เล่มที่ 4 บทที่ 99 สกุลเฉินจัดเลี้ยง
แต่ละร้านต่างพากันนำเสนอรายการอาหารแปลกใหม่ เนื้อสัตว์ประเภทใหม่ๆ ออกมาดึงดูดแขกให้เข้าร้าน
จู่ๆ ใน่เวลาเช่นนี้ เถ้าแก่โรงเตี๊ยมทั้งหลายกลับได้รับเทียบเชิญจากสกุลเฉิน จึงพากันนึกฉงนใจยิ่งนัก
ร้านผ้าเฉินจี้เป็ร้านเก่าแก่ในเมือง ต่อให้จะทำการค้าคนละสายแต่ก็พบปะกันอยู่บ่อยครั้ง
แต่เนื่องจากฤดูหนาวปีก่อนมีการขายผักสดเกิดขึ้น ทุกคนจึงสนิทสนมกับเถ้าแก่เฉินมากขึ้น สกุลเฉินในฐานะตัวแทนสกุลลู่ก็นับว่าโด่งดังในเมืองไม่น้อย
เมื่อได้รับเทียบเชิญจากสกุลเฉิน สิ่งแรกที่พวกเขาคิดก็คือ หรือว่าสกุลลู่ปีนี้จะปลูกผักออกมาขายได้เร็วกว่าเดิม? แน่นอนว่าต่อให้ไม่มีผักสดพวกนั้น พวกเขาก็ยังยินดีจะสนิทสนมกับเถ้าแก่เฉินให้มากขึ้น
ดังนั้นคืนวันถัดมา สกุลเฉินยังไม่ทันจุดโคมสว่างไสว แเื่ก็พากันมาถึงแล้ว มีเถ้าแก่หกคนที่เถ้าแก่เฉินเชิญมาด้วยตัวเอง อีกสองท่านมาเองโดยไม่ได้เชิญแต่ก็นับว่าอยู่ในวงการใกล้เคียงกัน พวกเขาเปิดร้านขายเสบียงและน้ำมัน
ไม่ว่าผู้ใดมาล้วนเป็แขก แน่นอนว่าเถ้าแก่เฉินเข้าไปต้อนรับทุกคนเป็อย่างดี
พ่อค้าเป็อาชีพที่ถูกจัดไว้ในระดับต่ำสุดของสังคม แต่ไม่ว่าจะยุคสมัยไหนรัชกาลไหนก็ไม่อาจขาดพ่อค้าไปได้
คนทางเหนือ้าสวมผ้าไหมจากภาคใต้ ใช้จานชามกระเบื้องที่ผลิตจากภาคใต้ กินผลไม้สดใหม่จากภาคใต้ คนทางใต้เองก็้าเครื่องหนัง และสมุนไพรจากทางภาคเหนือ
โดยเฉพาะในรัชสมัยนี้ ไม่มีาเกิดขึ้นบ่อยนัก ฝ่าาทรงพระปรีชาสามารถ ไม่เพียงไม่ดูถูกดูแคลนพ่อค้า ถึงขนาดได้ข่าวว่าองค์รัชทายาทมีร้านค้าอยู่ในเมืองหลวงด้วยซ้ำ เพื่อฝึกปรือฝีมือ
โถงรับรองสกุลเฉินกว้างใหญ่ รองรับทุกคนได้อย่างไม่แออัด
ในครัว เสี่ยวหมี่สวมผ้ากันเปื้อนสีขาว ที่ศีรษะผูกผ้าคลุมผมกำลังผัดหมูอยู่ ท่านป้าเจียงที่อยู่ข้างๆ ตักเส้นมันฝรั่งที่อ่อนนิ่มแล้วขึ้นมาตัดแบ่งความยาวขนาดสามชุ่น ห่างออกไปไม่ไกลเฉินเยว่เซียนก็เปลี่ยนจากอาภรณ์หรูหรามาแต่งกายเหมือนชาวบ้านธรรมดา ช่วยเติมฟืนเข้าไปในกองไฟ
มีกลิ่นหอมจางๆ ลอยออกมาจากโรงครัว ทำเอาทั้งสาวใช้ เด็กรับใช้สกุลเฉิน และแขกที่ได้รับเชิญมาพากันชะเง้อคอรอ
