เห็นคนทั้งหกราวกับถูกสกัดจุดอย่างไรอย่างนั้น พวกเขาไม่เคลื่อนไหวไม่พูดจา ซือคงเซิ่งเจี๋ยเม้มปากแล้วแสดงท่าทีสิ้นความอดทน เขาเดินอ้อมพวกเขาตรงเข้าไปในชุมนุมเดินหมาก
ฟางเสียเอ่ยปากทันเวลา “องค์ชายสาม แม่นางเฟิงไปจากที่นี่แล้ว!”
ซือคงเซิ่งเจี๋ยชะงัก “ไปแล้ว?”
“ถูกต้อง นางไปกับท่านาุโหานแล้ว”
ซือคงเซิ่งเจี๋ยเบะปากด้วยท่าทีผิดหวังอยู่บ้าง เขาสะบัดแขนเสื้อแล้วหมุนกายจากไป
ฟางเสียและคนอื่นๆ ตะลึงงัน พวกเขาเก็บตัวไม่พบใครเพื่อคิดค้นค่ายกลมาต่อกรกับเขาเป็เวลาถึงสามปี แต่อีกฝ่ายแทบจะไม่เห็นพวกเขาอยู่ในสายตา พูดจบแล้วก็จากไปกระทั่งจะทักทายกันสักคำก็ไม่มี
อวดดีและวางโตเกินไปแล้ว!
ฟางเสียเรียกเขาไว้อีกครั้ง “องค์ชายสาม นัดเดินหมากวันพรุ่งนี้...”
ภายใต้หน้ากากสีเงิน ซือคงเซิ่งเจี๋ยยกยิ้มน้อยๆ เขาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย “หากพวกเ้าสามารถนำค่ายกลหรือวิธีการใหม่ออกมาเดินหมากได้ ข้าก็ยินดีจะเดินหมากด้วย!”
พูดจบเขาก็เดินจากไป
ค่ายกลหรือวิธีการใหม่ๆหรือ
ฟางเสียและคนอื่นได้แต่ยิ้มเฝื่อนแล้วมองหน้ากันไปมา
เฟิ่งเฉี่ยนติดตามหานไท่ฟู่มาถึงคฤหาสน์สกุลหาน หานหลินเยว่กลัดกลุ้มมาตลอดทาง หลายครั้งที่นางคิดจะยับยั้ง ล้วนถูกท่านปู่โมโหใส่
กระทั่งหานไท่ฟู่นำทางเฟิ่งเฉี่ยนมาถึงห้องๆ หนึ่ง หานหลินเยว่จึงทนไม่ได้อีกครั้ง นางก้าวเข้าไปขัดขวาง “ท่านปู่ จะมอบแมวเทพไม่ได้นะเ้าคะ! แมวเทพนั้นนำมาใช้...”
หานไท่ฟู่ตัดบทนาง “เ้าไม่ต้องพูดอีกแล้ว! กล้าเดิมพันและกล้ายอมรับความพ่ายแพ้ พูดกันแล้วหากพ่ายแพ้ก็จะมอบแมวเทพ ข้าจำเป็ต้องรักษาคำพูด!”
เขาหันมาพูดกับเฟิ่งเฉี่ยน “แม่นางเฟิง เ้าตามข้ามาเถิด!”
“ท่านปู่--” หานหลินเยว่ยังคิดจะขัดขวาง ทว่าประตูห้องถูกปิดลงเสียแล้ว ทำให้นางถูกกั้นอยู่ด้านนอก
เฟิ่งเฉี่ยนขมวดคิ้ว รู้สึกไม่ค่อยไว้วางใจ “หานไท่ฟู่ คุณหนูหานขัดขวางถึงเพียงนี้ มีเื่อันใดหรือไม่ หากลำบากใจจริงๆ...”
หากมีเื่ลำบากใจจริงๆ นางไม่เอาก็ได้ ในเมื่อเหตุผลที่นาง้าแมวเทพก็เพราะตำแหน่งฮองเฮา และเพื่อปกป้องคนของตนเอง หากต้องทำร้ายพวกเขาด้วยเหตุนี้ เช่นนั้นนางรู้สึกผิดในใจ
หานไท่ฟู่กลับแปลความหมายในคำพูดของนางไปอีกทางหนึ่ง เขาพ่นลมใส่หนวดเคราของตนและถลึงตา “เ้าไม่ต้องใช้คำพูดมาตอกย้ำข้าหรอก! ข้าพูดแล้วว่าให้ก็ต้องให้!”
เฟิ่งเฉี่ยนยิ้มเฝื่อน “ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น ท่านเข้าใจข้าผิด”
ทว่าหานไท่ฟู่ไม่แม้จะฟังเข้าหู เขาเดินไปที่ข้างโต๊ะ ชี้นิ้วไปยังกรงที่มีผ้าดำผืนหนึ่งคลุมอยู่ “นี่ก็คือแมวเทพ เ้าเอาไปเถิด!”
