มู่หรงฉือรีบปฏิเสธทันที “เสด็จพ่อร่างกายยังไม่แข็งแรงดี ท่านหมอเทวดาก็กำชับเอาไว้แล้ว เสด็จพ่อจะต้องพักฟื้นอย่างสงบ กุ้ยเฟยให้เสด็จพ่อไปงานเลี้ยง ทานอาหารมั่วซั่ว หากอาการป่วยของเสด็จพ่อ...ย้อนกลับมาอีก เช่นนั้นจะดีได้อย่างไร? ท่านรับผิดชอบไหวหรือไม่?”
หากข้าหลวงที่ไม่ฉลาดหรือเกิดมีเสนาบดีปากพล่อยเล่าเื่ที่เกิดขึ้นใน่นี้ออกมาให้เสด็จพ่อรู้ หากพระองค์รู้แล้วเช่นนั้นจะดีได้อย่างไร?
เซียวกุ้ยเฟยป้อนอาหารให้ฮ่องเต้เสวยอย่างอ่อนโยน พูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อนอย่างไม่เร็วไม่ช้า “องค์รัชทายาทกังวลเื่นี้ก็นับว่าเป็เื่ปกติ เพียงแต่ฝ่าากักตัวอยู่ในห้องบรรทมมาหลายวันแล้ว อึดอัดนานเข้าก็ไม่ดีกับสภาพจิตใจนัก ควรจะไปเดินเล่นด้านนอกบ้าง เช่นนั้นก็น่าจะดีกับสุขภาพของฝ่าามากกว่า อีกอย่าง หลายวันที่ฝ่าาพักฟื้นตัว มีเสนาบดีมากมายขอเข้าเฝ้า อวี้หวางก็ใช้เหตุผลว่าฝ่าาพักรักษาตัวอยู่ปฏิเสธไป ทำให้เกิดการคาดเดาไปต่างๆ นานาในราชสำนัก” นางคลี่ยิ้มสดใส “ฝ่าาเพคะ การจัดงานเลี้ยงในครั้งนี้สามารถให้เสนาบดีเ่าั้ได้เห็นว่าพระองค์แข็งแรงขึ้นทุกวัน การคาดเดาเ่าั้ก็ย่อมสลายหายไปเอง”
มู่หรงเฉิงยิ้มอ่อน “เจิ้นอยู่ในห้องนอนมาหลายวัน กระดูกอ่อนไปหมดแล้ว ควรจะออกไปด้านนอกเสียหน่อยจริงๆ”
ปิ่นเฟิ่งหวงบนเส้นผมสีดำเงางามของเซียวกุ้ยเฟยขยับเล็กน้อย พู่สีทองขยับไปมา ส่องไปยังใบหน้าที่ยิ่งขาวซีดของมู่หรงเฉิง “หากฝ่าารู้สึกไม่สบายที่งานเลี้ยง หม่อมฉันจะรีบพาฝ่าากลับมาพักผ่อน อีกอย่าง หม่อมฉันจะระมัดระวังให้มาก อาหารที่ฝ่าาเสวยไม่ได้จะไม่ปรากฏที่โต๊ะแน่นอนเพคะ”
มู่หรงฉือเห็นเสด็จพ่อดูสนใจ จึงไม่ได้ต่อต้านอีก
บางทีหากเอาแต่หมกตัวอยู่ในห้องบรรทม เสด็จพ่อคงจะอึดอัดจนทนไม่ไหว ไม่ดีต่ออาการป่วย
นางจึงทูลลา ครั้นเดินมาถึงบันไดหยกหน้าตำหนักก็ได้ยินเสียงฝีเท้ารีบร้อนเดินมาจากด้านหลัง ก่อนจะตามมาด้วยเสียงเย็นของเซียวกุ้ยเฟย “องค์รัชทายาทโปรดหยุดก่อน”
มู่หรงฉือหยุดฝีเท้าลง หมุนตัวไปพูดเสียงเย็น “กุ้ยเฟยมีเื่ใดหรือ?”
