ความจำดีขนาดนี้เชียว? กู้เจิงจำได้ว่าใบสินสมรสนั้นเสิ่นเยี่ยนเพียงแค่ดูผ่านตาตามธรรมเนียมคาดไม่ถึงว่าเขาจะจำได้ “ข้าเห็นว่ายังมีเวลาก็เลยไปดูเท่านั้นเ้าค่ะ ไม่ได้ไปตรวจสอบบัญชีอะไร”
“ก็ใช่ เ้าอ่านตัวหนังสือในบัญชีนั้นไม่ออก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเื่ตรวจสอบบัญชี”
กู้เจิงหน้าผากกระตุก การรู้ข้อบกพร่องของตนเองก็เป็เื่หนึ่งแต่การถูกคนอื่นพูดออกมาก็เป็อีกเื่หนึ่ง นางได้แต่ปลอบใจตัวเอง ช่างเถอะถูกสามีพูดก็ไม่ใช่เื่น่าเกลียดอะไร
ชุนหงที่อยู่ข้างๆ เอ่ยอย่างตื่นเต้นว่า “ท่านบุตรเขยรู้จักคุณหนูดีจริงๆ คุณหนูอ่านบัญชีพวกนั้นไม่ออกจึงคิดที่จะเริ่มเรียนหนังสือ และบ่าวก็เรียนจะด้วยต่อไปบ่าวจะกลายเป็ผู้จัดการของคุณหนูเ้าค่ะ”
กู้เจิง “...” สิ่งแรกที่นางควรทำคือสอนชุนหงว่าอย่าพูดอะไรกับเสิ่นเยี่ยนเด็ดขาด
เมื่อทั้งสามคนกลับมาถึงบ้าน นายหญิงเสิ่นก็เดินออกมาจากสวนหลังบ้านพอดีนางรับเนื้อในมือชุนหงมาด้วยรอยยิ้ม “ซื้อเนื้อมาเยอะขนาดนี้ ตอนเที่ยงพวกเราก็กินเนื้อผัดแล้วกันส่วนที่เหลือทำเนื้อคลุกซอส”
“ข้าชอบกินเนื้อคลุกซอสเ้าค่ะท่านป้าเสิ่น ข้าจะเป็ลูกมือให้เอง” ชุนหงเดินตามฮูหยินเสิ่นเข้าไปในห้องครัวอย่างมีความสุข
กู้เจิงกลับเข้ามาในห้อง เสิ่นเยี่ยนเดินตามเข้ามาด้วยเขานั่งลงอ่านหนังสือตรงโต๊ะข้างหน้าต่างโดยไม่สนใจนาง ขณะที่นางยังหงุดหงิดอยู่ที่โดนเสิ่นเยี่ยนรู้ทันจู่ๆ ก็มีหนังสือ ‘ร้อยสกุล[1]’ ยื่นมาตรงหน้า น้ำเสียงเรียบเฉยของเสิ่นเยี่ยนดังขึ้น “ในเมื่อเ้าอยากเรียนหนังสือ ก็เริ่มจากตำราร้อยสกุลแล้วกันหนังสือเล่มนี้น่าจะง่ายสำหรับเ้า”
กู้เจิงส่งยิ้มให้เสิ่นเยี่ยน “ขอบคุณเ้าค่ะ” ดูท่าเขาเองก็ใส่ใจนางอยู่บ้าง
“ตอนข้ากลับมาคืนนี้จะมาตรวจดู” เสิ่นเยี่ยนรู้สึกแปลกๆ พิกล เขาชอบให้ภรรยายิ้ม
“ท่านยังต้องออกไปข้างนอกอีกหรือเ้าคะ?” เขาแค่มาส่งนางกลับบ้านหรือ?
