล้าทำอีกแล้ว ไว้ชีวิตข้าสักคราเถิดขอรับ”
เขาคุกเข่าแนบตัวลงบนพื้น ก้มหัวให้นางซ้ำๆ สุดชีวิต
“เ้าทำอันใดกับยียีบ้าง พูดออกมาให้หมด”
“ข้าพูด ข้าพูดขอรับ เด็กคนนั้นไม่เชื่อฟัง ข้าแตะเนื้อต้องตัวเขา เขาก็ร้องะโโวยวาย ข้าจึงใช้แส้เฆี่ยนเขาจนกระทั่งเขาเงียบขอรับ”
“าแบนร่างกายของเขา...เป็...เป็รอยที่ข้าจงใจทุบตีเขาขอรับ”
“คุณหนูยกโทษให้ข้าเถิดขอรับ ข้าไม่รู้ตัวตนของเขา ฮูหยินซูบอกเพียงว่าเขาเป็เด็กที่มาใหม่ ข้ามิได้คิดอันใดมาก เด็กใหม่ก็โดนแบบนี้กันทั้งนั้น คุณ...คุณหนูปล่อยข้าไปเถิดขอรับ”
บุรุษผู้นั้นหลั่งน้ำตาเป็สาย ดูเสียใจมากกับสิ่งที่ทำลงไป
เวินซีหัวเราะเยาะ หยิบกริชจากคนใช้แล้วโยนไปที่หน้าบุรุษผู้นั้น “จะทำเองหรือให้ข้าทำ?”
เสียงของนางน่ากลัวราวกับมาจากขุมนรก บุรุษผู้นั้นโขกหัวแรงขึ้นอีก เมื่อเห็นว่าเวินซีมิได้มีท่าทีตอบสนองอันใด เขาก็เอื้อมไปหยิบกริชอย่างลังเล
เขามองไปที่ฝูงชน กัดฟันและแทงกริชไปที่มือซ้าย
“อ๊าก--”
เสียงกรีดร้องโหยหวนดังขึ้นในคืนที่มืดมิด
เมื่อกริชหล่นลงบนพื้น เวินซีก็หันกลับออกไปทางประตู
ฮูหยินซูมองดูทุกอย่างพลันถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“ฮูหยินซู”
เสียงของเวินซีทำให้จิตใจของนางตึงเครียดขึ้นมาอีกครา
“หากวันใดฮูหยินซูคิดจะสารภาพ ข้ายินดีต้อนรับทุกเมื่อ ข้าเชื่อว่าวันนั้นจะมาถึงอีกไม่นาน”
เวินซีก้าวเท้าออกไปจากหอซุ่ยเฟิง
เ้าอำเภอรออยู่หน้าประตูอย่างใจจดใจจ่อ เมื่อเวินซีออกมา เขาก็เงยหน้าขึ้นมองเข้าไปในห้องพลันขมวดคิ้วเล็กน้อย “คุณหนูเวินซี...”