“เห็นว่าอากาศร้อนยิ่งนัก หากจะเก็บศพจ้าวผินเอาไว้หลายวันก็คงไม่ดี หากศาลต้าหลี่ไม่สามารถไขคดีได้ไปตลอดเช่นนี้ ก็ไม่สามารถจัดพิธีฝังศพให้จ้าวผินนอนได้อย่างสงบอย่างนั้นหรือ?” เซียวกุ้ยเฟยมองไปยังองค์รัชทายาทที่อยู่ตรงหน้า ทำท่าทางราวกับว่าตนเป็ผู้ควบคุมวังหลัง “การตายของจ้าวผินไม่ว่าจะเป็การฆ่าตัวตายหรือว่าถูกสังหาร เปิ่นกงคิดว่าควรรีบทำพิธีศพให้ไวที่สุดจะดีกว่า”
“เช่นนั้นมิสู้ทำพิธีที่วังหลังเสียเลย กุ้ยเฟยคิดเห็นอย่างไร?” มู่หรงฉือกล่าว
เซียวกุ้ยเฟยคิดไม่ถึงว่าองค์รัชทายาทจะคุยง่ายเช่นนี้ นางตะลึงไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดออกมา “เช่นนั้นเปิ่นกงจะสั่งการลงไป”
ครั้นออกจากตำหนักชิงหยวน ฉินรั่วก็ถาม “เหตุใดเตี้ยนเซี่ยถึงรับคำที่จะให้กุ้ยเฟยจัดพิธีศพจ้าวผินหรือเพคะ?”
มู่หรงฉือพูดยิ้มๆ “ศพของจ้าวผินที่ควรจะตรวจสอบก็ตรวจไปแล้ว ถึงจะฝังไปแล้วก็สามารถขุดขึ้นมาตรวจสอบใหม่ได้ เสิ่นจือเหยียนชอบขุดหลุมนักมิใช่หรือ?”
ฉินรั่วหัวเราะพรืด “ไม่รู้ว่าใต้เท้าเสิ่นได้ยินคำพูดนี้ของเตี้ยนเซี่ยเข้า จะรู้สึกอย่างไรนะเพคะ”
...
หลังจากกำหนดวันจัดงานเลี้ยงเรียบร้อยแล้ว เซียวกุ้ยเฟยก็จัดการงานอย่างรวดเร็ว
องค์หญิงจาวฮวามีพระนามว่ามู่หรงฉาง เป็บุตรที่เกิดจากเฉียวเฟย อายุน้อยกว่ามู่หรงฉือหนึ่งปี เป็ที่รักใคร่ของเสด็จพ่อ ถูกตามใจจนกลายเป็คนเอาแต่ใจ
ั้แ่เด็กนางก็ชอบแอบออกไปนอกวัง ถูกสั่งสอนไปเท่าไหร่ก็ไม่จำ เมื่อครึ่งปีก่อนนางพาหยวนซิ่วนางกำนัลข้างกายออกจากวังไปเที่ยวเล่น แล้วออกไปจากเมืองหลวง เฉียวเฟยกับมู่หรงเฉิงส่งคนไปตามหาหลายครั้งก็หานางไม่พบ
ก่อนหน้านี้มู่หรงเฉิงป่วยหนัก เฉียวเฟยได้ส่งคนไปตามหา แต่ก็หานางไม่พบ เฉียวเฟยทั้งร้อนใจทั้งโกรธ
นางกลับวังมาในครั้งนี้ เฉียวเฟยจึงสั่งสอนนางไปอย่างหนักหนหนึ่ง ก่อนจะสั่งให้นางมายอมรับผิดกับเสด็จพ่อ จากนั้นก็ให้นางไปหันหน้าเข้าหากำแพงเพื่อทบทวนความผิดห้าวัน ห้ามออกจากห้องบรรทมแม้แต่ครึ่งก้าว
เพียงไม่นานวันจัดงานเลี้ยงก็มาถึง ยังไม่ทันถึงยามโหย่ว ขุนนางขั้นสามขึ้นไปก็พาบุตรสาวเข้าวัง มารอเข้าตำหนักเหวินฮวาไปพร้อมๆ กับเหล่าเฟยผิน
