ตอนที่สวี่จือเพิ่งจะดูแลเช็ดเท้าให้สวี่เหราจนแห้ง ชิงเหมี่ยวก็เดินเข้ามาพร้อมรายงานว่า “เรียนคุณชายสาม ฮูหยินสามเ้าค่ะ ป้าจู้จากเรือนอนุจู้มาขอเข้าพบเ้าค่ะ”
สวี่เหราเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ “ดึกดื่นป่านนี้แล้ว นางมาทำอันใด?”
จางจ้าวฉือถามกลับ “นางมาด้วยตนเองหรือว่าพาใครมาด้วย?”
ชิงเหมี่ยวตอบ “ยังพาปี้เหอเมื่อกลางวันมาด้วยเ้าค่ะ”
ปี้เหอก็คือสาวใช้ที่อนุจู้ส่งมารอที่เรือนเมื่อตอนกลางวันนั่นเอง จางจ้าวฉือได้ยินก็รู้แล้วว่าเื่มันเป็มาอย่างไร ก่อนจะกล่าว “เ้าไปบอกแก่นาง ว่าคุณชายสามเข้านอนไปแล้ว มีเื่อันใดค่อยว่ากันพรุ่งนี้”
สวี่เหราได้ยินก็รู้แล้วว่าตอนกลางวันต้องเกิดเื่ขึ้นเป็แน่ แม้แต่สวี่ตี้เองก็วางพู่กันในมือลง มองไปทางจางจ้าวฉือด้วยท่าทางจริงจัง
จางจ้าวฉือกล่าวต่อ “เมื่อบ่ายตอนที่ข้ากลับมาจากเรือนของฮูหยินผู้เฒ่า ในเรือนก็มีสาวใช้คนหนึ่งรอข้าอยู่แล้ว นางบอกข้าว่าทางอนุจู้ส่งนางมาให้ดูแลคุณชายสาม ให้ตามพวกเราไปที่เขตเหอซีด้วย ข้าก็บอกว่าพวกเราเดินทางไกลขนาดนั้น มีน้ำใจอยากจะกตัญญูต่อคนแก่ในเรือน จึงให้นางกลับไปดูแลอนุจู้ แล้วจึงไล่ให้กลับไปทั้งอย่างนั้น”
สวี่ตี้กล่าวพร้อมหัวเราะ “ไอ๊หยา ส่งมาปรนนิบัติพัดวีหรือขอรับ”
สวี่เหราถลึงตาใส่สวี่ตี้ไปหนึ่งที “พูดจาเลอะเทอะอันใด แต่ตอนนี้ยังพากลับมาอีกทำไม ยังมิยอมตัดใจอีกหรือ?”
จางจ้าวฉือตอบ “ผู้ใดจะไปรู้เล่า รีบนอนกันเถิด พรุ่งนี้ยังต้องไปซื้อของอีกมาก พวกเราเดินทางกันไกลพันลี้ จะต้องเตรียมตัวให้ครบถ้วน”
สวี่เหรากล่าวพูด “ระหว่างทางก็มีที่พักม้ามิใช่หรือ ถึงตอนนั้นไปพักที่นั่นก็ได้”
จางจ้าวฉือเอ่ยตอบ “บุรุษอย่างพวกเ้ามีหรือที่จะรู้เื่พวกนี้ พอพูดว่าพวกเราจะออกเดินทาง เ้ากับสวี่ตี้ก็ต่างสะบัดไหล่แล้วมาเร่งให้ข้าออกเดินทาง ของใช้ระหว่างทางพวกเ้าไม่เคยใส่ใจ ตอนที่กระหายน้ำหิวข้าวกลับมาถามหาจากข้า หากข้าไม่เตรียมเอาไว้ให้พร้อม ตอนที่อยากจะใช้มิต้องคว้าความว่างเปล่ามาให้หรอกหรือ?”
