ครั้งแรกที่ได้เห็นฉินอวี่ หลัวชิงเยว่ก็ััได้ถึงพลังของหยาจื้อและเสวียนอู่ที่อยู่ในร่างกายของเขา แต่ในตอนนั้น นางใจจดจ่ออยู่กับเื่ของพี่ชาย จึงไม่ได้ถามไปโดยทันที แต่กลับนึกไม่ถึงว่าจะพบกับผู้เฒ่าร้องไห้ และด้วยสถานะของความเป็ศิษย์ในนามของผู้เฒ่าร้องไห้ ทำให้หลัวชิงเยว่ไม่กล้าแหวกหญ้าให้งูตื่น ดังนั้นจึงพยายามโน้มนาวฉินอวี่ให้มายังเมืองหลักเทียนโหมว
ก่อนหน้านี้ที่พยายามวิเคราะห์สาเหตุที่คนนอกเข้ามายังแดนต้าโหมวเทียน หลัวชิงเยว่ก็ได้ตั้งใจเหลือบมองไปทางฉินอวี่ และคิดไว้ว่าฉินอวี่อาจจะรู้จักกับคนผู้นี้หรือไม่ แต่สิ่งที่ทำให้หลัวชิงเยว่ต้องสงสัยคือ ดูเหมือนว่าหลี่โหย่วฉายผู้นี้จะไม่เพียงไม่สนใจคนนอกคนนั้น แต่ยังจะคิดตัดศีรษะคนนอกคนนั้นอีกด้วย สิ่งนี้จึงทำให้นางลังเลใจ และคิดไปเช่นกันว่าตนเองอาจคิดมากเกินไป
แต่ในตอนนี้ ฉินอวี่ได้เผยพลังของหยาจื้อและเสวียนอู่ออกมาต่อหน้าต่อตา ทำให้หลัวชิงเยว่เริ่มจะไม่แน่ใจอีกครั้ง คนผู้นี้ใช้พลังปราณของหยาจื้อและเสวียนอู่ต่อหน้าตนเองอย่างโจ่งแจ้ง หรือว่าจะไม่กลัวว่าตนเองจะสังเกตเห็นหรือ? หรือจะบอกได้ว่า หรือคนผู้นี้จะไม่มีอะไรในใจ ดังนั้นทำอะไรจึงไม่ได้คิดให้รอบคอบ?
เมื่อเห็นท่าทางที่ดุดันของฉินอวี่ หลัวชิงเยว่ก็ถึงกับผงะ มองดูฉินอวี่อย่างละเอียด และตกอยู่ในความครุ่นคิดของตนเอง ในตอนนี้หวังจงกับหลิวเจ๋อก็มองฉินอวี่ด้วยความงุนงง พวกเขายังไม่เคยไปยังสนามรบปรโลก ดังนั้นจึงไม่รู้จักพลังปราณหยาจื้อและเสวียนอู่
อย่างที่ทุกคนรู้กัน แม้ฉินอวี่จะแสดงสีหน้าที่ดุร้าย แสร้งทำท่าทีกระตุ้นพลังสายเื แต่มโนจิตกลับค่อยๆ สาดส่องออกไปเล็กน้อย และส่องไปยังร่างของหลัวชิงเยว่
เมื่อรู้สึกได้ว่าหลังชิงเยว่กำลังจ้องมองตนเองอยู่ แต่ในใจของฉินอวี่กลับถอนหายใจอย่างโล่งอก เขาไม่รู้สึกเลยว่าหลัวชิงเยว่กำลังสงสัยในตัวเขาอยู่ ดังนั้นเมื่อเป็เช่นนี้ เพื่อการเตรียมพร้อมเข้าสู่การเป็หนึ่งในสามสิบหกขุนพล์เมื่อเข้าถึงเมืองหลักเทียนโหมวภายในสามปี จึงจำเป็ต้องอาศัยสายเืของหยาจื้อและเสวียนอู่ เมื่อถึงตอนนั้น หากทุกอย่างถูกเปิดเผยอย่างกะทันหัน ก็คงต้องกลายเป็จุดสงสัยของหลัวชิงเยว่และคนอื่นๆ
ดังนั้น ฉินอวี่จึงมีเจตนาที่จะเผยให้หลัวชิงเยว่เห็นเสียก่อน เพียงเพื่อเป็คำแก้ตัวในอนาคต แต่ฉินอวี่กลับนึกไม่ถึงว่าการกระทำโดยบังเอิญของเขา กลับทำให้เขาคลี่คลายหายนะที่จะเกิดออกไปได้
ฉินอวี่ใช้เวลาสูดพลังปราณนั้นกว่าครึ่งชั่วยาม จากนั้นจึงลืมตาขึ้นด้วยใบหน้าที่ผิดหวัง เมื่อเขาสังเกตเห็นสายตาของหลัวชิงเยว่ ฉินอวี่จึงแกล้งทำเป็ใ และเผยใบหน้าที่สงสัยขึ้นมาเล็กน้อย “ชิงเยว่หวัง มีอะไรหรือ?”