“ไปค่ายทหาร ข้าจะไม่อยู่กินข้าวกลางวันและข้าวเย็นที่นี่”
เมื่อสั่งเสร็จ กู้เจิงก็มองเสิ่นเยี่ยนเดินออกไปเขาเข้าไปในห้องครัวเพื่อบอกมารดาว่าไม่ต้องทำอาหารเผื่อก่อนจะจากไปกู้เจิงเปิดตำราร้อยสกุลเพื่อเรียนรู้ตัวอักษร ตัวหนังสือร้อยคำในเล่มนี้นางท่องได้เพียงแต่พอเห็นอักษรแปลกๆ ก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมา จ้าวเฉียนซุนหลี่ โจวอู๋เจิ้งหวังเฝิงเสิ่นฉู่เว่ย เจี่ยงเสิ่นหานหยาง*... ลำดับขีดมากมายเหลือเกิน
(* เป็ชื่อแซ่ในหนังสือร้อยสกุล)
นายหญิงเสิ่นเตรียมวัตถุดิบของเนื้อคลุกซอสจนครบแล้วหลังจากผสมกับเหล้าเหลือง* ครึ่งชั่งลงไปชุนหงก็เก็บจื่อซู* กลับมาพอดี
(*เหล้าเหลือง หรือเหล้าข้าวเป็เหล้าที่หมักจากข้าวโดยไม่ผ่านการกลั่น)
(*จื่อซู หรือใบงาเป็สมุนไพรชาวบ้านที่ใช้ในการปรุงอาหาร มีสรรพคุณแก้พิษจำพวกอาหารทะเล)
“ท่านป้าเสิ่นเมื่อครู่ข้าเข้าไปในห้องเห็นคุณหนูกำลังอ่านหนังสืออย่างจริงจังเลยเ้าค่ะ” ชุนหงเช็ดน้ำบนใบจื่อซูจนสะอาดแล้วฉีกเป็ชิ้นๆโยนลงในไหพลางพูดอย่างตื่นเต้นว่า “ที่แท้สิ่งที่คุณหนูพูดล้วนเป็ความจริง”
“เรียนหนังสือ? อะไรจริงหรือ?” นี่เป็ครั้งแรกที่นายหญิงเสิ่นเห็นสาวน้อยตื่นเต้นเช่นนี้
ชุนหงเล่าเื่ที่เกิดขึ้นในร้านหนังสือให้ฟัง
ป้าเสิ่นยิ้มน้อยๆ “ไม่นึกเลยว่าอาเจิงจะมุ่งมั่นขนาดนี้ต่อไปเวลานางเรียนพวกเราอย่าไปรบกวนนางจะดีกว่า”
ชุนหงซาบซึ้งใจ “ท่านป้าเสิ่นท่านช่างดีจริงๆ เ้าค่ะ”
“รักการเรียนนั้นเป็สิ่งที่ดี”
“สตรีรู้หนังสือก็ถือเป็เื่ดีใช่ไหมเ้าคะ?” ชุนหงถามต่อ
“อ่านหนังสือให้มากหน่อย รู้จักตัวอักษรอีกสักหลายคำก็ไม่เห็นจะมีข้อเสียอะไร” นายหญิงเสิ่นยิ้มแล้ววางไหไว้ข้างๆ “เนื้อต้องแช่หลายชั่วยาม ถึงเวลานั้นค่อยเอาออกมาตากแห้งอีกไม่กี่วันพวกเราก็จะได้กินเนื้อคลุกซอสอร่อยๆ”
ป้ารองของตระกูลเสิ่น –‘เสิ่นเจี่ยซื่อ’ และบุตรชายเสิ่นกุ้ยก็มากินข้าวที่บ้านด้วยใน่เย็น
กู้เจิงสังเกตเห็นว่าเหล่าบุรุษของตระกูลเสิ่นมักมีรูปร่างไม่สูงนักแต่ภรรยาของพวกเขากลับสูงยิ่งยกตัวอย่างเช่นแม่สามีของนางซึ่งสูงกว่าสตรีทั่วไปเล็กน้อย เสิ่นเยี่ยนที่รูปร่างสูงโปร่งล้วนได้มาจากมารดานางคิดไม่ถึงว่าเสิ่นกุ้ยก็สูงพอๆ กันกับเสิ่นเยี่ยนความแตกต่างเพียงอย่างเดียวของสองคนนี้ คือ เสิ่นเยี่ยนหน้าตาดี