ขณะที่จางจ้าวฉือกำลังบ่นอยู่นั้น ชิงเหมี่ยวก็เข้ามาอีกครั้ง สวี่ตี้เห็นแล้วก็หัวเราะพร้อมถามว่า “พี่ชิงเหมี่ยว เขาไม่ยอมไปใช่หรือไม่?”
ชิงเหมี่ยวถอนหายใจ “ฮูหยินสามเ้าคะ ป้าจู้บอกว่า หากวันนี้ท่านกับคุณชายสามไม่ไปพบนาง นางจะคุกเข่าอยู่หน้าเรือนทั้งคืนเ้าค่ะ บอกว่านางทำตามคำสั่งอนุจู้ไม่สำเร็จ กลับไปก็ไม่มีหน้าไปพบเ้าค่ะ”
จางจ้าวฉือพูดด้วยความประหลาดใจ “อันใดกัน อนุจู้ผู้นี้เป็คนบน์หรืออย่างไร ลูกน้องทำตามคำสั่งไม่สำเร็จถึงกับต้องมาคุกเข่าหน้าเรือนของผู้อื่นทั้งคืน แล้วนี่คุกเข่าให้ผู้ใดดูกัน? ข้ากับคุณชายสามเป็นายของเรือนนี้ นางเป็เพียงบ่าวของอนุแก่ๆ ผู้หนึ่ง ผู้ใดให้อำนาจนางมากขนาดนั้น อ่อ แล้วมาข่มขู่ข้าถึงที่นี่เลยหรือ ข้าจะไปดูป้าคนนี้เสียหน่อย”
จางจ้าวฉือถลกแขนเสื้อเดินออกไปด้านนอก สวี่เหรารีบสวมรองเท้าในเรือนเพื่อรีบตามไป แม้แต่สวี่ตี้เองก็รีบลงจากตั่งแล้วสวมรองเท้า แน่นอนว่าสวี่จือเองก็ต้องตามมารดาของตนเองไปเช่นกัน แต่ว่านางกลับรู้สึกว่าบนใบหน้าของบิดาและพี่ชายตนเองนั้น มีท่าทางอยากดูเื่สนุกมากกว่าจะกังวลนะ
ห้องหลักมีขั้นบันไดสองขั้น ตรงคานห้องแขวนโคมไฟแดงเอาไว้สองโคม จางจ้าวฉือเดินออกมาจากห้องก็เห็นหญิงชราคนหนึ่งยืนอยู่หน้าเรือน ด้านหลังของป้ายังมีสาวใช้สวมชุดสีเงินแดงเมื่อกลางวันที่ชื่อว่าปี้เหอยืนอยู่ด้วย
เมื่อเห็นจางจ้าวฉือเดินออกมาจากห้อง หญิงชราก็โค้งคำนับก่อนจะเอ่ย “ฮูหยินสามเ้าคะ ข้าได้รับคำสั่งจากอนุจู้ให้พาคนมาส่งที่นี่เ้าค่ะ”
จางจ้าวฉือหัวเราะก่อนจะกล่าว “อนุจู้ก็เกรงใจเกินไปแล้ว ปี้เหอคนนี้ได้รับคำสั่งจากข้าให้ไปดูแลอนุจู้ เหตุใดถึงได้ส่งกลับมาให้ข้าอีกเล่า? สาวใช้ผู้นี้ดูแลคนไม่เป็ใช่หรือไม่ ดูแลคนไม่เป็ก็มิเป็ไร พรุ่งนี้ข้าจะไปหาผู้ดูแลจวน ให้ส่งนางไปฝึกที่บ้านสวน จากนั้นค่อยส่งกลับไปเรียนรู้กฎ เรียนรู้ได้ความเมื่อใดพวกเราค่อยส่งนางไปดูแลอนุจู้อีกครั้ง เ้าเห็นว่าอย่างไร?”