“เ้าไปได้สายเืหยาจื้อและสายเืเสวียนอู่มาจากไหน?” หลัวชิงเยว่หรี่ตาทั้งคู่ลง และพูดอย่างเรียบเฉย แต่ในสายตาเต็มไปด้วยความอำมหิต
ใบหน้าของฉินอวี่ดูอึดอัดเล็กน้อย ยกมือทั้งสองขึ้นประสาน แสดงความเคารพ และพูดขึ้น “ข้าขอไม่ปิดบังเลยก็แล้วกัน ครั้งแรกที่ข้าได้พบกับผู้เฒ่าร้องไห้ หลังจากตอบคำถามเขาแล้ว เขาก็มอบเืสองหยดให้กับข้า ข้าก็เพิ่งมารู้ทีหลังเช่นกันว่าเืนั่นมีพลังของหยาจื้อและเสวียนอู่ น่าเสียดาย... ที่ข้าพยายามอยู่หลายครั้งก็ยังไม่สามารถกระตุ้นพลังปราณของหยาจื้อและเสวียนอู่ได้
ดวงตาของหลัวชิงเยว่เต็มไปด้วยความสงสัย แต่ดวงตาของนางยังคงจ้องมองฉินอวี่อย่างไม่ละสายตาจากใบหน้าของฉินอวี่ หลังจากไตร่ตรองเป็เวลานาน หลัวชิงเยว่ก็ดูเหมือนจะไม่รู้ทำอย่างไร และพูดอย่างเ็า “ทำไมข้าจึงไม่ได้ยินเ้าพูดถึงมาก่อน? นอกจากนี้ เ้าบอกว่าผู้เฒ่าร้องไห้กำลังทดสอบเ้าอยู่มิใช่หรือ? เขาจะมอบเืของหยาจื้อและเสวียนอู่ให้เ้าระหว่างการทดสอบหรือ?”
ฉินอวี่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ดวงตาของเขาหลุบลงเล็กน้อย และแอบถอนหายใจให้กับความดุร้ายของหลัวชิงเยว่ หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เขาก็กล่าวว่า “ชิงเยว่หวัง จริงๆ แล้ว... ทุกครั้งที่ข้าตอบคำถามของผู้เฒ่าร้องไห้ ข้าก็จะได้ของจากผู้เฒ่าร้องไห้มาหนึ่งชิ้น และหลังจากที่ชายผู้เฒ่าร้องไห้พาข้าไปในครั้งล่าสุด ข้าไม่ได้้าสิ่งของอะไรจากเขา แต่... ขอให้ผู้เฒ่าร้องไห้ยอมรับข้าเป็ศิษย์...”