งานเลี้ยงเต็มไปด้วยความหรูหราโอ่อ่า ด้านในตำหนักใหญ่ตอนนี้มีผู้คนสวมผ้าแพรหรู พรมน้ำหอมเกล้าผม ทั้งตำหนักมีเสียงพูดคุยหัวเราะกันอย่างสุขสันต์
ภายในตำหนักวางูเาเซียนเผิงหลายแกะสลักจากน้ำแข็ง นางกำนัลแปดคนคอยถือพัดขนาดใหญ่คอยพัดโบก น้ำแข็งละลาย ลมที่พัดออกมาก็แฝงความเย็นไว้น้อยๆ แม้จะมีคนจำนวนมากอยู่ในตำหนักก็ไม่ถึงกับร้อนมากนัก
เฉียวเฟยพูดคุยกับสตรีมากมาย พูดคุยไปยิ้มไป ทุกคนต่างพากันชื่นชมความงามขององค์หญิงจาวฮวา บอกว่าองค์หญิงจาวฮวางามเป็อันดับหนึ่งของเมืองหลวง
องค์หญิงจาวฮวาหน้าตางดงามจริงๆ นางสืบทอดความงามของมารดาผู้ให้กำเนิด งดงามเหนือผู้ใด
วันนี้องค์หญิงจาวฮวาสวมอาภรณ์ชาววังหรูหรา ชุดสีแดงนุ่มนวล ระยิบระยับ เอวเรียวเล็ก ผิวขาวราวหิมะ ดั่งก้อนเมฆที่ลอยอยู่บนฟ้า เหมือนดอกไม้ค่อยๆ ผลิบานต่อหน้าสายตามากมาย แม้ว่าจะมีคนสวมชุดหรูหราอยู่เต็มตำหนัก หรือคุณหนูจากตระกูลมีชื่อเสียงมากมายทั้งเมืองหลวงมาอยู่ที่นี่ ก็ยังไม่งดงามเท่านาง
องค์หญิงตวนโหรวมู่หรงสือเห็นคนมากมายล้อมรอบองค์หญิงจาวฮวา คอยชื่นชมประจบสอพลอ ก็นึกอิจฉา เห็นองค์หญิงจาวฮวายืนอยู่ที่จุดสูงสุด มีหน้ามีตาเป็อย่างยิ่งก็อดริษยาขึ้นมาในใจไม่ได้
ความริษยาเพิ่มขึ้นอย่างบ้าคลั่ง ราวกับเถาวัลย์ที่แผ่ขยายไปทั่วทั้งร่างกักขังนางอยู่ในนั้น
นางเองก็รู้ว่าอีกฝ่ายมีสิ่งใดให้ริษยา
องค์หญิงจาวฮวามู่หรงฉางคือองค์หญิงตัวจริงของราชวงศ์ เป็พระธิดาคนโปรด เป็ที่จับตามองของผู้คนมากมาย ได้รับความนับถือก็เป็เื่ที่สมเหตุสมผล
ส่วนมู่หรงสือเล่า?
นางเป็องค์หญิงตวนโหรวที่เกิดจากจวนอวี้หวาง พูดออกไปแล้วก็สามารถทำให้คนใได้ไม่น้อย แต่ว่าคนทั้งเมืองลั่วหยางต่างรู้ จวนอวี้หวางแม้จะมีอำนาจล้นฟ้าแค่ไหน จะมีเกียรติมากมายอย่างไร จะมีชุดผ้าไหมปักอย่างประณีตกี่ชุด ก็เป็แค่คนสกุลอื่น ไม่ได้เป็คนในราชวงศ์ที่แท้จริง
ทว่า มู่หรงสือก็ยังไม่พอใจ
เดิมทีนางคิดว่าวันนี้จะเป็วันที่นางมีหน้ามีตาที่สุด แต่คิดไม่ถึงว่าองค์หญิงจาวฮวาจะเกิดมามีหน้าตางดงามถึงเพียงนี้ อีกทั้งชาติกำเนิดของนางยังสูงส่งอย่างที่นางไม่อาจมีได้
หากนาง้าจะผลักองค์หญิงจาวฮวาให้ร่วงหล่นลงไป มีเพียงสิ่งเดียวคือนางจะต้องแต่งงานกับองค์รัชทายาท กลายเป็พระชายา เป็มารดาของแคว้นเยี่ยนในอนาคต สตรีที่มีเกียรติที่สุดก็จะเป็นาง มู่หรงสือ!