คนในจวนต่างรู้ว่าฮูหยินสามผู้นี้เป็คนที่ไม่สุงสิงกับผู้ใด ในเมื่อพูดออกมาแล้ว เช่นนั้นก็จะต้องทำตามคำที่พูด
ปี้เหอได้ยินคำพูดของจางจ้าวฉือ ก็มองป้าจู้ด้วยสีหน้าตื่นตระหนก นางรู้ว่าถึงแม้จะเป็สาวใช้ในจวน แต่การกินอยู่ก็นับว่าสบายดีทุกอย่าง เื่งานก็แค่งานดูแลคนเท่านั้น แต่ถ้าหากถูกส่งไปที่บ้านสวน เช่นนั้นก็ต้องไปทำงานกลางดินกินกลางทราย แล้วคนอย่างนาง ไปทำแค่ไม่กี่วันก็คงจะไม่สามารถไปเจอหน้าผู้คนได้แล้ว คงไม่มีผิวสวยๆ หากเป็เช่นนั้นจะต้องตาเ้านายได้อย่างไร?
ป้าจู้กล่าว “ในเมื่อฮูหยินสาม้าจะส่งคนให้กับอนุ เช่นนั้นข้าก็คงต้องพาคนกลับไปเ้าค่ะ”
หลังจากป้าจู้กับปี้เหอทำความเคารพเสร็จก็เดินออกจากเรือนไป จางจ้าวฉือร้องเหอะก่อนจะเอ่ยตามหลัง “อยู่ดีๆ ไม่ชอบ ชอบมาทำให้มีเื่”
ร่างของป้าจู้ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะก้าวเดินต่อไป
สวี่ตี้พอเห็นป้าจู้พาคนกลับไปแล้วก็เอ่ยขึ้นด้วยความใ “ไอ๊หยา ไปแล้วหรือ? ข้ายังคิดว่าจะได้ดูฉากสนุกเสียอีก”
จางจ้าวฉือเคาะหัวของสวี่ตี้ไปหนึ่งที ก่อนจะกล่าว “เ้าอยากดูแม่มีเื่อย่างนั้นหรือ? อกตัญญูเสียจริงเ้าลูกคนนี้”
สวี่จือเห็นพี่ชายถูกต่อว่า ก็รีบดึงมือพี่ชายเอาไว้ “ท่านแม่เ้าคะ ต่อไปพี่ชายจะกตัญญูกับท่านแม่แน่นอนเ้าค่ะ”
จางจ้าวฉือได้ยินก็หัวเราะแล้วอุ้มสวี่จือขึ้นมา “ยังเป็จือเอ๋อร์ของพวกเราที่เป็เด็กดี ทั้งรู้เื่ทั้งเชื่อฟัง มา แม่ยังซ่อนไข่มุกเอาไว้หนึ่งกล่อง แม่จะนำออกมาให้เ้า ต่อไปพวกเราจะมาร้อยไข่มุกเล่นกันดีหรือไม่?”
สวี่เหรามองสวี่ตี้ที่กุมหน้าผากตัวเองเอาไว้ ก่อนจะกล่าว “พ่อพบว่าแม่เ้า หลังจากมีประสบการณ์ออกไปต่อสู้ด้วยตนเอง พลังการต่อสู้ก็เพิ่มขึ้นมากเลยทีเดียว ต่อไปพวกเราสองคนจะต้องระวังหน่อย จะได้ไม่ถูกแม่ของเ้าฉีกทึ้ง”
สวี่ตี้พยักหน้า “ท่านพ่อ ข้ารู้แล้วขอรับ เป็ข้าเองที่ปากเสีย ต่อไปจะไม่เป็เช่นนี้อีก ไอ๊หยา แรงมือของท่านแม่แรงกว่าแต่ก่อนอีกนะขอรับ ท่านพ่อ ท่านเห็นว่ามันแดงหรือไม่?”