“คืนนี้ขอบพระคุณท่านเ้าอำเภอมากเ้าค่ะ ฟ้าจะสว่างแล้ว ข้าขอตัวก่อน”
เพราะกลัวว่ายียีจะตื่นมาอย่างเสียสติ เวินซีจึงรีบกลับไปอย่างรวดเร็ว
“จับตาดูฮูหยินซูให้ดี อย่าให้นางตาย อีกอย่าง ไปตรวจสอบด้วยว่าบ่อนพนันอยู่ที่ใด”
จ้าวต้านที่อยู่บนคานพูดกับทหารลับ เมื่อเห็นว่าเวินซีออกไปแล้วเขาก็ตามนางกลับไป
ตอนที่ทั้งสองกลับถึงร้านเครื่องหอม ยียีก็ตื่นแล้ว
“ออกไป อย่ามาแตะต้องข้า”
“พวกเ้าออกไปให้พ้น”
“ข้ามิอยากเจอผู้ใด”
ยาทั้งหมดถูกปัดจนกระจัดกระจาย จ่างกุ้ยยืนอยู่ที่หัวเตียงอย่างทำอันใดมิได้
“ยียีดุร้ายจัง” เอ้อเอ้อร์เห็นท่าทีของเขาเป็เช่นนั้นก็แทบจะร้องไห้ออกมา
นางอยากจะเข้าไปใกล้ยียี แต่ก็ถูกเขาผลักออกอย่างแรงจนล้มลงบนพื้น
เพราะว่าเพิ่งผ่านเหตุการณ์ที่ะเือารมณ์ ยามนี้ยียีจึงจำผู้ใดมิได้ทั้งนั้น
“ยียี ข้าเป็พี่สะใภ้ของเ้า” ขณะนั้นเวินซีถือยาแล้วเดินเข้าไปใกล้ๆ
ในตอนที่นางกำลังจะนั่งลงข้างเตียง ยียีก็แย่งยาและเขวี้ยงออกไป
เขามีสายตาเหม่อลอย ถอยไปจนสุดมุมเตียงด้วยท่าทีระวังตัวสุดขีด
“ไม่เอา อย่าแตะต้องข้า”
“หยุดตีได้แล้ว ข้าผิดไปแล้ว”
“เจ็บมาก ได้โปรดอย่าตีข้าเลย”
เขาพึมพำกับตนเองอยู่ตลอดเวลา
เวินซีและจ้าวต้านมองหน้ากัน ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องถอยออกไป
“่นี้ต้องดูแลยียีให้มาก ดูว่าเขาจะดีขึ้นหรือไม่ หากไม่ ในตอนที่ท่านพี่ออกไปก็ให้ยียีไปด้วยเถิด เปลี่ยนสภาพแวดล้อมดูเผื่อว่าจะช่วยเขาได้บ้าง”
เมื่อได้เห็นยียีเป็เช่นนี้ เวินซีก็ทรมานจนยากจะหายใจ
หากอยู่ต่อสักวินาทีก็จะยิ่งเป็การทรมานตนเอง นางจึงเดินออกจากห้องไปอย่างผิดหวัง
จ้าวต้านวางมือลงบนไหล่ของนาง “อย่าได้โทษตนเองเลย เื่นี้ไม่เกี่ยวกับเ้า ยียีน่าจะดีขึ้นเร็วๆ นี้ล่ะ”
เขาปลอบใจเวินซีและปลอบใจตนเองด้วยเช่นกัน
“ไปอยู่กับยียีเถิด ข้าสัญญากับท่านพี่ไว้ว่าจะให้เขาไปส่งลู่สือ ข้าไปก่อน ข้าจะกลับมาและนำขนมที่ยียีชอบมาให้”
“มิต้องเป็ห่วง ข้าจะรีบกลับ”
เวินซีเดินไปที่ห้องของโจวอวี่ชาง จ้าวต้านยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม เขาเห็นท่าทีของนางเช่นนั้นก็วางใจไม่ลง จึงเรียกทหารลับให้ตามไปคุ้มกันนางด้วย
“เวินซี มาแล้วหรือ”
อาการของโจวอวี่ชางดีขึ้นมาก ขณะนั้นเขานั่งเขียนอักษรอยู่บนโต๊ะ เมื่อเห็นนางเดินเข้ามาก็มีแววตาใ
ร้านเครื่องหอมไม่ได้ใหญ่ หากมีเื่ใดเกิดขึ้นย่อมรับรู้ไปทั่วทั้งเรือนอย่างรวดเร็ว เขาคิดว่านางจะยุ่งจนลืมเขาไปแล้วเสียอีก
