แม้ว่าแคว้นอู่จะเป็แคว้นบริวาร แต่ก็มีสำนักอื่นๆ อยู่ในอาณาเขตของตน แต่สำนักเหล่านี้ไม่ได้อยู่ภายใต้ขอบเขตอำนาจของแคว้นอู่ หากพูดตรงๆ ชื่อของแคว้นอู่นับว่าเป็ประเทศหนึ่ง แต่ความจริงแล้วก็เหมือนถูกแบ่งดินแดนออกเช่นกัน โดยปกติแล้ว สำนักใหญ่เ่าั้จะไม่สนใจและไม่แทรกแซงกิจการของแคว้นอู่ แต่หากมีแหล่งแร่ศิลาิญญาปรากฏขึ้นในแคว้นอู่ หรือมีอาวุธวิเศษกำเนิดขึ้น เช่นนั้นแล้ว สำนักใหญ่เหล่านี้จะลงมือทันที โดยไม่สนใจว่ามีสิทธิ์จะนำไปหรือไม่ และมักจะกล่าวอย่างสวยหรู ว่านี่เป็อาณาเขตของกลุ่มอำนาจในสำนักใหญ่ และเป็สมบัติวัตถุของสำนักใหญ่
ห่างออกไปห้าร้อยลี้ทางตอนเหนือของเมืองหลักเทียนอู่ มีแดนต้องห้ามเล็กๆ อยู่แห่งหนึ่ง ซึ่งถูกเรียกว่าสุสานอสูร ซึ่งมีสำนักอื่นๆ ได้ค้นพบซากศพของอสูรร้ายตัวหนึ่งในบริเวณนั้น และไม่รู้ว่าเื่นี้เกิดรั่วไหลไปได้อย่างไร จนสำนักใหญ่ต่างรับรู้ และต่างส่งผู้แข็งแกร่งของตนเองลงไป “ชิง” ซากศพของอสูรร้ายกลับไป
ในขณะนี้ ฉินอวี่กำลังยืนอยู่บริเวณรอบนอกของพื้นที่สุสานอสูร มองดูเทือกเขาที่ไม่มีที่สิ้นสุดตรงเบื้องหน้า สีหน้าแสดงออกถึงความคาดหวังที่คลุมเครือ เหตุผลที่เขาเลือกสถานที่แห่งนี้ น่าจะเป็เพราะเขาเคยได้อ่านเื่เกี่ยวกับสุสานอสูรจากตำราเล่มหนึ่ง
ตามบันทึก ศพของอสูรร้ายในสุสานเดรัจฉานนี้เป็อสูรร้ายระดับขั้นเขตแดนเต๋าตัวหนึ่ง อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะเป็ระดับเขตแดนเต๋าที่อยู่ในแดนเซียนอู่ในอดีต แต่ระดับเขตแดนเต๋าก็เท่ากับการดำรงอยู่ของผู้แข็งแกร่งที่ทรงพลังเป็ที่หนึ่ง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแดนซิงเฉินในตอนนี้เลย
ไม่ว่าจะเป็แดนเซียนอู่ในอดีต หรือจะเป็แดนซิงเฉินในปัจจุบัน ระดับการฝึกฝนจะถูกแบ่งออกเป็สองระดับขั้นใหญ่ๆ ได้แก่ ระดับขั้นเขตแดนิญญาและระดับขั้นเขตแดนเต๋า และเขตแดนิญญาจัดแบ่งออกได้เป็ ขั้นยุทธ์เก้าระดับ ขั้นปราณเสถียร ขั้นเทียนชุ่ยสามชั้น ขั้นกุมารทิพย์ ขั้นเทพ์ ขั้นกายจุติ ขั้นทลายวิถี! ส่วนระดับขั้นเขตแดนเต๋านั้นถูกยกให้อยู่เหนือกว่าระดับขั้นเขตแดนิญญา!
ฉินอวี่มาที่นี่ก็เพื่อดูว่าเืของอสูรร้ายระดับขั้นเขตแดนเต๋ายังคงอยู่ในสุสานอสูรหรือไม่ แม้ว่าโอกาสจะน้อยนิด แต่ฉินอวี่ก็อยากจะลองเสี่ยงโชคดูสักครั้ง หากเขาได้รับมันมา มันจะช่วยให้พลังปราณของเขาเพิ่มขึ้นหลายเท่า เมื่อถึงเวลานั้นพลังของวิชาปีศาจคลั่งปริวรรตที่หนึ่งที่เรียกออกมาก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้น!