สวี่เหรามองสำรวจก่อนจะตอบ “แดงนิดหน่อยจริงๆ ด้วย พ่อจะทายาให้ลูกก็แล้วกัน”
สวี่ตี้เอ่ยขัด “อย่าเลยขอรับ หากข้าทายา ท่านแม่จะต้องหัวเราะเยาะข้าแน่”
บุรุษทั้งสองพูดคุยกันระหว่างเดินเข้าห้อง ก่อนจะเห็นจางจ้าวฉือนำกล่องกำมะหยี่สีแดงออกมา กล่องด้านในใส่ไข่มุกเม็ดกลมเอาไว้ แต่ละเม็ดล้วนกลมสวย เป็ขนาดมาตราฐานปกติ เมื่อหยิบขึ้นมาส่องกับไฟก็จะเห็นว่าไข่มุกส่องแสงสีอบอุ่นออกมา คาดว่าราคาคงแพงไม่น้อยเลยทีเดียว
จางจ้าวฉือเอาออกมาให้สวี่จือเล่น ซึ่งสวี่จือก็กอดกล่องกำมะหยี่เอาไว้แน่น มองไข่มุกด้านในพวกนั้น ถึงแม้ราคาของไข่มุกจะสู้ราคาทองคำมิได้ ทว่าการจะรวบรวมไข่มุกเม็ดกลมเอาไว้กล่องใหญ่ขนาดนี้ได้นั้นไม่ง่ายเลยจริงๆ ดังนั้นถ้าหากนำไข่มุกในกล่องนี้ไปทำเครื่องประดับราคาจะต้องสูงมากเป็แน่
จางจ้าวฉือส่งไข่มุกให้สวี่จือเล่น ส่วนตนเองก็หยิบหีบไม้ขนาดใหญ่สลักลายดอกไม้ออกมาจากใต้เตียง
สวี่เหราเห็นแล้วก็พูดพลางหัวเราะ “ไอ๊หยา เ้าเตรียมจะจัดการสินเดิมของตัวเองหรือ?”
จางจ้าวฉือเอ่ยตอบ “จัดการมันเสียหน่อย ดูว่าอันใดเหมาะสมก็เอาออกมาใช้ ไม่เหมาะก็นำออกไปขาย หรือจะเก็บเอาไว้ให้จือเอ๋อร์ของพวกเรา หากยังไม่ดีพอก็หลอมมันขึ้นมาใหม่”
สวี่ตี้เอ่ยขัดผู้เป็มารดา “หลอมแล้วตีขึ้นมาใหม่ไม่คุ้มหรอกขอรับ ซื้อใหม่เลยจะเหมาะกว่า”
หลังจากจางจ้าวฉือเปิดหีบออกมา ด้านในมีกล่องไม้วางเอาไว้มากมาย นางทยอยนำออกมาวางเอาไว้บนเตียง แล้วค่อยๆ เปิดทีละกล่อง สวี่จือรู้สึกว่าตาของตนลายไปหมดแล้ว
เครื่องประดับทองแต่ละกล่องถูกนำออกมาวาง ยังมีกล่องเพชรที่ยังไม่ได้ทำการเจียระไนเป็เครื่องประดับอีกหลายกล่อง ทั้งเพชรสีแดง เพชรสีฟ้า จนถึงขั้นมีหยกน้ำงามอีกมากมาย
สวี่จือเห็นของพวกนี้แล้วก็เกิดความสงสัยในใจยิ่งกว่าเดิม ในตอนนั้นของของมารดาถูกผู้ใดเอาไปกันแน่? ดูจากท่าทางของพี่สวี่ตี้แล้ว ชัดเจนเลยว่าเขาทราบว่ามีของพวกนี้ แต่ว่าสองพี่น้องอยู่ในจวนใช้ชีวิตยากจนมาโดยตลอด ตอนที่ตนเองถูกจับส่งไปที่หลิงหนาน สวี่ตี้ก็มาส่งนาง เขามอบเงินให้นางเพียงแค่ไม่กี่อีแปะเท่านั้น อีกทั้งเสื้อผ้าอาภรณ์ที่สวี่ตี้ใส่ก็ไม่ได้มีมากมาย มองดูก็รู้แล้วว่าเป็คนที่ไม่มีเงิน
จางจ้าวฉือกล่าวกับสวี่จือ “ต่อไปของพวกนี้จะเก็บไว้เป็สินเดิมตอนที่จือเอ๋อร์ของพวกเราแต่งงานดีหรือไม่?”