อย่างที่ลุงรองเสิ่นพูด เสิ่นกุ้ยหน้าตาไม่ค่อยดีหน้าตาของเขามีเค้าท่านป้ารอง ดวงตาเล็กตี่ จมูกสูงโด่ง ริมฝีปากปากหนาใหญ่เวลาสองแม่ลูกเดินด้วยกัน ใครๆ ก็ต้องรู้ว่าเป็แม่ลูกกัน
เสิ่นกุ้ยมีนิสัยซื่อตรง หลังจากมาถึงตระกูลเสิ่นก็ทักทายกู้เจิงอย่างเป็มิตรแล้วจึงออกไปช่วยตัดฟืนอยู่ที่ลานบ้าน
ป้ารองเจี่ยซื่อกับนายหญิงเสิ่นพูดคุยพร้อมทำอาหารเย็นกันไปพลางเมื่อนายท่านเสิ่นกับลุงรองกลับมา ลุงรองก็เล่าว่าได้กำหนดวันแต่งงานกันไว้แล้วเป็ใน่ต้นฤดูใบไม้ผลิหน้า คนของทั้งสองตระกูลล้วนดีใจมาก
“ตอนที่ลงเขาจากหมู่บ้านตระกูลฟาง พวกเราได้พบกับขบวนส่งเ้าสาวแต่ดูไม่เหมือนขบวนบุตรสาวของคนทั่วไป” ลุงรองเสิ่นจิบสุราพลางกล่าว "ตอนที่ลมพัดม่านขึ้นข้าแอบเห็นว่าเ้าสาวถูกมัดไว้”
“ระหว่างทางข้าพบคนตัดไม้ จึงสืบมาได้ว่าเป็บุตรสาวอนุภรรยาของตระกูลใหญ่แห่งหนึ่งในเยว่เฉิงเนื่องจากทำความผิดเลยถูกจับแต่งงานกับพ่อหม้ายในหมู่บ้าน” พ่อเฒ่าเสิ่นทอดถอนใจ “เด็กสาวเช่นนี้ จะทำผิดได้มากขนาดไหนกัน ชีวิตของนางคงจบสิ้นแล้ว”
กู้เจิงกินข้าวอย่างแข็งทื่อ นึกถึงสิ่งที่เสิ่นเยี่ยนเคยบอกเกี่ยวกับหนิงซิ่วหลัน
“น่าสงสารขนาดนั้นเลยหรือ?” ป้ารองเจี่ยซื่อมีสีหน้าเห็นอกเห็นใจ “ข้าได้ยินมาว่าตระกูลใหญ่เ่าั้สามภรรยาสี่อนุ* ลูกที่เกิดจากอนุภรรยาล้วนไม่นับว่าเป็บุตร ดังนั้น...” นางหยุดพูดไปทันควัน คล้ายนึกอะไรขึ้นมาได้
(*หมายถึง มีเมียเยอะ มากชู้หลายเมีย )
ทุกคนพลันนึกได้ว่ากู้เจิงเองก็เป็บุตรสาวของอนุภรรยา
“ดูปากข้าสิ พูดจาเหลวไหลอะไรกัน” ป้ารองเจี่ยซื่อโมโหตัวเอง นางปากไวนินทาข้อเสียของคนอื่นโดยลืมไปว่าภรรยาอาเยี่ยนก็เป็ลูกรอนุนางรีบคีบอาหารใส่ชามให้กู้เจิงเพื่อเอาใจ “หลานสะใภ้ เ้าอย่าได้ใส่ใจเลยนะ”
กู้เจิงยิ้ม “ไม่เป็ไรเ้าค่ะข้ารู้ว่าท่านป้ารองไม่ได้ตั้งใจ” นางเข้าใจดีว่าท่านป้ารองไม่ได้มีเจตนาร้าย
ฮูหยินเสิ่นเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างรวดเร็วทุกคนร่วมพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน
บ้านลุงรองกับบ้านตระกูลเสิ่นอยู่ห่างกันไม่มาก ดังนั้นหลังมื้ออาหารจึงไม่ได้รีบร้อนกลับไปนายหญิงเสิ่นหยิบถั่วลิสงผัดของตัวเองออกมา ทุกคนกินพลางพูดคุยไปพลางจนถึงดึกดื่นถึงได้แยกย้ายกันไป
ก่อนเข้านอนกู้เจิงรู้สึกปวดท้องน้อยนางคิดว่าคงเป็่นั้นของเดือน จึงเข้าไปดูในห้องน้ำก็พบว่าเป็รอบเดือนจริงๆในยุคสมัยนี้มีสองเื่ที่นางค่อนข้างกังวล อย่างแรกคือไม่มีชักโครกสองคือผ้ารองรอบเดือน ซึ่งมีลักษณะเป็ผ้ายาว ข้างในมีใยฝ้ายยัดอยู่แต่สิ่งที่เป็ปัญหาใหญ่สำหรับนางคือ ร่างนี้ของนางเมื่อมีรอบเดือนจะปวดท้องถึงจะไม่ได้ปวดทุกครั้ง แต่แค่ครั้งสองครั้งก็เพียงพอที่จะทำให้นางทรมานได้
เมื่อเสิ่นเยี่ยนกลับมาถึงบ้านเขาก็เห็นภรรยาขดตัวอยู่ในผ้าห่มด้วยใบหน้าซีดเซียว
“เ้าไม่สบายหรือ?” เสิ่นเยี่ยนยื่นมือไปอังหน้าผากกู้เจิง
ข้างนอกอากาศหนาว เสิ่นเยี่ยนเพิ่งกลับเข้ามามือจึงค่อนข้างเย็นกู้เจิงใจนตัวสั่นน้อยๆ นางรู้สึกปวดท้องยิ่งกว่าเดิม “มือท่านเย็นมากเ้าค่ะ”
“คุณหนู บ่าวชงน้ำตาลทรายแดงมาให้แล้วเ้าค่ะ” ชุนหงเข้ามาเห็นท่านบุตรเขยจึงรีบคำนับ
เห็นน้ำตาลทรายแดงและท่าทางของภรรยา เสิ่นเยี่ยนก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น “รอบเดือนเ้ามาหรือ?”
กู้เจิงพยักหน้าด้วยใบหน้าแดงก่ำนางลุกขึ้นนั่งรับน้ำตาลทรายแดงจากชุนหงมาจิบกินทีละน้อยพอคิดว่าอีกสามวันข้างหน้าจะยังปวดท้องเช่นนี้อยู่ก็รู้สึกอารมณ์ไม่ดีนัก
ชุนหงออกไปยกน้ำร้อนเข้ามา เสิ่นเยี่ยนไม่้าคนคอยปรนนิบัติชุนหงจึงวางน้ำร้อนแล้วออกไป
“อ่านตำราร้อยสกุลเป็ยังไงบ้าง?” เสิ่นเยี่ยนถามพร้อมล้างหน้าล้างตาไปพลาง
“ข้าเป็แบบนี้แล้ว ท่านยังจะถามเื่นั้นอยู่อีกหรือเ้าคะ?” เสียงกู้เจิงอ่อนแรงน้ำเสียงติดจะออดอ้อนกว่าปกติ บุรุษธรรมดาได้ยินเกรงว่าคงใจอ่อนยวบ
น่าเสียดายที่เสิ่นเยี่ยนไม่ใช่บุรุษธรรมดา สีหน้าเขาเหมือนดังปกติเขาแขวนผ้าเช็ดหน้าไว้บนชั้นวาง ถอดเสื้อนอกออก ก่อนจะดับไฟแล้วล้มตัวลงนอน
หลายวันมานี้ กู้เจิงใกล้ชิดกับเสิ่นเยี่ยนอยู่ตลอดยามที่พวกเขาแตะโดนเนื้อต้องตัวกันในเวลานอน นางก็ค่อนข้างชินแล้ว เสิ่นเยี่ยนกำลังจะเอื้อมมือแตะหน้าผากนางอีกรอบกู้เจิงรีบบอก“มือท่านเย็น ข้าไม่ชอบเ้าค่ะ”
เสิ่นเยี่ยนเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “น้ำล้างหน้าเป็น้ำร้อน” ดังนั้นมือของเขาย่อมไม่เย็นอีกแล้ว