คิดได้เช่นนี้ ในใจของมู่หรงสือจึงรู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย
ครั้นใกล้จะถึงยามโหย่ว พวกข้าหลวงก็เอาสุราหายากมาจัดวางไว้ที่โต๊ะ แก้วหลิวหลี แก้วทอง และช้อนเงินเงาวับวางเรียงกันอย่างละลานตา
เหล่าข้าหลวงพากันทยอยออกไป ขณะเดียวกันด้านนอกวังก็มีเสียงขันทีรายงาน “ฝ่าาเสด็จ! เซียวกุ้ยเฟยเสด็จ! องค์รัชทายาทเสด็จ! อวี้หวางมาถึงแล้ว!”
ทุกคนทยอยกันลุกขึ้นต้อนรับ เสียงดังก๊อกแก๊กขึ้นมาเบาๆ
ฮ่องเต้มู่หรงเฉิงร่างกายอ่อนแอเป็ทุนเดิม เซียวกุ้ยเฟยประคองเขาเข้ามาในตำหนักช้าๆ องค์รัชทายาทกับอวี้หวางเดินตามมาทางด้านหลัง
มู่หรงเฉิงสวมชุดคลุมัสีเหลือง ร่างกายงองุ้มน้อยๆ เหมือนกับค้อมตัวอยู่ สีชุดที่สดใสทำให้สีหน้าของเขายิ่งซีดขาว
ด้านหลัง อวี้หวางเดินเข้ามาอย่างองอาจ สวมชุดสีดำปักด้ายทอง สง่าผ่าเผยโดดเด่น ดึงดูดสายตาของบรรดาบุตรีตระกูลขุนนางเลื่องชื่อจำนวนมาก
กลับมามองที่องค์รัชทายาท รูปลักษณ์หล่อเหลาซ่อนความเฉียบคมเอาไว้ นางสวมชุดสีเหลืองปักดิ้นเงิน ขับให้มีความคมชัด โดดเด่นสดใส ทว่ารูปร่างที่บอบบางกลับทำให้ดูเป็คนที่ไร้ประโยชน์มากกว่าเดิม
ครั้นฮ่องเต้กับกุ้ยเฟยเข้านั่งประจำที่ ทุกคนจึงนั่งลงตาม
“หลายวันที่เจิ้นพักรักษาตัว ต้องลำบากอวี้หวางแล้วก็พวกเ้าทุกคนดูแลราชสำนักแล้ว เจิ้นซาบซึ้งมาก ที่ราชสำนักมั่นคงอย่างทุกวันนี้ ทั่วดินแดนสงบสุข ประชาชนปลอดภัย เจิ้นต้องขอบคุณอวี้หวางกับทุกคน...แค่กๆ...”