ไม่โทษที่หานไท่ฟู่ไม่เชื่อนาง เป็ใครก็ตามหากต้องแพ้การเดินหมากถึงสี่กระดานติดๆ กัน อีกครั้งแต่ละครั้งก็เป็การพ่ายแพ้ชนิดอเนจอนาถ โมโหจนแทบจะขาดสติ!
ดวงตาเฟิ่งเฉี่ยนเป็ประกาย นางรีบเดินเข้าไปแล้วยื่นมือออกไปปลดมุมหนึ่งของผ้าสีดำผืนนั้น...
เมื่อได้ตัวแมวเทพสองหางแล้ว เฟิ่งเฉี่ยนกลับวังหลวงทันที
ระหว่างที่เดินอยู่บนระเบียงทางเดินของวังหลวงที่ปูด้วยแผ่นกระเบื้องสีน้ำเงิน ริมฝีปากสีผลอิงของนางยกยิ้มขึ้นอย่างมิรู้เนื้อรู้ตัว ลั่วหยิ่งพาองค์ไท่จื่อน้อยกลับมาถึงวังหลวงก่อนแล้ว ตรองดูแล้วตอนนี้เซวียนหยวนเช่อน่าจะรู้ผลการแข่งขันที่นางชนะแล้ว เขาควรจะดีใจกระมัง เพราะ “สตรีของเขา” มิได้ทำให้เขาต้องอับอายขายหน้า หรือเขาควรจะเสียดายนะ เพราะเขาไม่อาจทำให้นางไปจากวังหลวง
นางรู้สึกรอคอยอยู่บ้าง...
ทว่านางไม่ได้ไปพบเซวียนหยวนเช่อทันที แต่เลือกที่จะกลับไปยังตำหนักเว่ยยางก่อน
เมื่อเดินมาใกล้ตำหนักเว่ยยาง มองเห็นแต่ไกลว่าชิงเหอกูกูมายืนรออยู่หน้าประตูตำหนัก นางเดินไปเดินมาและมองไปรอบๆ ด้วยทีท่าร้อนรน
“กูกู!”
เฟิ่งเฉี่ยนเรียกนางคำหนึ่ง ชิงเหอกูกูหันมามองนาง สีหน้าเต็มไปด้วยความยินดีทันที นางรีบเดินเข้ามารับ “เหนียงเหนียง พระองค์กลับมาเสียทีเพคะ!”
เฟิ่งเฉี่ยนถาม “มีอะไร เกิดเื่อันใดขึ้น”
ชิงเหอกูกูมีสีหน้ากังวล “เหนียงเหนียง ท่านมหาเสนาบดีมาเพคะ รอพระองค์อยู่ด้านในนานแล้วเพคะ!”
“ท่านมหาเสนาบดีหรือ” เฟิ่งเฉี่ยนประหลาดใจเล็กน้อย นับั้แ่นางทะลุมิติข้ามกาลเวลามาเกิดเื่มากมายขึ้น ไม่เคยเห็นบิดาผู้เอาเปรียบคนนี้ของนางมาดูดำดูดีนางแม้สักครั้ง วันนี้ไฉนจึงมาได้
ลางสังหรณ์บอกนางว่า ผู้มาไม่ได้มาดี!
“รับเอาไว้ ข้าไปพบเขาสักหน่อย!” นางมอบกรงในมือให้กับชิงเหอกูกูแล้วสงบสติอารมณ์สูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ จากนั้นเดินเข้าไปในตำหนัก
ชิงเหอกูกูตะลึงงัน เหตุใดดูท่าทางของเหนียงเหนียงแล้วไม่เหมือนไปพบบิดาผู้ให้กำเนิดของตนเอง แต่ดูเหมือนกับกำลังจะไปทะเลาะวิวาทกับผู้อื่น
ในตำหนักบรรทม เฟิ่งชังนั่งอยู่ในห้องรับแขก เขาดื่มน้ำชาถ้วยที่สามแล้ว รออยู่เนิ่นนานก็ไม่เห็นบุตรสาวของตนปรากฏตัว สีหน้าของเขาย่ำแย่ลงเรื่อยๆ แต่เนื่องจากมีนางกำนัลคอยดูแลอยู่ทุกฝีก้าวจึงไม่กล้าถอนใจเสียงดัง
เฟิ่งเฉี่ยนปรากฎตัวที่หน้าประตูตำหนักบรรทมในตอนนี้เอง เหล่านางกำนัลราวกับยกูเาออกจากอก นางรีบเข้ามารับหน้า “เหนียงเหนียง ท่านมหาเสนาบดีมารอพระองค์นานมากแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“เ้าออกไปก่อน!” เฟิ่งเฉี่ยนโบกมือ สายตามองผ่านนางกำนัลตกลงบนร่างของบุรุษวัยกลางคนผู้มีบุคลิกน่าเกรงขามคนหนึ่ง
ที่แท้เขาเป็บิดาแท้ๆ ของเฟิ่งเฉี่ยน ท่านมหาเสนาบดีเฟิ่งผู้อยู่เหนือคนนับหมื่น แต่อยู่ใต้คนเพียงคนเดียว!