“หากเป็อย่างที่เ้าพูด หากข้าตอบคำถามเขา ผู้เฒ่าร้องไห้ก็ต้องให้ของรางวัลกับข้าด้วยใช่หรือไม่?” หลัวชิงเยว่ไม่อยากเชื่อ แต่ยังคงถามต่อไป
“ชิงเยว่หวังจะลองดูก็ได้ เพียงแต่ คำถามในแต่ละครั้งของผู้เฒ่าร้องไห้จะแตกต่างกันไป ยิ่งไปกว่านั้น สองครั้งนี้ ข้ายังคงรอดมาได้ นับว่าเป็ความโชคดีที่ไม่เป็อันตรายใดๆ” ฉินอวี่กล่าวอย่างจริงใจ
ดวงตาที่ดูโเี้ของหลัวชิงเยว่จางหายไป และพูดอย่างเ็า “ครั้งนี้ยกเว้นให้ แต่หากมีอะไรอีกห้ามปิดบังข้าเด็ดขาด ไม่เช่นนั้น ก็จะยิ่งเพิ่มความเข้าใจผิดต่อกัน”
“รับทราบ” ฉินอวี่เกาศีรษะและพูดขึ้นอีกครั้ง “ครั้งนี้ข้าเองก็้าไปเข้าร่วมทดสอบเป็อสูรอารักขาที่เมืองหลักเทียนโหมว และจะเข้าร่วมการทดสอบเจ็ดสิบสองอสูรธรณี และการทดสอบสามสิบหกขุนพล์ ดังนั้นจึงคิดจะลองกระตุ้นสายเืหยาจื้อแล้วเสวียนอู่ แต่นึกไม่ถึงว่ามันจะล้มเหลว”
หวังจงและหลิวเจ๋อต่างก็อ้าปากค้าง เป้าหมายที่ใหญ่ที่สุดของพวกเขาคือ เจ็ดสิบสองอสูรธรณี แต่พวกเขากลับนึกไม่ถึงว่า ฉินอวี่จะฝันที่จะเป็สามสิบหกขุนพล์... ด้วยระดับการฝึกฝนของขั้นกุมารทิพย์ ที่มีคุณสมบัติไม่เพียงพอ
“เ้ายัง้าเป็สามสิบหกขุนพล์หรือ?” หลัวชิงเยว่ก็นึกไม่ถึงเช่นกันว่าฉินอวี่จะเข้าร่วมการทดสอบอสูรธรณีและการทดสอบขุนพล์
“ได้ยินมานานแล้วว่าชิงเยว่หวังได้ละสถานะของตน และค่อยๆ ก้าวขึ้นเป็หนึ่งในเจ็ดสิบสองอสูรธรณีด้วยการค่อยๆ ก้าวเดินทีละก้าวเยี่ยงสามัญชน หลี่โหย่วฉายก็้าเดินตามชิงเยว่หวัง หากสามารถกลายเป็สามสิบหกขุนพล์ได้คงจะดีไม่น้อยเลย” ฉินอวี่พูดอย่างมีความหวัง
“หากสามารถกระตุ้นสายเืของหยาจื้อและสายเืเสวียนอู่ได้ บางทีอาจจะได้เป็หนึ่งในเจ็ดสิบสองอสูรธรณี แต่สามสิบหกขุนพล์นั้น ข้าขอแนะนำให้ล้มเลิกความคิดนั้นเสียดีกว่า” หลัวชิงเยว่กล่าวอย่างเ็า ก่อนจะหันหลังกลับไป
“เพราะอะไร?” หัวใจของฉินอวี่เต้นแรง และรีบถามไปอย่างรวดเร็ว
“แท้จริงแล้วเจ็ดสิบสองอสูรธรณี คืออันดับของเหล่าศิษย์อัจฉริยะ หรืออาจพูดได้ว่า หากคิดจะเป็เจ็ดสิบสองอสูรธรณี ด้วยพละกำลังของขั้นกุมารทิพย์ หากอาศัยอำนาจความแข็งแกร่งก็นับว่ายังมีโอกาส แต่เ้ารู้หรือไม่ว่าสามสิบหกขุนพล์หมายถึงสิ่งใด?” หลัวชิงเยว่กล่าวอย่างเยือกเย็น ราวกับว่าจะหงุดหงิดที่ฉินอวี่ไม่รู้จักเจียมตัว
ฉินอวี่นิ่งเงียบ รอคอยคำอธิบายจากหลัวชิงเยว่อย่างใจจดใจจ่อ
“ในแดนต้าโหมวเทียน ตำแหน่งสามสิบหกขุนพล์นับว่าพิเศษอย่างยิ่ง ไม่มีเงื่อนไขด้านพละกำลังแม้จะได้แต่งตั้งเป็ขุนพล ก็ไม่แน่ว่าจะสามารถเป็หนึ่งในขุนพล์ได้ จนถึงตอนนี้ สามสิบหกขุนพล์ก็มีอยู่เพียงในนามเท่านั้น ในยุคนี้ สามสิบหกขุนพล์มีอยู่ไม่เกินสองคน!”
