กาลเวลาผันผ่านไปหนึ่งปี ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง ฤดูหนาว ในกระท่อมไม้สันโดษผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว เมื่อครั้งที่เจี่ยหลีร่วงหล่นจากยอดเขาลั่งอวิ๋นเป็่ต้นฤดูหนาว ปัจจุบันที่โม่ยงเห็นตอนนี้ กลับเป็่ต้นฤดูใบไม้ผลิที่หิมะเพิ่งละลาย
ธารน้ำไหลรินอยู่ไม่ไกลจากกระท่อมไม้ เยว่อู๋โยวสวมใส่ชุดกระโปรงสีขาวนวลเนื้อบางเบาและอบอุ่น ผิวสีน้ำผึ้งขับให้สีสันของอาภรณ์ดูเย้ายวน นางหลับตาลง ลมเย็นพัดโชยมา กระโปรงพลิ้วไหว เผยให้เห็นเท้าเปลือยเปล่าที่เหยียบลงบนหญ้าสีเขียวที่เพิ่งแตกหน่อในฤดูใบไม้ผลิ
ภาพนั้นงดงามราวบทกวี ราวกับดอกไม้ร่วงหล่นจากเขาลั่งอวิ๋น ไม่เบี่ยงเบนไปทางใด กลับตกลงในสายตาของโม่ยง ดอกไม้นั้นไม่เคยจากไป บางคราวอยู่ในมุมหนึ่ง บางคราวอยู่ตรงหน้า หรือแม้กระทั่งบางคราอาจอยู่บนเตียงอีกด้านหนึ่ง หรืออยู่ตรงระหว่างขาทั้งสองของเขา
นางทั้งอ่อนโยนและเร่าร้อน ทั้งงดงามและสง่า
ในแต่ละวัน หลังจากเก็บเกี่ยวสมุนไพรและปรุงยา ทำอาหารและซักล้าง เยว่อู๋โยวจะขับขานบทเพลงเบาๆ ริมธาร
ราวความฝัน ราวสายลม ราวสายฝน ราวกับเสียงกระดิ่งจากูเาที่ดังก้องกังวาน ราวกับเสียงกระเรียนคอขาวส่งเสียงร้องในหุบเขา ตลอดทั้งวัน นางสามารถไม่ทำสิ่งใด เพียงขับขานไปตามสายลม ขับขานไปเรื่อยๆ บางครั้งก็เต้นรำที่ชวนให้เคลิบเคลิ้ม
มือน้อยขาวผ่องและเท้าเรียวงาม กลับไม่เหมือนใช้ชีวิตอย่างแร้นแค้นที่เต็มไปด้วยรอยด้านและาแ ประกายในดวงตาของนางราวกับเปลวเพลิงที่วาดลวดลายอยู่ในหุบเขา เสียงของนางกับสุราที่หมักบ่มด้วยแสงสุดท้ายแห่งวัน
นางมีนิสัยเ็า ราวกับเจี่ยหลีที่บรรลุเซียน นางพูดน้อย ราวกับโม่ยงที่ตกสู่โลกมนุษย์
พวกเขาอยู่ร่วมกันในสถานที่อันแสนห่างไกล ในกระท่อมไม้อันแสนเรียบง่าย ประคองซึ่งกันและกัน ราวกับจะสลายหายไปเมื่อัั
ถึงกระนั้น ก็ใช่ว่าทุกอย่างจะไม่แปรเปลี่ยน
“น้องอู๋โยว”
“พี่ยง”
ผ่านไปอีกครึ่งปี ทั้งสองเรียกขานชื่อกันและกันโดยตรง
จากเมื่อก่อน ไม่ว่าโม่ยงจะรบกวนอย่างไร เยว่อู๋โยวก็จะจมอยู่กับบทเพลงและการเต้นรำ ราวกับเป็หมอกที่นางสร้างขึ้นด้วยมือทั้งสอง แม้แต่นางเองก็ไม่อาจก้าวออกมาได้ง่ายๆ แต่มาถึงตอนนี้ เมื่อ “พี่ชาย” ข้างกายเรียกขาน นางก็จะไม่เมินเฉยอีกต่อไป
โม่ยงเดินเข้าไป มอบดอกไม้ดอกหนึ่งให้แก่เยว่อู๋โยวที่หยุดเต้นรำ
“เมื่อเช้าตอนฝึกกระบี่ ข้าเห็นอยู่ข้างกองฟืน” โม่ยงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