ทว่าผู้ที่สามารถก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งมหาเสนาบดีของแผ่นดินได้ เขาจะเป็คนรุ่นเดียวกันได้อย่างไร
นางมองอีกฝ่ายด้วยสายตาประเมิน และก้าวเข้าไปเรียกเขาว่า “ท่านพ่อ!”
เฟิ่งชังเงยหน้าขึ้นอย่างประหลาดใจ วินาทีนั้นเขาสงสัยว่าตนเองตาฝาดไปใช่หรือไม่
ในสมองของเขาพลันมีตัวอักษรแปดตัวะโออกมา--
งดงามสะดุดตา อรชรอ้อนแอ้น!
ร่างนั้นอยู่ในอาภรณ์สีขาวหิมะ บุคลิกสง่างาม ทว่าในความสง่างามนั้นยังมีความเฉลียวฉลาด และในความเฉลียวฉลาดยังมีความสูงศักดิ์ของสตรี ยังคงเป็บุตรสาวของตนที่หน้าอกใหญ่ทว่าไร้สมอง ที่ทำให้เขามักจะปวดเศียรเวียนเกล้าอยู่เสมออีกหรือ
แม้บุตรสาวจะสูงศักดิ์ด้วยฐานะฮองเฮา แต่ยังคงหวาดกลัวเขาเป็อย่างมาก ทุกครั้งที่เห็นเขามักจะทำตัวไม่ถูก มือเท้าถึงกับสั่นเทิ้ม เหตุใดจึงเปลี่ยนเป็หนักแน่นมั่นคงเช่นนี้
“ท่านพ่อ มาหาข้ามีเื่อันใด”
ขณะที่เฟิ่งชังกำลังใจลอย เฟิ่งเฉี่ยนนั่งลงบนบัลลังก์หงส์แล้ว ศีรษะอยู่เหนือเขาศีรษะหนึ่ง
เฟิ่งชังได้สติคืนมาทันที พิจารณาการแต่งกายของนาง สีหน้าค่อยๆ เคร่งขรึมลง เขาพูดเสียงเย็น “เ้าไปที่ใดมา แล้วไฉนจึงแต่งกายเยี่ยงนี้”
“ข้าออกนอกวัง” เฟิ่งเฉี่ยนตอบออกไปแล้วยกน้ำชาร้อนๆ ถ้วยหนึ่งขึ้นมาจิบคำหนึ่งด้วยท่าทีสง่างาม ไม่ได้รู้สึกว่าคำตอบที่ตนตอบเฟิ่งชังไปนั้นเป็เื่ร้ายแรงเื่หนึ่ง
“เ้าออกนอกวังมาหรือ” เฟิ่งชังสีหน้าเคร่งเครียด “ฝ่าาทรงทราบหรือไม่”
เฟิ่งเฉี่ยนใคร่ครวญแล้วส่ายหน้า “ข้าได้ป้ายคำสั่งออกจากวังมาจากลั่วหยิ่ง”
สีหน้าของเฟิ่งชังเต็มไป้ดวยความขุ่นเคืองใจ เขาตบโต๊ะทันที “เ้ารู้หรือไม่ หากฝ่าาไม่ทรงอนุญาต สตรีของตำหนักในจะออกจากวังหลวงตามอำเภอใจไม่ได้ เ้ายิ่งมายิ่งขวัญกล้าแล้ว! นี่เ้าจะทำร้ายสกุลเฟิ่ง เ้ารู้หรือไม่”
เฟิ่งเฉี่ยนเบะปาก พูดอย่างไม่เห็นด้วย “ข้าทำร้ายสกุลเฟิ่งอย่างไรกัน”
“เ้ายังกล้าถาม” เฟิ่งชังคอแข็ง เขาตำหนิ “เ้าพูดมา หลายวันนี้เ้าทำเื่โง่เขลาอันใดในวังหลวงบ้าง หึงหวงก็ช่างเถิด ซ้ำยังโต้เถียงกับฝ่าาและไทเฮา เกือบทำให้องค์ไท่จื่อน้อยต้องตาย ตอนนี้เ้าล่วงเกินคนทั้งตำหนักในแล้ว เ้ารู้หรือไม่”
เฟิ่งเฉี่ยนยักไหล่ หัวเราะอย่างไม่ใส่ใจ “นับั้แ่วันแรกที่ข้าแต่งเข้ามาในวัง ข้าก็ได้ล่วงเกินคนทั้งหมดในวังหลวงแล้ว หรือท่านเพิ่งจะคิดได้ตอนนี้”