รูม่านตาของฉินอวี่หดตัวลงอย่างรวดเร็ว สามสิบหกขุนพล์... มีเพียงสองคน? แล้วจะเรียกว่าสามสิบหกขุนพล์ได้หรือ?
แน่นอน ฉินอวี่ก็รู้ว่าชื่อระดับนี้เป็สิ่งที่ใช้กันในแดนต้าโหมวเทียนในอดีต เมื่อครั้งยังไม่ถูกปราบปราม แต่การเป็ขุนพล์นี้นับว่ายากจริงๆ
“หาก้าเป็สามสิบหกขุนพล์ ก่อนอื่นต้องเป็หนึ่งในเจ็ดสิบสองอสูรธรณีให้ได้เสียก่อน และในแต่ละยุคที่ผ่านมา ในเจ็ดสิบสองอสูรธรณีนั้น ในการทดสอบแต่ละครั้งจะมีคนจำนวนสูงสุดไม่เกินสามคนที่ได้เป็สามสิบหกขุนพล์ อีกอย่าง... เื่นี้ไม่เพียงแต่้าพละกำลัง แต่ยังต้องมีโชค ความโชคดีอีกด้วย ทั้งสามอย่างนี้ จะขาดสิ่งใดไปไม่ได้เลย!” หลัวชิงเยว่พูดจบ นางก็นั่งลง และหลับตาทำสมาธิ
พญาอินทรีบินไปอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า ลมพัดแรงราวกับใบมีด พัดเสื้อผ้าปลิวว่อน สีหน้าของฉินอวี่ซีดเผือด แต่ดวงตาของเขากลับยังมีความปรารถนาแห่งความพากเพียร
แดนต้าโหมวเทียนได้มีการขยายออกเพิ่มเติมออกไปอย่างมาก มีการแบ่งแยกอย่างสมบูรณ์ ทั้งการฝึกฝน การค้า และการแบ่งสันอำนาจ
ตลอดเส้นทาง ฉินอวี่เต็มไปด้วยความใ ส่วนที่เหลืออยู่ของจอมอสูรมีความแข็งแกร่งและซับซ้อนเกินกว่าจินตนาการ หลังจากออกจากเขตจุ้ยโหมว ดูเหมือนว่าจะสามารถมองเห็นเมืองได้ทุกระยะร้อยลี้ และแต่ละเมืองก็มองเห็นกลุ่มผู้คนจำนวนมาก สามารถมองเห็นกลุ่มกองกำลังและตระกูลต่างๆ เป็จำนวนมาก และดูเหมือนว่าจะไม่พบเจุ์ธรรมดาในสถานที่แห่งนี้เลย ทั้งผู้ฝึกตนในที่นี้ต่างก็มีพละกำลังสูงทั้งสิ้น
แดนต้าโหมวเทียนที่เป็เช่นนี้ หากสามารถหลุดจากการกักขังนี้ไปได้ เกรงว่าคงจะทำให้ทั่วทั้งแดนคุ่นหลงซิงเฉินเต็มไปด้วยความวุ่นวาย
ด้วยความรวดเร็วของพญาอินทรี จากเขตจุ้ยโหมวจึงใช้เวลาเพียงหนึ่งเดือนก็ถึงเมืองหลักเทียนโหมว