“อือ” กู้เจิงไม่ได้นอนตัวงอแล้วตอนที่มือของเขาัันางนั้นอบอุ่น นางจึงเขยิบเข้าใกล้เขามากขึ้น กู้เจิงรู้ว่าเสิ่นเยี่ยนคงยังตะขิดตะขวงใจกับนางอยู่บ้างดังนั้นจนถึงตอนนี้นางก็ไม่ได้แตะต้องเขาก่อน แต่ว่าพวกเขาเป็สามีภรรยากันตอนนี้เขาทนได้ แต่ต่อไปใครจะไปรู้ว่าเขาจะทนไหวไปถึงเมื่อไหร่นางพยายามปล่อยวางเื่บนเตียงระหว่างสามีภรรยานี้ไปนานแล้ว สิ่งใดจะเกิดย่อมต้องปล่อยไปตามธรรมชาติ
เสิ่นเยี่ยนลืมตาขึ้นในกลางดึกความจริงแล้วั้แ่เอนตัวลงนอนจนถึงตอนนี้ เขาก็ยังไม่ได้หลับเสียทีร่างกายบอบบางของสตรีข้างกายขดตัวเป็ครั้งคราว นางขมวดคิ้วเล็กน้อยภายใต้ความมืดดูท่าทางไม่สบายตัว
เขาััร่างกายของนาง พบว่าไม่อุ่นเช่นเคย อีกทั้งมือก็เย็น
เนื่องจากอาการปวดท้อง คืนนี้กู้เจิงจึงหลับไม่สนิทนักพอถูกคนแตะตัวเข้าก็ตื่นขึ้น ยามสบตากับดวงตาดำขลับคู่นั้นในความมืดมิดก็พูดอย่างปวดร้าวว่า "ข้าปวดท้องมากเลยเ้าค่ะ”
เสิ่นเยี่ยนมองนางอยู่ครู่หนึ่ง แล้วลุกขึ้นเดินออกไป
กู้เจิง “...” หรือเขาจะรำคาญที่นางส่งเสียงรบกวนตอนนอนเลยจะไปนอนที่ห้องหนังสือ? มือของนางััตรงที่เขานอนซึ่งยังอุ่นอยู่โดยไม่ได้ตั้งใจอดไม่ได้ที่จะถูไปมา
เสิ่นเยี่ยนกลับเข้ามาพร้อมโถน้ำร้อน[2] เข้ามา ก็เห็นภรรยากำลังนอนหลับอย่างสบายในตำแหน่งที่เขาเคยนอนใบหน้านางเต็มไปด้วยความพอใจ
---------------------------------------------------
[1] ร้อยสกุล เป็หนังสือรวบรวมแซ่สกุลของชาวจีนเมื่อสมัยราชวงศ์ซ่งเดิมรวบรวมไว้ 411 แซ่ตระกูล ต่อมามีการเพิ่มเติมรวมเป็ 504 ประกอบด้วยแซ่เดี่ยว444 และแซ่ผสม 60 ซึ่งในปัจจุบันมีข้อมูลทางเอกสารว่าแซ่ตระกูลของชาวจีนมีมากกว่า5,600 แซ่
[2] โถน้ำร้อน มีลักษณะทรงกลมแบนคล้ายกาน้ำชาเล็กๆตัวโถมักจะทำจากทองแดง ดีบุก หรือเซรามิก ด้านในกลวง ้ามีรูสำหรับใส่น้ำร้อนลงไปและมีฝาปิดมีหูหิ้ว้าเพื่อให้จับถือสะดวก สำหรับการใช้งานนั้น ในเวลากลางวันคนจีนมักจะห่อโถน้ำร้อนด้วยผ้าแล้วอุ้มติดตัวไว้เพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้แก่ร่างกายแต่หากเป็เวลากลางคืน จะนำโถน้ำร้อนซุกไว้ใต้ผ้าห่มนวมที่ใช้นอนเพื่อช่วยอุ่นเตียง