มันคือดอกไม้ที่มีกลีบสีแดง เส้นสีทอง ใบสีดำ และเกสรสีเงิน ช่างเข้ากับผิวสีน้ำผึ้งและผมสีเงินของเยว่อู๋โยว
“ขอบคุณพี่ยง” นางกะพริบตาปริบๆ ไม่มีสีหน้าใดๆ ทว่าดวงตาสีแดงคู่นั้นกลับมีคลื่นใสๆ หมุนวนอยู่ชั่วขณะ ประกายที่ควรจะร้อนแรงดุจเปลวไฟ กลับถูกแทนที่ด้วยความอ่อนโยน ปัจจุบันมันส่องประกายราวกับทับทิม
โม่ยงคุ้นชินกับท่าทีของเยว่อู๋โยวเช่นนี้ เขาไม่อาจคิดว่านางเป็เพียงหุ่นไม้ที่พูดได้อีกต่อไป
“แม้ว่ากระดูกและร่างเดิมจะมลายสิ้นไป รูปลักษณ์ข้าในยามนี้ก็แปรเปลี่ยนจากเก่าก่อน” เขาหรี่ตาลง รอยยิ้มยังคงไม่จางหาย “แต่ ก็ยังสูงกว่าน้องอู๋โยวอยู่ดี”
“ใช่” เยว่อู๋โยวพยักหน้า “ถึงจะแตกต่างกันเล็กน้อย แต่...พี่ยงก็เป็ชาย ส่วนอู๋โยวเป็เพียงหญิงโอสถเท่านั้น”
ถึงแม้จะไม่ใช่เซียนกระบี่แล้ว แต่โม่ยงก็เป็ผู้ฝึกยุทธ์
หลังจากบำเพ็ญคู่กันมาหนึ่งปี รูปร่างของเขานับวันยิ่งเบาขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็หนุ่มน้อยวัยปักปิ่น ผมสีเงินที่คล้ายกับสีผมของเยว่อู๋โยว ถูกมัดเป็หางม้าไว้ที่ท้ายทอย และดวงตาของเขาก็เปลี่ยนจากสีน้ำตาลเข้ม กลายเป็สีแดงเข้ม หากไม่ใช่ผู้ที่ล่วงรู้ความจริงเื้ั คงคิดว่าพวกเขาเป็พี่น้องร่วมสายโลหิต
แต่พี่น้องไม่สามารถบำเพ็ญคู่กันเช่นนี้ได้ เมื่อคิดถึงท่าทางของเยว่อู๋โยวบนเตียง ใบหน้าของโม่ยงก็ร้อนผ่าว รู้สึกว่าสิ่งนั้นในกางเกงของเขาเริ่มดื้อรั้นขึ้นมา เมื่อเห็นรอยยิ้มขมขื่นของ “พี่ยง” ตัวการของเื่อย่างเยว่อู๋โยวกลับเพียงแค่เอียงศีรษะ มองเขาด้วยสีหน้าซื่อๆ อย่างสงสัย
“พี่ยงเป็ไข้หรือ?”
“เปล่าๆ” โม่ยงเกาหัวอย่างจนปัญญา “ข้างนอกหนาว ถึงแม้เ้าจะมีเวทมนตร์คุ้มกาย...พวกเรากลับเข้าเรือนกันเถอะ”
“อืม เ้าค่ะ”
เยว่อู๋โยวไม่เคยฝึกยุทธ์ แต่เวทมนตร์ที่นางมีกลับแสนพิสดาร เป็สิ่งที่โม่ยงไม่เคยเห็นมาก่อน นางมักจะบอกว่าพลังของตนพิเศษ การฝึกฝนก็เป็วิชาประจำตระกูล คิดว่าวิชานั้นอาจไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปสามารถฝึกฝนได้ เมื่อคิดได้ดังนั้น เขาก็รู้สึกว่าไม่จำเป็ และไม่ควรไต่ถามให้มากความ
โม่ยงเดินนำหน้า เยว่อู๋โยวเดินตามหลัง มือเล็กๆ นั้นก็จับมือเขาอย่างไม่ทันตั้งตัว หนุ่มผมเงินก็คุ้นชินกับความน่ารักที่แฝงไว้ในตัวของเยว่อู๋โยวเช่นนี้แล้ว ไม่ได้เอ่ยห้ามปรามอีกต่อไป
ทุกสิ่งควรจะเป็เช่นเดิม พวกเขาจะกลับไปยังห้องโถงเล็กๆ ที่อบอุ่น เตรียมอาหารด้วยกันภายใต้แสงไฟที่สั่นไหว แม้จะพูดคุยกันไม่มาก แต่ก็สามารถััได้ถึงความไว้ใจและความผูกพันในการสบตา
แต่วันนี้ เยว่อู๋โยวกลับหยุดฝีเท้า