ฮ่องเต้มู่หรงเฉิงพูดเสียงเบา หายใจไม่คล่อง จู่ๆ ก็ไอออกมา
เซียวกุ้ยเฟยรีบลูบหลังให้เบาๆ เพื่อให้เขาหายใจได้สะดวกขึ้น
บรรดาข้าราชบริพารเห็นเขาไอขนาดนี้ก็กังวลเล็กน้อย ต่างมองหน้ากันไปมา : ที่แท้ฮ่องเต้ก็ป่วยหนักถึงเพียงนี้เชียวหรือ
ก่อนหน้านี้ อวี้หวางเพียงแค่บอกว่าฝ่าาประชวรเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าอาการจะเป็เช่นนี้
“ฝ่าาเป็ห่วงแว่นแคว้นทุกวันคืน อาการถึงได้ทรุดลงถึงเพียงนี้ ฝ่าาโปรดวางพระทัย กระหม่อมกับเหล่าเสนาบดีทุกคนจะปฏิบัติหน้าที่อย่างดี จะทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อแบ่งเบาภาระของฝ่าา ขอพระองค์พักรักษาอาการประชวรให้หายดีเถิดพ่ะย่ะค่ะ” มู่หรงอวี้พูดออกมา น้ำเสียงทุ้มกังวานราวเป็มนต์คาถาที่ทำให้คนสบายใจ
“ฮ่องเต้โปรดวางพระทัย กระหม่อมจะตั้งใจทำหน้าที่ให้ดีเพื่อแบ่งเบาภาระของฝ่าาพ่ะย่ะค่ะ” ทุกคนพูดออกมาพร้อมกัน
“ฝ่าาเข้าใจถึงความจงรักภักดีของอวี้หวางและข้าราชบริพารที่ทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อราชสำนัก ดังนั้นวันนี้จึงจัดงานเลี้ยงให้พวกท่านได้สนุกรื่นเริงไปด้วยกัน” เซียวกุ้ยเฟยรู้ว่าฝ่าาพูดไม่ออก จึงเอ่ยแทน
“ขอบพระทัยฝ่าา” ทุกคนพูดออกมาอย่างพร้อมเพรียงกันอีกครั้ง
ในที่สุดมู่หรงเฉิงก็ปรับลมหายใจได้ก่อนจะทำมือเป็สัญลักษณ์ให้เริ่มงานเลี้ยง
มู่หรงฉือถอนหายใจ เป็ห่วงจริงๆ ว่าเสด็จพ่อจะไอเป็เืออกมาต่อหน้าคนมากมาย แบบนั้นจะแย่เอาได้
ทันใดนั้น นางก็รู้สึกว่ามีคนมองมาที่ตนเอง ครั้นกวาดตามองไป ที่แท้ก็เป็องค์หญิงตวนโหรวมองมา สายตาหลงใหลนั้นทำให้คนใจนหัวใจแทบจะกระดอนออกมา
ได้สบสายตาเข้ากับองค์รัชทายาท มู่หรงสือถึงได้สติกลับมา ก้มหน้าลงด้วยความเอียงอาย พวงแก้มเห่อร้อน
มู่หรงฉือรีบเก็บสายตาตัวเองกลับมา แต่นางพบว่าสายตาขององค์หญิงจาวฮวากลับมองไปที่คนๆ หนึ่งอย่างไม่ละสายตา เป็มู่หรงอวี้นั่นเอง
มู่หรงฉางเหมือนจะเพิ่งได้เคยพบมู่หรงอวี้เป็ครั้งแรก นิสัยเอาแต่ใจที่มีมาจนติดเป็นิสัย บัดนี้กลับมีเพียงความกลัวระคนเขินอาย ความชอบกับความหวั่นไหวที่ได้เจอถักทออยู่ในดวงตาคู่นั้น
มู่หรงฉือรู้สึกถึงความร้อนแรงกับความ้าในดวงตาของนาง จึงอดคิดขึ้นมาไม่ได้ว่า หรือมู่หรงฉางพึงใจมู่หรงอวี้เข้าแล้ว?