“ท่านพี่เปลี่ยนชุดเป็คนรับใช้เถิดเ้าค่ะ ข้าจะรอท่านที่ประตู เร็วหน่อยนะเ้าคะ มิฉะนั้นจะไม่ทันขบวน”
เวินซีพูดจบก็ถอยออกไปรอ ขณะที่โจวอวี่ชางเปลี่ยนชุดเสร็จอย่างรวดเร็วเช่นกัน
ท่าทีอ่อนโยนและสง่างามของเขานั้นดูโดดเด่นเกินไปในชุดคนรับใช้ เวินซีจึงนำเครื่องแป้งมาแต่งหน้าให้และเพิ่มไฝเม็ดโตบนหน้า
หลังจากที่แน่ใจว่าจะไม่มีผู้ใดรู้จักเขา ทั้งสองคนก็ออกจากประตูหลังของร้านเครื่องหอม ยืนอยู่บริเวณที่ขบวนศพจะเดินผ่าน
ในเวลานั้นมีผู้คนเฝ้าดูอยู่เป็จำนวนมาก พวกเขาพากันเบียดออกไปที่ด้านหน้า
“เ้าได้ยินมาหรือไม่? ตระกูลเวินบอกว่าหลังจากที่ศพของนายน้อยโจวถูกนำไปที่สุสานของตระกูลเรียบร้อยแล้ว ที่หน้าประตูจวนตระกูลเวินจะมีการเลี้ยงโจ๊กถึงสามวัน เป็การทำบุญให้นายน้อยโจว”
“ข้ายังได้ยินมาอีกว่า คนทั้งตระกูลเวินทั้งเ้านายและทาสต้องใส่ชุดขาว ทานเจหนึ่งเดือนเต็มด้วย”
“ตระกูลเวินทำถึงเช่นนี้ หากนายน้อยโจวได้รู้คงจะมีความสุขมาก”
...
ผู้คนสนทนากันอย่างกระตือรือร้น ทั้งยังมีคนนัดกันไปรับโจ๊กที่จวนตระกูลเวินด้วย
แววตาของโจวอวี่ชางขุ่นมัว เขากำมือแน่น แขนสั่นไม่หยุด
ตระกูลเวินยังใช้ประโยชน์จากเขาอยู่อีก พยายามกอบกู้ชื่อเสียงผ่านเื่ราวครั้งนี้
“อดทนไว้เ้าค่ะ ตระกูลเวินได้ใจอยู่ไม่นานหรอก” เวินซีเอ่ยเตือนสติเบาๆ
“อื้ม” โจวอวี่ชางตอบรับ
ทันใดนั้นผู้คนก็เริ่มวุ่นวาย ทั้งสองมองไปที่ถนนก็เห็นว่าขบวนศพของตระกูลเวินมาถึงแล้ว
ศพของลู่สือถูกห่อด้วยเสื่อฟาง คนรับใช้ลากศพของเขาเดินไปอย่างหยาบคาย ด้านหลังมีโลงศพที่มีคนของตระกูลเวินเดินขนาบเป็สองฝั่ง พวกเขาเดินพลางร้องไห้ไปพลาง
กระดาษขาวลอยอยู่ในอากาศ บรรยากาศอึมครึมลงทันที ผู้คนที่เคยได้รับความเมตตาจากโจวอวี่ชางพากันคุกเข่าลงด้วยสีหน้าเศร้า
ในแววตาของโจวอวี่ชางเต็มไปด้วยความเคียดแค้น เขาเคลื่อนตัวตามกลุ่มคนไป
ในขณะที่เดินอยู่ เวินซีก็มองสภาพแวดล้อมรอบๆ ด้วยความระมัดระวัง
เมื่อไปถึงประตูเมือง นางและโจวอวี่ชางก็หยุดลง มองดูขบวนศพค่อยๆ ออกจากเมืองไป
“พวกเรากลับกันเถิด”
เมื่อโลงศพผ่านหน้าเวินซี นางก็ถอยกลับไปซ่อนตัวในหมู่คน เตรียมตัวจะจากไป
แต่ทันใดนั้นก็มีสายตาคู่หนึ่งจ้องมองมา นางจึงเงยหน้าขึ้นช้าๆ
ที่ท้ายขบวนศพ หลานเยว่เฉิงได้นั่งรถม้าตามไป เขามีสีหน้าครุ่นคิด สายตาที่มองเวินซีนั้นนิ่งเรียบ ไม่เผยอารมณ์ใด
ทั้งสองมองหน้ากัน นางมองเขาค่อยๆ ออกไปจากประตูเมือง