“พี่ยง เข้าไปข้างในก่อนเถอะ”
มือน้อยคลายออก วางประสานกันไว้เบื้องหน้า โม่ยงจึงหันกลับไป ในดวงตาคู่นั้น เขาเห็นภาพหิมะในเหมันตฤดูที่จากไปนานแสนนาน
เขาไม่สามารถใช้พลังได้ สูญเสียพลังฝึกฝนขั้นแปดประทับ เยว่อู๋โยวที่เวทมนตร์ประจำตระกูลััได้ถึงสิ่งใด? เขาได้แต่เสียใจที่ไม่สามารถล่วงรู้ได้ โม่ยงจึงประสานมือคารวะ ก่อนจะเปิดประตูไม้ออกอย่างเงียบงัน แล้วซ่อนร่างในเงามืดของกระท่อม เก็บซ่อนลมหายใจ
เสียงฝีเท้าของคนจำนวนหนึ่งดังแว่วมา โม่ยงตั้งใจฟังอย่างแน่วแน่ เขาสามารถแยกแยะได้ว่าผู้มาเยือนมีประมาณห้าคน เมื่อฟังจากจังหวะการก้าวเดินและวิชาตัวเบา พวกนั้นล้วนแต่มีวิทยายุทธ์
ยังไม่ทันที่พวกเขาจะหยุดฝีเท้า เสียงพูดที่ดูถูกเหยียดหยามก็ดังขึ้นก่อน “ได้ยินว่าสำนักกระบี่ไท่สิงสร้างสถานที่เร้นลับไว้ที่ไหนสักแห่ง ใครเล่าจะคิดว่าซ่อนตัวอยู่ในเมือง ซ้ำยังอยู่ใกล้แค่นี้เอง”
เสียงของชายที่พูดฟังดูอายุประมาณสามสิบกว่าปี ใกล้เคียงกับรูปลักษณ์ภายนอกของเจี่ยหลีก่อนที่จะกลายเป็โม่ยง เสียงทุ้มลึกของชายอีกคนดังตามมา “ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพวกเราจากสำนักเทียนหยวนถึงหาที่นี่ไม่เจอเสียที”
“ท่านจอมยุทธ์ทั้งหลาย” เสียงของเยว่อู๋โยวเ็า ราวกับลมในฤดูหนาวที่เคยพัดผ่านบานหน้าต่าง “ที่นี่ควรจะมีค่ายกลเวท คนทั่วไปไม่สามารถเข้ามาได้ หากท่านทั้งหลายไม่ได้ตั้งใจที่จะทำลายค่ายกลเวท ก็โปรดออกไปเถิด ข้าน้อยพำนักอยู่ที่นี่อย่างสันโดษ ไม่มีที่พึ่ง ไม่มีญาติ เป็เพียงผู้ที่้าปลีกวิเวกจากโลกภายนอก หากท่านจอมยุทธ์ผู้มีชื่อเสียง้าสิ่งใดจากข้า เกรงว่าข้าน้อยคงมิอาจให้ได้”
“เรียกตัวเองว่าข้าน้อย คงจะถ่อมตัวเกินไปกระมัง” ชายอีกคนเลิกคิ้วขึ้นกล่าว “หากเปลี่ยนเป็สำนักเล็กๆ ที่สืบทอดวิชา อาจจะถูกหลอกด้วยคำพูดของเ้า แต่ห้าพิสดารแห่งเทียนหยวนอย่างพวกข้าไม่มีทางหลงกลเ้าหรอก”
โม่ยงที่เคยใช้ชีวิตอยู่ในโลกภายนอกในนามของเจี่ยหลี ไม่มีทางไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน
สามสำนักฝ่ายธรรมะที่ได้รับการยอมรับในใต้หล้า หุบเขาลั่งอวิ๋นมีสำนักกระบี่ไท่สิง หุบเขาผนึกเทพมีสำนักอี๋เซี่ยง แต่ละแห่งหนึ่งในเจ็ดสิบสองสำนักบำเพ็ญเซียนแห่งต้งถิง แบ่งแยกอำนาจกันในโลกเซียน ส่วนในโลกมนุษย์ ผู้นำสูงสุดแห่งฝ่ายธรรมะก็คือสำนักเทียนหยวน เล่าลือกันว่าพวกเขาท่องไปในยุทธภพ ให้คำสัตย์ด้วยกระบี่ ดำเนินกิจการคุ้มกัน ขนส่ง ไกล่เกลี่ย และเป็ผู้ผดุงความเที่ยงธรรม จึงได้รับการนับหน้าถือตาจากผู้คนไม่น้อย