สวี่จือรีบกล่าว “ให้ท่านพี่เ้าค่ะ”
จางจ้าวฉือหัวเราะก่อนจะเอ่ยขึ้น “พี่ชายของเ้าเป็บุรุษ ต่อไปจะต้องหาเงินเลี้ยงครอบครัวเอง ของของแม่ล้วนจะต้องเก็บเอาไว้เป็สินเดิมให้กับจือเอ๋อร์ หลังจากแต่งเข้าเรือนของแม่สามีแล้ว ครอบครัวของสามีจะได้ไม่กล้าดูถูกลูก หากใครกล้ารังแก ลูกก็เอาเงินทุ่มใส่ ทำให้พวกเขาไม่กล้าดูถูกเ้าอีก”
สวี่ตี้มองสวี่จือที่จ้องจางจ้าวฉือด้วยดวงตาแพรวพราวระยิบระยับ เขาพูดออกมาด้วยความกังวล “ท่านแม่ พวกเราสอนจือเอ๋อร์เช่นนี้มิถูกต้องนะขอรับ?”
จางจ้าวฉือเอ่ย “เด็กผู้หญิงจะต้องถูกเลี้ยงอย่างคนรวย พวกเราก็ไม่ได้ขาดแคลนเงิน ก็ควรเอาออกมาให้จือเอ๋อร์ของพวกเราใช้ ต่อไปจะได้ไม่มีคนเข้ามาประจบหรือมาเกี้ยวจือเอ๋อร์ของพวกเราไป”
สวี่เหราลูบคาง “พูดเช่นนี้ ข้ารู้สึกว่าพวกเราไปที่เขตเหอซีในครั้งนี้จะต้องขอให้ฮูหยินผู้เฒ่าช่วยหาแม่นมมาให้สักคนแล้ว”
จางจ้าวฉือถาม “เหตุใดจะต้องขอให้ฮูหยินผู้เฒ่าช่วยหาป้าแม่นมให้สักคนด้วยเล่า? พวกเราหาเองมิได้หรือ?”
สวี่เหราเอ่ยตอบ “ฮูหยินผู้เฒ่าฐานะสูงส่ง ตอนนั้นรู้จักมักคุ้นกันดีกับไทเฮาในวังหลวง พวกเราขอให้ฮูหยินผู้เฒ่าช่วยหาแม่นมที่ออกจากวังสักคน เพื่อตามพวกเราไปเลี้ยงดูสั่งสอนจือเอ๋อร์ เลี้ยงดูลูกสาวอย่างร่ำรวยมิใช่เพียงแค่ให้เงินใช้เท่านั้น ในมือมีเงินแล้ว กลับมิสู้ได้รับการสั่งสอนมาอย่างดี หากตนเองได้รับการสั่งสอนที่ดีแล้ว เช่นนั้นก็จะเป็ความมั่นใจของตนเองด้วย สั่งสอนไปแล้ว ต่อไปยังต้องกังวลว่าลูกจะถูกคนรังแกอีกหรือ?”