ครั้นได้ดื่มสุรากันจนถ้วนหน้าก็มีเสียงดนตรีจากการเคาะไม้ไผ่เป็จังหวะ แขนเสื้อยาวร่ายรำเป็สายน้ำ ทั้งร่างของเหล่านางรำเต็มไปด้วยความอ่อนโยนชดช้อย
เซียวกุ้ยเฟยกับฮ่องเต้นั่งอยู่ที่โต๊ะเดียวกัน นางดูแลฝ่าาอย่างใกล้ชิด ตักน้ำแกงใส่ถ้วยให้ครึ่งช้อน “ฝ่าาเสวยช้าๆ นะเพคะ”
มู่หรงเฉิงยกถ้วยสีขาวขึ้นมาอย่างอารมณ์ดี แล้วค่อยๆ ละเลียดชิม
ระหว่างที่ทอดสายตามองไปรอบๆ งาน เซียวกุ้ยเฟยเห็นองค์หญิงจาวฮวามองไปที่คนผู้หนึ่งตลอดเวลา สายตาร้อนแรงเจือความเขินอาย บางครั้งก็ลำบากใจบางครั้งก็เต็มไปด้วยความคาดหวัง นางรู้สึกประหลาดใจจึงมองตามสายตาขององค์หญิงจาวฮวาไป หัวใจพลันเย็นวาบ
นังเด็กบ้านั่นจ้องอวี้หวาง!
ที่แท้ มู่หรงฉางที่เพิ่งจะกลับวังมาถึงกับชอบมู่หรงอวี้!
ชั่วพริบตา ไฟโทสะพลันถูกจุดขึ้นในหัวใจของเซียวกุ้ยเฟย ใบหน้าที่เดิมยังมีรอยยิ้มอ่อนโยนประดับอยู่พลันมีความโกรธคืบคลานเข้ามา
นังเด็กบ้าออกจากวังไปได้ครึ่งปี กลับกลายเป็ไม่สำรวมกว่าเดิม ถึงขั้นกล้ามองบุรุษตรงๆ อย่างเย้ายวนเช่นนี้!
หน้าไม่อาย!
นิ้วเรียวยาวทั้งสิบของเซียวกุ้ยเฟยทาสีแดงเคลือบเล็บไว้ราวหยดเื นางกำมือ แล้วซ่อนนิ้วทั้งห้าที่กำแน่นเอาไว้ใต้แขนเสื้อกว้าง
ที่นั่งทางด้านซ้ายของที่นั่งประธานไม่มีคนนั่ง ปกตินอกจากโต๊ะทรงงานแล้ว แคว้นเยี่ยนให้ความสำคัญของตำแหน่งที่มากที่สุด
หากตำแหน่งประธานทางด้านซ้ายเป็ขององค์รัชทายาท เช่นนั้นก็แปลว่าผู้สำเร็จราชการแทนที่มีอำนาจมากถูกองค์รัชทายาทที่ไม่ได้เื่กดข่มเอาไว้ แคว้นเยี่ยนก็ยังเป็ขององค์รัชทายาทผู้ไร้ประโยชน์ ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนเป็เพียงคนที่ทำงานเอาหน้าให้ราชวงศ์ก็เท่านั้น
แต่หากตำแหน่งนั้นตกเป็ของท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทน เช่นนั้นก็แปลว่าผู้สำเร็จราชการแทนอยู่ใต้คนผู้เดียว อยู่เหนือคนนับหมื่น วันเวลาที่จะแทนที่องค์รัชทายาทที่ไม่ได้เื่ก็อยู่ใกล้แค่เอื้อม ฮ่องเต้พระชนมายุมากแล้วทั้งยังป่วยกระเสาะกระแสะ ไม่สนใจราชสำนัก องค์รัชทายาทก็ไม่ได้ความ ตำแหน่งใหญ่ของแคว้นเยี่ยนก็ได้แต่ต้องตกอยู่ในกำมือของท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทน
ตำแหน่งนี้จะจัดอย่างไร หลิวอันคิดหน้าคิดหลังแล้วก็รู้สึกลำบากใจ ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี
ต่อมา เขาขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้จึงได้ทำเช่นนี้อออกมาคือ ให้องค์รัชทายาทกับท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนนั่งร่วมโต๊ะเดียวกัน
ดังนั้น โต๊ะทางด้านซ้ายของประธานจึงยาวกว่าโต๊ะอื่น
ครั้นบรรดาขุนนางข้าราชบริพารเห็นเช่นนี้ ในใจก็แตกตื่น ยิ่งมองสถานการณ์ของราชสำนักในตอนนี้ไม่ออก
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้