นอกจากนี้ ที่แห่งนี้ยังมีอสูรร้ายอยู่จำนวนไม่น้อย ฉินอวี่้าทะลุผ่านการเคี่ยวกรำของอสูรร้ายเพื่อสร้างความเสถียรให้กับระดับขั้นและเขตแดนพลังของตนเอง เพื่อยกระดับการฝึกฝนของตนเอง
“ไม่รู้ว่าอสูรร้ายที่ไม่รู้จักตายตัวไหนกันแน่ที่อยู่ที่นี่ หากเป็อสูรร้ายชนิดที่มีพละกำลังของปราณที่แข็งแกร่งก็ดีเลยสิ” ฉินอวี่พึมพำกับตนเอง พลางก้าวไปข้างหน้า และเข้าไปในสถานที่ที่แดนสุสานอสูร
เนื่องจากแดนสุสานอสูรแห่งนี้เป็ที่เลื่องชื่ออย่างยิ่งในแคว้นอู่ มันจึงกลายเป็สถานที่ฝึกฝนของเหล่าศิษย์สำนักจำนวนมากที่อยู่ในอาณาเขตแคว้นอู่ และบริเวณโดยรอบของสุสานอสูรแห่งนี้ ฉินอวี่ก็ได้พบกับผู้ฝึกตนในขั้นยุทธ์อยู่เป็จำนวนมาก
ในบริเวณโดยรอบนี้ อสูรร้ายต่างถูกกำจัดจนสิ้นซากไปเกือบหมดแล้ว แต่ฉินอวี่ก็ไม่ประมาท พื้นฐานระดับการฝึกฝนของเขายังไม่สูงนัก หากผลีผลามเดินเข้าไปและเกิดการเผชิญหน้ากับอสูรร้ายระดับสอง คงจะยากมากที่จะล่าถอยออกมาก
แต่สิ่งที่สร้างความประหลาดใจให้กับฉินอวี่คือ เขาแทบไม่พบเจออสูรร้ายอยู่ในบริเวณรอบสุสานอสูรแห่งนี้เลย
ในวันแรก เขาพบเจอเพียงผู้คน แต่ไม่เห็นแม้แต่เงาของอสูรร้าย
ในวันที่สาม ฉินอวี่ก็ยังไม่เห็นแม้เส้นขนของอสูรร้าย แต่รู้สึกได้ถึงการสั่นะเืของพื้นที่บริเวณนั้นอย่างคลุมเครือ ต้นไม้ใหญ่บริเวณโดยรอบต่างสั่นไหวอย่างต่อเนื่องจนใบไม้ร่วงหล่นจากต้น
เกิดอะไรขึ้น?
หรืออสูรร้ายที่อยู่โดยรอบสุสานอสูรถูกกำจัดไปหมดสิ้นแล้ว? เมื่อประสบกับเหตุการณ์เช่นนี้บรรดาผู้ฝึกตนคนอื่นๆ ต่างเกิดความสงสัยเช่นเดียวกับฉินอวี่ พวกเขาต่างงุนงงกับเหตุการณ์ที่แปลกประหลาดนี้จนทำอะไรไม่ถูกเช่นกัน
ไม่สิ!
เมื่อมองไปรอบๆ ฉินอวี่ก็จ้องไปบนพื้นที่เต็มไปด้วยรอยเท้าที่ยุ่งเหยิง จากนั้นมองดูต้นไม้ใบหญ้าที่ถูกขีดข่วน ฉินอวี่ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
กระแสอสูรหรือ?
และแล้ว เมื่อมองดูจากรอยเท้า ยังพบว่าเพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน? หรือที่นี่จะเกิดกระแสอสูรขึ้น?
ก็ไม่น่าจะถูกต้อง โดยทั่วไปแล้ว กระแสอสูรจะต้องเกิดขึ้นจากส่วนลึกออกมาบริเวณรอบนอก และจากนั้นก็จะแผ่ออกไปทั่วสารทิศ ฉินอวี่ยังไม่เคยได้ยินว่ามีกระแสอสูรที่เกิดจากรอบนอกเข้าสู่ส่วนลึกภายใน เป็เพราะยิ่งลึกเข้าไปเท่าไร อสูรร้ายที่อาศัยในนั้นก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น หากมีอสูรร้ายระดับต่ำวิ่งจากภายนอกเข้าสู่ส่วนลึกด้านใน เช่นนี้ไม่เท่ากับรนหาที่ตายหรือ?