จางจ้าวฉือเอ่ย “มีเหตุผล จือเอ๋อร์ของพวกเราหากเรียนรู้ได้ดี มีความสามารถดีๆ ต่อไปเื่นั้นปัญหานี้ก็จะเป็แค่เื่เล็กน้อยเพียงหยิบมือมิใช่หรือ? ในเมื่อเป็เช่นนั้น พรุ่งนี้ข้าจะไปขอฮูหยินผู้เฒ่า แต่พวกเรารีบเดินทางกันขนาดนี้ มิรู้ว่าจะหาคนได้หรือไม่”
สวี่เหราเอ่ย “ไม่จำเป็ต้องเป็ตอนนี้ พวกเราไปแล้ว รอจนเลือกคนได้ ค่อยขอให้ส่งตามมาที่เขตเหอซีก็ย่อมได้”
ตลอดทั้งคืนก็มิได้พูดคุยกันอีก เช้าวันต่อมาจางจ้าวฉือเดินทางไปที่เรือนของฮูหยินผู้เฒ่า
หลังจากที่จางจ้าวฉืออธิบายความคิดของตนออกมาจนเข้าใจกันแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าก็เงียบไปนาน ก่อนจะเอ่ย “ในเมื่อเ้ามาขอข้าถึงที่แล้ว ข้าก็ต้องพยายามทำตามความ้าของเ้าให้ได้ ไหนๆ เ้าก็มาได้จังหวะพอดี ข้ามีคนรู้จักมานานอยู่ผู้หนึ่ง ครานั้นเคยดูแลองค์ไทเฮาอยู่ในวัง เื่กฎระเบียบมิต้องพูดถึง หลังจากอายุถึงวัยก็แต่งงานออกจากวังไป น่าเสียดายที่โชคไม่ดี ลูกยังไม่ทันได้มี สามีก็มาด่วนตายจากไป หลายปีมานี้นางเป็แม่นมคอยสั่งสอนบุตรผู้อื่นมาตลอด แต่ก่อนข้าอยากจะเชิญมาสั่งสอนบุตรสาวในเรือน ให้เรียนรู้กฎระเบียบกับนาง ในเมื่อเ้าเอ่ยปากออกมาแล้ว ข้าก็จะเชิญนางมาให้เ้า เ้าไปพูดคุยกับนางเสีย จะสำเร็จหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับพวกเ้าแล้ว เ้าเห็นว่าอย่างไร?”
จางจ้าวฉือแน่นอนว่าหลังพูดธุระของตนสำเร็จแล้ว คนที่ได้รับการอนุญาตจากฮูหยินผู้เฒ่า คนผู้นั้นจะต้องไม่เลวแน่นอน หลังจากกล่าวขอบคุณเสร็จ จางจ้าวฉือจึงกลับไปที่เรือนของตนเอง ปรากฏว่าในบ่ายวันนั้นอาหารยังมิทันได้ทาน ทางฮูหยินผู้เฒ่าก็ให้คนมาเชิญฮูหยินสามและบอกกล่าวกับนางว่าคนผู้นั้นเดินทางมาถึงแล้ว
ปกติแล้วฮูหยินผู้เฒ่าไม่ค่อยจะรับแขกเท่าไหร่นัก แม้แต่โหวฮูหยิน ซื่อจื่อฮูหยินก็มิค่อยจะมาเยือนเท่าใดนัก ฮูหยินผู้เฒ่าอายุมากแล้ว ชอบอยู่อย่างสงบ ทว่าหลายวันมานี้ฮูหยินสามกลับเดินทางไปมาหาสู่อยู่บ่อยครั้ง ทำให้คนในจวนพวกนั้นอดที่จะคิดมากไม่ได้
ตอนที่จางจ้าวฉือพาสวี่จือไปพบฮูหยินผู้เฒ่าที่เรือน ฮูหยินผู้เฒ่ากำลังต้อนรับหญิงชราอายุห้าสิบกว่าปีผู้หนึ่งในห้องพักผ่อน หญิงชราแต่งตัวด้วยชุดผ้าไหมสีเขียว ผมมัดรวบเอาไว้ด้านหลัง ดูแล้วเป็คนที่สะอาดและเป็ระเบียบ
ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวแนะนำพลางยิ้ม “นี่คือฮูหยินสามของพวกเรา ส่วนนี้่คือแม่นมลู่”