เมื่อเข้าใกล้เมืองหลักเทียนโหมว ฉินอวี่ก็ยืนอยู่บนหลังของพญาอินทรี มองดูเมืองโบราณขนาดใหญ่ที่อยู่ไกลออกไปตรงเบื้องหน้าด้วยความใ กำแพงเมืองสีดำสนิทของเมืองโบราณมีความสูงสามสิบจ้าง บนกำแพงมีรูปสลักหินที่ทรงพลังอยู่จำนวนมาก รวมกันแล้วมีอยู่มากถึงเก้าสิบห้าชิ้น เมื่อมองจากระยะไกล สิ่งเหล่านี้เหมือนเทพเ้าที่คอยเฝ้ารักษาเมือง ด้านในกำแพง มีอาคารบ้านเรือนเป็กลุ่มๆ มีถนนเหมือนใยแมงมุมเชื่อมต่อไปทั่วทั้งเมือง
แต่สิ่งที่ทำให้รู้สึกใคือ ทางด้านหลังของเมืองใหญ่แห่งนี้ มีูเาที่สูงตระหง่านตั้งอยู่ ราวกับอสูรอำมหิตตัวหนึ่งกำลังซ่อนตัวอยู่ในที่แห่งนี้ แม้ว่าจะอยู่ในระยะที่ไกลมาก แต่ก็เป็ที่สะดุดตาฉินอวี่เป็อย่างมาก แม้ว่ามโนจิตของฉินอวี่จะยังไม่สามารถครอบคลุมูเาทั้งลูกนี้ได้ อย่างไรก็ตาม มโนจิตของฉินอวี่ในตอนนี้อย่างน้อยที่สุดก็ครอบคลุมพื้นที่ได้ถึงห้าร้อยลี้!
“อันที่จริงเมืองหลักเทียนโหมวถูกแบ่งเป็เมืองชั้นนอกและเมืองชั้นใน ในตำนานกล่าวเอาไว้ว่าเมืองชั้นในเกิดขึ้นจากร่างของอสูรเซียนใช่หรือไม่? น่าเสียดาย... ที่แห่งนั้นจะมีเพียงคนในระดับเจ็ดสิบสองอสูรธรณีขึ้นไปจึงจะมีสิทธิ์เข้าไปด้านใน” หวังจงมองไปยังูเาที่สูงตระหง่าน ดวงตาพร่ามัวและพึมพำกับตนเอง สายตาของเขาเกิดเป็ความบ้าคลั่งวาบขึ้นทันที
“ร่างของอสูรเซียน?” ฉินอวี่ตกตะลึง กวาดสายตามองไปร่างของอสูรเซียนสีดำสนิท เหนือขึ้นไปในความคลุมเครือบนศีรษะ เขามองเห็นเงาร่างอันเลือนรางเงาหนึ่ง เหมือนอยู่ท่ามกลางหมู่เมฆ เป็เพราะอยู่ไกลกว่าขอบเขตของมโนจิต ฉินอวี่สามารถมองเห็นได้เพียงระดับที่อยู่เบื้องล่างของเงาร่างนั้น ที่เป็ดั่งจอมาา ผู้ทรงพลังวิเศษ
“นั่นคือรูปสลักหินของจอมอสูรโหมวเซี่ยนหรือ? น่าเสียดาย... อยู่นอกเขตของมโนจิต จึงมองเห็นไม่ชัดเจน” ฉินอวี่พึมพำ
ขณะที่ฉินอวี่กำลังในั้น พญาอินทรีั์ก็ร่อนลงตรงนอกประตูของเมืองชั้นนอก หลัวชิงเยว่พูดขึ้นอย่างเฉยเมย “พวกเ้ารออยู่เมืองชั้นนอกก่อนก็แล้วกัน” เมื่อฉินอวี่ลงถึงพื้นดิน หลัวชิงเยว่ก็ขี่พญาอินทรีเข้าไปยังเมืองชั้นใน