ด้วยความสงสัย ฉินอวี่จึงก้าวไปข้างหน้าอย่างช้าๆ กวาดสายตามองสภาพแวดล้อมรอบด้านอย่างต่อเนื่อง เพื่อวิเคราะห์ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ในวันที่ห้า ฉินอวี่ได้ยินเสียงร้องคำรามอันรุนแรงของอสูรร้ายจากส่วนลึกของแดนสุสานอสูร เสียงนี้สร้างคลื่นเสียงที่ทำให้เกิดเสียงะเืไปทั้งฟ้าดิน
“เสียงเพียงเสียงเดียวสามารถสั่นะเืฟ้าดินได้เช่นนี้ อย่างน้อยจะต้องเป็อสูรร้ายระดับสอง!” ฉินอวี่กล่าวในใจ
ไม่ว่าจะในดินแดนเซียนอู่หรือจะเป็ดินแดนซิงเฉินในปัจจุบัน อสูรถูกแบ่งออกได้สองประเภท คือสามารถใช้พลังของฟ้าดินได้หรือมีพลังบางอย่างในตัวเองซึ่งจะถูกเรียกว่าอสูริญญา ตัวอย่างเช่น อสูรที่สามารถพ่นไฟได้ พ่นน้ำแข็งได้ หรือพ่นพิษได้ โดยทั่วไปแล้วจะเรียกพวกมันว่าอสูริญญา
ในทางกลับกัน อสูรที่ไม่มีพลังของฟ้าดินถูกเรียกว่าอสูรร้าย แต่ความเร็วและพลังของพวกมันทรงพลังเป็พิเศษ และมีความรุนแรงอย่างยิ่งเมื่อถูกกระตุ้นอย่างต่อเนื่อง อสูรจำพวกนี้จึงถูกเรียกว่าอสูรร้าย และยังมีอีกประเภทหนึ่งที่พบได้ไม่มากนัก ลักษณะทั่วไปของพวกมันมีขนาดใหญ่มหึมา พลังของพวกมันมีความน่ากลัวยิ่งนัก มีความเร็วที่ค่อนข้างช้า มีบางส่วนที่ค่อนข้างรวดเร็ว แต่อสูรชนิดนี้ขอเพียงไม่ได้รับการกระตุ้น พวกมันก็มักจะไม่โจมตี แต่หากถูกกระตุ้น พวกมันเรียกได้ว่าเป็เหมือนฝันร้ายของผู้ฝึกตน อสูรร้ายชนิดนี้ถูกเรียกว่าอสูรอำมหิต
ไม่ว่าจะเป็อสูริญญา อสูรร้าย หรืออสูรอำมหิต ต่างแบ่งย่อยออกเป็ประเภทละเจ็ดระดับ สอดคล้องกับผู้ฝึกตนทั้งเจ็ดอาณาเขต
เมื่อแน่ใจว่าตรงเบื้องหน้าคืออสูรร้ายระดับสอง ฉินอวี่จึงยิ่งระวังตัวมากขึ้น และเดินหน้าต่อไป
ในวันที่แปด อสูรร้ายอยู่ในป่าลึกห่างออกไปสองร้อยลี้
ฉินอวี่ประหลาดใจมากที่เห็นกลุ่มของผู้ฝึกตนรวมตัวกันอยู่ในระยะไกล ความใและเสียงกรีดร้องก็ดังมาจากด้านหน้า ฉินอวี่จึงก้าวไปข้างหน้าอย่างช้าๆ ด้วยความสงสัย
ประมาณหนึ่งชั่วยามต่อมา เมื่อฉินอวี่อยู่ห่างจากกลุ่มผู้ฝึกตนไม่ถึงร้อยจ้าง ก็เกิดเสียงดังก้องกังวานไปทั่วท้องฟ้า “ไปให้พ้น ออกไป มองอะไรกัน? ใครยังมัวแต่มุงอยู่ ข้าจะฆ่าให้หมด”
ทันใดนั้นผู้ฝึกตนที่อยู่ตรงหน้าก็แตกกระจายเหมือนผึ้งแตกรัง วิ่งออกไปทุกทิศทุกทาง ดูเหมือนว่าจะเกรงกลัวคนที่ส่งเสียงะโอย่างโกรธเกรี้ยวคนนั้นอย่างยิ่ง
ฝีเท้าของฉินอวี่หยุดชะงักเล็กน้อย เขาจ้องไปทางด้านหน้า พยายามจะมองว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ต้นไม้ใหญ่บดบังไว้ ฉินอวี่จึงมองได้ไม่ชัด เขาไม่ได้เดินต่อไป ไม่จำเป็ต้องรบกวนใครเพราะความอยากรู้
ขณะที่ฉินอวี่กำลังหันกลับ เขากลับได้ยินเสียงที่ดังขึ้นอย่างบ้าคลั่งอีกครั้ง “เฮ้ หลี่เทียนจีเ้าบอกเองไม่ใช่หรือว่ามีคนจะมาร่วมเป็สหายกับพวกเรา? ทำไมยังไม่มาอีกล่ะ? สรุปว่าคำทำนายของเ้าแม่นจริงหรือไม่?”