จางจ้าวฉือทำความเคารพแม่นมลู่อย่างตั้งใจ ซึ่งคนถูกทำความเคารพก็ลุกขึ้นยืน ก่อนจะกล่าว “มิต้องทำความเคารพข้าหรอก นี่คือคุณหนูเก้าของพวกเราใช่หรือไม่”
สวี่จือมองแม่นมลู่ จำได้ว่าตอนนั้นคุณหนูหลายคนในเรือนต่างถูกแม่นมลู่สั่งสอน คุณหนูในจวน ลูกสาวคนโตของซื่อจื่อนามว่าสวี่เกาเพราะมีแม่นมลู่คอยสั่งสอน มิว่าจะเป็งานจัดดอกไม้หรือแต่งกลอน เื่กฎระเบียบและมารยาทล้วนมิมีที่ติเลย จึงได้รับความชื่นชอบจากฮูหยินชนชั้นสูงในเมืองหลวงเป็อย่างมาก ต่อมาได้แต่งงานกับครอบครัวที่ดีมากครอบครัวหนึ่ง ถือว่าเป็การแต่งงานเข้าตระกูลที่สูงส่งกว่า แน่นอนว่าหากความสามารถของตนเองไม่ได้ดีพอ สวี่เกาก็คือคุณหนูใหญ่จากจวนที่ตกต่ำ หากอยากจะแต่งงานกับสกุลใหญ่นั้นไม่ง่ายเลย
สวี่จือเข้าใจ นี่เป็เพราะมารดาของตนเอง ฮูหยินผู้เฒ่าถึงได้มอบแม่นมที่เคยสั่งสอนคุณหนูในจวนมาให้ตนเอง ดังนั้นตอนที่ทำความเคารพฮูหยินผู้เฒ่า สวี่จือจึงให้เกียรติมากจริงๆ ยามทำความเคารพแม่นมลู่ นางเองก็เช่นกัน พยายามพาร่างกายเล็กๆ ของตนทำความเคารพให้ดีที่สุด
ระเบียบมารยาทของสวี่จือไม่ค่อยจะดีมากสักเท่าไหร่ ตอนนั้นที่แม่นมลู่มาสอนคุณหนูในเรือน ร่างกายของฮูหยินผู้เฒ่าไม่ดีแล้ว ส่วนมากจะนอนอยู่บนเตียง คนอื่นไม่ค่อยจะสนใจนางสักเท่าไหร่ ถึงแม้ตัวนางจะอยากไปไหนก็ไปไม่ได้ อีกอย่างแม่นมลู่มีคนเดียว ยิ่งมีคนมาเรียนมากเท่าไหร่แม่นมลู่ก็จะต้องแบ่งความสนใจให้ผู้อื่นเพิ่มเท่านั้น สิ่งที่บุตรของตนเองจะได้เรียนรู้ก็จะน้อยลง ดังนั้น การที่สวี่จือไม่ได้เข้าเรียน คนทั้งเรือนก็ย่อมดีใจเป็ธรรมดา
จางจ้าวฉือเอ่ย “แม่นมลู่เ้าคะ ครอบครัวของพวกเราจะเดินทางไปที่เขตเหอซี มิอาจทราบได้ว่าจะอยู่ที่นั่นกี่ปี หากท่านตามไปด้วย ข้าจะดูแลท่านให้ดีที่สุดเ้าค่ะ”
จางจ้าวฉือพูดออกมาตรงๆ กลับทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าและแม่นมลู่หัวเราะออกมา แม่นมลู่หัวเราะเสร็จก็กล่าวกับนางว่า “ตัวข้าน่ะมิมีบุตร อยากจะหาครอบครัวดีๆ ตั้งใจสั่งสอนเด็กจนได้ดีสักคนสองคน ต่อไปสามารถดูแลข้าตอนแก่ได้ ยามมีเทศกาลก็มาคำนับข้าก็พอ ข้าตามพวกเ้าไปที่เขตเหอซีก็ไม่เป็ไร แต่ว่าพวกเ้าจะต้องรับปากเงื่อนไขของข้าตามที่กล่าวไว้เมื่อครู่ ไม่เช่นนั้น ข้าคงไม่สามารถไปกับพวกเ้าได้จริงๆ ”