ฮูหยินเฉินพาหญิงรับใช้ข้างกายเดินไปแอบดูที่ข้างหน้าต่าง เห็นบุตรสาวที่นางเลี้ยงมาอย่างทะนุถนอมต้องทำงานครัวก็รู้สึกปวดใจ แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มสดใสบนใบหน้าของบุตรสาวนางก็ได้แต่ทอดถอนใจ
พวกผู้หญิงก็มักจะเป็เช่นนี้ ขอแค่นางปักใจไว้ที่ใครคนหนึ่งแล้ว ต่อให้จะต้องร่วงจากฟากฟ้าลงมาสู่ดินโคลนก็ยินดี
เพื่อชายคนนั้นเพียงผู้เดียว หากชายคนนั้นไม่ผิดต่อความเสียสละนี้ของนางก็ดี แต่หากไม่เป็เช่นนั้นชีวิตของสตรีนางนั้นก็เป็อันจบสิ้น
หวังว่าบุตรชายคนโตสกุลลู่จะเป็ที่ควรค่าแก่การฝากฝังชีวิต
เสี่ยวหมี่ไม่รู้ว่าฮูหยินเฉินกำลังสงสารบุตรสาวมากแค่ไหน นางหันไปกำชับกับเฉินเยว่เซียนว่า “พี่เยว่เซียน ระวังร้อนนะเ้าคะ หากมือท่านได้แผลพุพองขึ้นมา ไม่รู้พี่ใหญ่จะโกรธข้าแค่ไหน”
เฉินเยว่เซียนหน้าแดง ขบริมฝีปาก “ข้าไม่ถนัดงานครัว วันหน้าคงต้องให้น้องหญิงสอนสั่งแล้ว”
“ท่านพี่อย่าได้เกรงใจ ข้าชอบทำอาหารเป็ที่สุด ไม่เคยรู้สึกว่าลำบากเลย ท่านไม่ถนัดงานครัวแต่เื่อื่นๆ ท่านเก่งหมดเลยนี่นา อีกอย่าง ที่เราสกุลลู่แต่งท่านเข้าไปก็เพื่อให้ครองรักอย่างมีความสุขกับพี่ใหญ่ ไม่ใช่เพื่อหาแม่ครัวเสียหน่อย”
เฉินเยว่เซียนหน้าแดงกว่าเดิม แต่ในใจรู้สึกหวานล้ำ นางก้มหน้าก้มตาเติมฟืนด้วยความขัดเขิน
แต่ฮูหยินเฉินที่ยืนอยู่ด้านนอกนั้นกลับสบายใจขึ้นมาแล้ว นางจึงพาหญิงรับใช้กลับเรือนไป
ที่โถงรับรองทุกคนดื่มชากันจนอิ่มท้อง ในที่สุดก็ทนไม่ไหวถามขึ้นว่า “พี่เฉิน ที่ท่านเชิญเรามาในวันนี้มีเื่อะไรจะปรึกษาหรือ? หรือว่าได้ผักสดมาจากหุบเขาหมีแล้ว? ข้าจำได้ว่าปีที่แล้วก่อนปีใหม่ได้มาแค่ไม่กี่กำมือเท่านั้นเองนี่นา ปีนี้เปลี่ยนกำหนดการณ์ใหม่หรือ?”
อีกคนก็ยิ้มเอ่ยว่า “นั่นสิ พี่ชาย ท่านอย่ามัวแต่อมพะนำไว้อีกเลย ทุกคนร้อนใจกันจะแย่แล้ว ่นี้มีขบวนพ่อค้าอยู่เต็มเมือง ทุกคนกำลังจ้องจะกอบโกยรายได้กันอยู่”
เถ้าแก่เฉินยิ้มรับ “จริงๆ ก็มีเื่จะปรึกษานั่นละ ไม่ใช่เื่ผักสดหรอก แต่ก็เกี่ยวข้องกับอาหารการกิน..”
“พี่เฉินหมายความว่าอย่างไร ข้าฟังแล้วไม่เข้าใจสักนิด”
“หรือได้ของป่าดีๆ มาหรือ?”