“ฮ่าๆ!” ฉินอวี่หัวเราะเบาๆ คนผู้นี้น่าสนใจยิ่งนัก แม่นหรือไม่แม่น? ทั้งสองคนรอคอยอยู่ตรงนี้เป็เวลานานแล้ว อีกทั้งกำลังรอคอยคนที่ไม่เคยรู้จัก... อีกทั้งยังเป็เื่จากการพยากรณ์อีก เื่นี้จึงเป็ที่ขำขันของผู้คนในทันที
แม้ว่าฉินอวี่ในอดีตจะไม่ได้มีประสบการณ์มากมาย แต่เขาก็อ่านตำราโบราณมากพอๆ กับขนวัว แม้ว่าจะมีคนแปลกพิสดารมากมายในโลกใบนี้ แต่ก็มีจำนวนเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ฉินอวี่ไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ ว่าในสถานที่ต้องห้ามเล็กๆ แห่งนี้ในแคว้นอู่จะมีคนที่มีความสามารถเช่นนี้อยู่ด้วย หากคนมีความสามารถเช่นนี้จะมุ่งหน้ามาฝึกตนถึงในนี้? ก็คิดว่าคงจะถูกผู้มีอำนาจต่างๆ จับตัวไปนานแล้ว
“ใครกัน? ใครหัวเราะอยู่ตรงนั้น!!” เสียงะโดังรุนแรงขึ้น ฉินอวี่รู้สึกถึงพื้นดินที่สั่นะเืเล็กน้อย และได้ยินเสียงคำรามดังสนั่นอย่างคลุมเครือ เขาหันศีรษะไปอย่างรวดเร็ว แต่กลับเห็นชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่ไม่สามารถบรรยายได้ รีบวิ่งออกจากต้นไม้ใหญ่
“เ้าหัวเราะอะไร!" ชายหนุ่มที่ตัวใหญ่โตดั่งเขาเล็กๆ ได้พุ่งตรงไปยังเบื้องหน้าของฉินอวี่ ใบหน้าที่ดุร้ายนั้นเต็มไปด้วยความบึ้งตึง ดวงตาคู่นั้นที่ใหญ่โตเหมือนระฆังจ้องตรงไปทางฉินอวี่
ฉินอวี่สูดอากาศที่เย็นเยือกเข้าไปทันที ชายหนุ่มคนนี้มีความสูงมากกว่าเจ็ดฉื่อ ร่างกายกำยำล่ำสัน ร่างกายที่แข็งแกร่งถูกห่อหุ้มด้วยหนังสัตว์ แขนทั้งสองของเขาหนาเท่ากับลำต้นไม้ มีเส้นลมปราณปรากฏอยู่บนแขนราวกับัชิวหลง ไหล่สูงสง่าเหมือนูเาลูกใหญ่สองลูกที่ดูเหมือนมีพละกำลังที่มหาศาล ใบหน้าหยาบกร้าน ใบหน้าดูมีมิติที่ซับซ้อน เมื่อมองแล้วเหมือนเป็คนชั่วร้ายคนหนึ่ง
เมื่อได้ยินเสียงของกล้ามเนื้อที่ขยับไปมาในร่างกายที่แข็งแรงของชายหนุ่มคนนี้ ฉินอวี่ก็ใทันที ด้วยระดับการฝึกฝนของเขาในปัจจุบัน เขาไม่แน่ใจจริงๆ ว่าจะเอาชนะคนที่แข็งแกร่งเหมือนหมีคนนี้ได้
เมื่อรู้สึกถึงความเป็ปรปักษ์จากชายหนุ่มคนนี้ จิตใจของฉินอวี่ก็ประมวลผลอย่างรวดเร็ว และเขาแอบเสียใจ เขาไม่ควรหัวเราะออกมาก่อนหน้านี้
“ข้าถามว่าเ้ากำลังหัวเราะอยู่หรือ? หัวเราะอะไร?” ชายหนุ่มร่างกำยำพูดอย่างบ้าคลั่ง เหมือนูเาไฟกำลังปะทุ ด้วยอารมณ์ที่เร่าร้อนเต็มกำลัง!