ทุกคนพากันคาดเดาไปต่างๆ นานา เถ้าแก่เฉินเพียงแย้มยิ้มไม่ตอบคำ ทำให้ทุกคนยิ่งสงสัยมากกว่าเดิม
ดีที่ไม่นานเด็กรับใช้ก็เดินเข้ามารายงานว่า “นายท่าน แม่นางลู่ให้มาแจ้งว่าเตรียมการเสร็จเรียบร้อยแล้วขอรับ”
เถ้าแก่เฉินดวงตาเป็ประกายทันที “เช่นนั้นก็เริ่มเลยเถอะ”
เด็กรับใช้สี่คนรับคำแล้วเดินเข้ามาจัดโต๊ะอาหาร
โต๊ะไม้สนแดงทรงกลมขนาดใหญ่กับเก้าอี้สีเดียวกันเข้าชุด ให้ความรู้สึกโอ่อ่าสง่างามเหมาะสำหรับรับรองแขก
เพียงแต่ที่น่าแปลกใจคือบนโต๊ะมีจานเพียงเก้าใบตามจำนวนเก้าอี้เก้าตัว ไม่มีอาหารเรียกน้ำย่อยหรือเครื่องปรุงใดๆ ทั้งสิ้น
เถ้าแก่เฉินเรียกให้ทุกคนที่มีสีหน้าสงสัยนั่งลงรอบโต๊ะ จากนั้นก็มีสาวใช้วัยเยาว์หน้าตางดงามถืออาหารจานแรกเข้ามา เป็ถ้วยกระเบื้องเคลือบขนาดใหญ่ ในถ้วยนั้นเป็อาหารธรรมดาที่หากินได้ทั่วไปก็คือไก่ตุ๋นเห็ด ไก่อวบอ้วนที่เลี้ยงมาั้แ่ฤดูใบไม้ผลิปีก่อน ส่วนเห็ดเป็เห็ดสดๆ จากป่า เป็ของที่กินคู่กันแล้วเข้ากันได้เป็อย่างดี นับเป็อาหารขึ้นชื่อของภาคเหนือที่ใครแวะเวียนมาก็ต้องลองชิม
ทุกคนไม่เห็นความแตกต่างที่ตรงไหนจึงพากันมองไปยังเถ้าแก่เฉิน
เถ้าแก่เฉินกระแอมเบาๆ แล้วใช้ตะเกียบแยกเนื้อไก่และเห็ดที่มีอยู่พูนชามออก ทำให้เห็น ‘เส้น’ ที่ปูอยู่ด้านล่างหนึ่งชั้น จากนั้นก็คีบเข้าปากพลางยิ้มแย้ม ก่อนจะผายมือเป็ท่าทีเชื้อเชิญ “ทุกท่านลองชิมดูว่าเฟิ่นเถียว [1] นี่รสชาติเป็อย่างไร?”
“เฟิ่นเถียว”
ทุกคนต่างก็แปลกใจกับชื่อนี้กันมาก รูปลักษณ์เช่นนี้พวกเขายังไม่เคยเห็นมาก่อน แต่เพราะต่างก็เป็พ่อค้าจึงสนใจของแปลกใหม่และอยากลิ้มลองเป็นิสัย
พวกเขาจึงไม่ลังเลที่จะยื่นตะเกียบไปคีบมาใส่ปากทันที
“นี่คืออะไรกัน? รสนุ่มละมุนลิ้น ตัวเส้นดีดเด้งทั้งยังดูดซับน้ำต้มไก่ได้เป็อย่างดี”
“นั่นสิ ไม่เคยกินมาก่อนเลย เดาไม่ถูกจริงๆ”
เถ้าแก่เฉินไม่พูดอะไรมาก ครู่หนึ่งก็ให้สาวใช้มายกถ้วยที่พร่องไปแล้วกว่าครึ่งออกไป จากนั้นสาวใช้คนถัดไปก็เดินเข้ามา จานถัดมามีเฟิ่นเถียวสีใสราวกับธารน้ำแข็งวางอยู่หนึ่งชั้น ้าวางทับด้วยกุ้งผ่าหลัง สุดท้ายโรยทับด้วยหอมซอยกับกระเทียม ตัวกุ้งสดเนื้อเด้ง เส้นที่ปูอยู่ด้านล่างก็งดงามน่าลิ้มลอง
ครั้งนี้ไม่รอให้เถ้าแก่เฉินเชื้อเชิญ ทุกคนก็พร้อมใจกันขยับตะเกียบ จากนั้นก็พากันส่งเสียงอย่างตื่นเต้น “โอโห กินกับกุ้งสดใหม่เช่นนี้รสชาติเข้ากันดียิ่ง”
จานที่สามที่ถูกยกเข้ามา ลักษณะของเฟิ่นเถียวหนาขึ้นและกว้างขึ้น ผัดรวมกับหมูเค็มกะหล่ำปลีและโรยด้วยกระเทียมทอด จานนี้ก็เป็ที่นิยมมากเช่นกัน ทุกคนชิมกันไปจนเกือบหมดจาน
ตอนที่ทุกคนกำลังใจจดใจจ่อรอคอยว่าจานที่สี่จะเป็อะไรนั้น จานที่สาวใช้คนที่สี่ถือเข้ามากลับส่งกลิ่นหอมหวานอมเปรี้ยวลอยมาก่อน เนื้อขนาดเท่าฝ่ามือเด็กถูกหั่นเป็ชิ้นบางๆ ไม่รู้ว่าห่อสิ่งใดเอาไว้ จากนั้นนำไปทอดจนเหลืองกรอบ ราดทับด้วยน้ำปรุงรสรสเปรี้ยวหวาน โรยปิดท้ายด้วยผักชี รสชาติหอมหวานสดชื่น
จานที่ห้ายังคงเป็อาหารจานเนื้อ มีทั้งกุ้ง และปลาที่ห่ออะไรบางอย่างไว้ นำมาทอดให้เป็สีทอง จับคู่กับพริกไทยป่นและเกลือป่น...