ฉินอวี่มองไปทางชายหนุ่มด้วยความประหลาดใจและพูดว่า “ข้า...” เสียงพูดหยุดกะทันหัน เมื่อฉินอวี่จ้องไปที่จี้กระดูกซึ่งห้อยอยู่ที่คอของชายหนุ่ม ฉินอวี่จึงได้สำรวจดูชายหนุ่มคนนี้อีกครั้งและกล่าวอย่างแปลกใจ “เ้า... มาจากตระกูลขวงสยงใช่หรือไม่”
ใบหน้าที่หยาบกร้านของชายหนุ่มที่เต็มไปด้วยความดุร้ายและไม่เป็มิตรเริ่มงุนงง ดวงตาของเขาจ้องมองไปที่ฉินอวี่ และพูดด้วยความเหลือเชื่อ “เ้ารู้ได้อย่างไร?”
ฉินอวี่ยิ่งใมากขึ้น จู่ๆ ก็มีคนของตระกูลขวงสยงปรากฏตัวขึ้นในดินแดนต้องห้ามเล็กๆ แห่งนี้?
เหตุผลที่ทำให้รู้ว่าชายหนุ่มคนนี้เป็คนของตระกูลขวงสยงนั้น เป็เพราะจี้ที่เขาสวมไว้บนคอ บนจี้กระดูกแกะสลักเป็รูปหมีศึกที่เหมือนจริงตัวหนึ่ง บนร่างกายของหมีศึกนั้นเต็มไปด้วยาแ ราวกับเคยผ่านศึกามานับร้อยครั้ง และเครื่องหมายนี้ เป็สิ่งที่ฉินอวี่เคยพบเห็นมาก่อนในอดีต!
เมื่อนึกถึงบันทึกในตำราโบราณ ฉินอวี่รู้สึกใเป็อย่างยิ่ง
ในสมัยโบราณ ตระกูลขวงสยงเริ่มมีชื่อเสียงมากในแดนเซียนอู่ มีข่าวลือว่าคนของตระกูลขวงสยงที่เติบโตเป็ผู้ใหญ่แล้วจะมีพละกำลังเทียบได้กับผู้แข็งแกร่งในระดับเขตแดนเต๋า อีกทั้งยังมีความกล้าหาญและเชี่ยวชาญการต่อสู้ พวกเขาเกิดมาพร้อมความเป็ผู้แข็งแกร่ง และการเป็เทพแห่งา
แม้ว่าตระกูลขวงสยงจะไม่มีใครเทียบได้ แต่น่าจะมีการกำเนิดลูกหลานจำนวนน้อยมาก ใน่เวลาที่รุ่งเรืองสูงสุดของตระกูลขวงสยงนั้นก็ยังมีจำนวนไม่ถึงหนึ่งร้อยคน ยิ่งไปกว่านั้น อายุของตระกูลขวงสยงนั้นก็แตกต่างจากคนทั่วไป ซึ่งเื่นี้ฉินอวี่เองก็ไม่แน่ใจมากนัก
กล่าวคือ คนในตระกูลขวงสยงที่อยู่ตรงหน้ายังไม่บรรลุวัยเป็ผู้ใหญ่ เมื่อนึกถึงคำพูดในตำราโบราณ กล้ามเนื้อบนใบหน้าของฉินอวี่ก็แข็งทื่อ ก่อนที่ตระกูลขวงสยงจะถือกำเนิดขึ้น สติปัญญาของเขาจะไม่มีอารยธรรมอย่างสมบูรณ์ และจะมีความหงุดหงิดและฉุนเฉียว!
“ฮ่าๆ หลี่เทียนจีเ้ารีบมาดูนี่สิ เ้าบอกว่านอกจากเ้าแล้วไม่มีใครรู้จักตระกูลขวงสยงมิใช่หรือ ฮ่าๆ... ตอนนี้มีแล้วไงล่ะ ใช่แล้ว พี่ใหญ่ ท่านมีนามว่าอะไร? ข้าชื่อสยงท่าเทียน!” ชายหนุ่มพูดขึ้นเสียงดังด้วยความดีใจ ราวกับว่าได้พบกับผู้มีวิจารณญาณอันดีเยี่ยม
พี่ใหญ่หรือ?
สีหน้าของฉินอวี่ก็เคร่งขรึมขึ้นมาทันที