อาหารทั้งหมดมีแปดจาน ถึงแม้จะกินไปแค่จานละคำสองคำแต่ก็เพียงพอให้ทุกคนรู้สึกอิ่มแล้ว
ตอนที่อาหารจานสุดท้ายถูกยกเข้ามา เสี่ยวหมี่ได้อาบน้ำแต่งตัวใหม่แล้วเดินเข้ามาที่โถงรับรองพร้อมสาวใช้สกุลเฉิน
ทุกคนเดิมทีก็เดาได้อยู่แล้วว่าของแปลกใหม่ของบ้านสกุลเฉินนี้น่าจะมาจากสกุลลู่แห่งหุบเขาหมี แต่เมื่อเห็นเสี่ยวหมี่เดินออกมา พวกเขาก็ยังตกตะลึงอยู่ดี
เป็แม่นางน้อยอายุสิบกว่าปีเท่านั้น นางสวมเสื้อติดกระดุมผ่าหน้าคอตั้งปักลายเมฆมงคลสีแดง ท่อนล่างสวมกระโปรงร้อยจีบสีงาช้าง ใบหน้างดงาม เรียวคิ้วดุจใบหลิว จมูกโด่ง ปากจิ้มลิ้มสีแดงสดยกยิ้มน้อยๆ ที่ดึงดูดที่สุดคงเป็ดวงตากลมโตคู่นั้นที่งามใสราวกับทะเลสาบบริสุทธิ์ ทั้งหมดนี้เมื่อรวมเข้ากับกำไลหยกเนื้อดีที่ข้อมือทั้งสองข้างก็ยิ่งส่งเสริมให้น่ามองจนต้องตื่นตะลึง
ในเมืองอันโจวมีข่าวลือไปทั่วว่า ในหมู่บ้านเขาหมีที่ชาวบ้านล้วนเป็นายพรานป่าเถื่อน ผู้นำของพวกเขาคือสกุลลู่ และคนที่ร้ายกาจที่สุดย่อมเป็บุตรสาวคนเล็กที่เป็ผู้ดูแลสกุลลู่ ได้ยินว่านางขึ้นเขาไปล่าเสือได้ ฤดูหนาวก็สามารถปลูกผักสดได้ และเพราะเื่ซื้อูเาก่อนหน้านี้ ถึงกับล้มที่ปรึกษาสุยที่มีตำแหน่งมั่นคงมาหลายปีลงได้ ได้ยินว่านางทั้งฉลาดและมีพลังวิเศษ แตะหินให้เป็ทองคำได้...
ก่อนหน้านี้นางเป็เพียงเื่เล่ามาเสมอ ยามนี้เมื่อมาคนเป็ๆ มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าจะไม่ให้ใคงยาก
เสี่ยวหมี่คารวะทุกคนอย่างมีมารยาท จากนั้นก็เดินไปนั่งลงข้างเถ้าแก่เฉิน ยิ้มเอ่ยว่า “เถ้าแก่ทุกท่าน อาหารเมื่อครู่พวกท่านพอใจกันหรือไม่เ้าคะ ฝีมือข้าไม่ได้เื่ ทำให้พวกท่านต้องหัวเราะเยาะแล้ว”
“ไม่เลยๆ ลำบากแม่นางลู่แล้ว”
“นั่นสิ ทั้งอร่อยและแปลกใหม่ ข้าเปิดโรงเตี๊ยมมาเป็สิบปี ยังไม่เคยได้ลิ้มลองอะไรแบบนี้มาก่อน ลำบากแม่นางลู่แล้ว”
ทุกคนต่างเอ่ยตอบอย่างถ่อมตัว ถึงแม้จะบอกว่าชมไปตามมารยาท แต่สังเกตดูแต่ละคนล้วนไม่มีสีหน้าดูถูกดูแคลนแต่อย่างใด
เถ้าแก่เฉินกวาดตามองทุกคนอย่างพอใจ เขาเห็นเสี่ยวหมี่เป็เหมือนบุตรสาวแท้ๆ ของตนเอง หากมีใครกล้าเอ่ยวาจาหรือทำกิริยาไม่เคารพนาง เขาก็ไม่รู้จะไปสู้หน้าบิดาลู่ได้อย่างไร อีกทั้งยังนับว่าเป็การไม่ไว้หน้าเขาอีกด้วย
เชิงอรรถ
[1] เฟิ่นเถียว(粉条)เส้นสีใสลักษณะคล้ายเส้นบุกหรือวุ้นเส้น