อันซิ่วเอ๋อร์เอ่ยรั้งสามี “ยังเช้านัก เหตุใดต้องรีบร้อนไปหาปลาด้วยเล่าเ้าคะ พักผ่อนต่ออีกสักครู่ค่อยไปก็ยังทัน”
“ไม่เป็ไร ข้าไปแต่เช้าหน่อย จะได้รีบกลับมาไวๆ” จางเจิ้นอันหยุดฝีเท้าครู่หนึ่ง แต่ไม่ได้หันมองกลับมา
อันซิ่วเอ๋อร์มองส่งแผ่นหลังเขาจนลับสายตา ในใจนึกตำหนิตนเอง ‘ไม่น่าใช้เขาไปตัดฟืนเลย น่าจะปล่อยให้เขาได้พักผ่อนมากกว่านี้’
เมื่อคิดว่าสามีขยันขันแข็งถึงเพียงนี้ นางก็มิอาจเกียจคร้านได้ จึงกลับเข้าห้องไปหยิบงานเย็บปักออกมานั่งทำที่หน้าประตูห้องดังเดิม
ทุกวันนี้ กลางวันนางปักผ้า ตกกลางคืนก็ถักพู่ห้อย งานปักต้องใช้ความประณีต ส่วนงานถักพู่ห้อยนั้นนางชำนาญยิ่งนัก แม้แสงไฟจะสลัวเพียงใด ก็ยังถักทอออกมาได้อย่างงดงาม
วันรุ่งขึ้นตรงกับวันตลาดนัดพอดี สองสามีภรรยาจึงตื่นกันั้แ่ฟ้ายังไม่สาง อันซิ่วเอ๋อร์บรรจงหวีผม แล้วคัดสรรเสื้อผ้าชุดที่ดีที่สุดออกมาสวมใส่ วิถีชนบทก็เป็เช่นนี้ วันธรรมดาอาจแต่งกายตามสบาย แต่เมื่อต้องออกนอกบ้าน ก็จำต้องพิถีพิถันให้ดูภูมิฐานขึ้นบ้าง
นี่เป็ครั้งแรกนับแต่แต่งงานที่นางจะได้เดินทางเข้าเมืองไปตลาดพร้อมจางเจิ้นอัน ในใจจึงเฝ้ารออยู่ไม่น้อย อีกทั้งครั้งนี้นางไม่ต้องเดินให้เมื่อยขาแล้ว เพราะสามารถนั่งเรือของสามีไปได้
หลังจากสะพายตะกร้าและเตรียมข้าวของเรียบร้อย จางเจิ้นอันก็นำปลาที่จับได้ตลอดหลายวันที่ผ่านมาใส่กระบุงหาบออกมา
ดูเหมือน่นี้เขาจะขยันเป็พิเศษ ปกติแล้วเวลาไปตลาดนัด ปลาในกระบุงมักมีไม่ถึงครึ่ง แต่ครานี้กลับมีเกินครึ่งกระบุง นับว่าจับปลาได้ผลดีทีเดียว
พอจางเจิ้นอันยกกระบุงปลาขึ้นเรือ อันซิ่วเอ๋อร์ก็ก้าวตามลงไป อันที่จริง จำนวนครั้งที่นางได้นั่งเรือลำนี้นับนิ้วได้ ครั้งนี้เป็เพียงครั้งที่สองเท่านั้น ปกตินางมักใช้เวลาอยู่ในบ้าน น้อยครั้งนักที่จะได้มายังเรือของเขา คราวก่อนที่มายังรู้สึกว่าเรือลำนี้สะอาดสะอ้านดี แต่ครั้งนี้กลับมีกลิ่นคาวปลาติดจางๆ แม้จะไม่ถึงกับเหม็นคาวก็ตาม
จางเจิ้นอันเทปลาจากกระบุงลงในกระชัง ก่อนจะนำไปผูกกระชังแช่ไว้ท้ายเรือ เพื่อให้ปลายังคงมีชีวิตชีวาระหว่างเดินทางไปตลาด
“นั่งดีๆ ล่ะ” จางเจิ้นอันเอ่ยขณะยกสมอเตรียมออกเรือ
อันซิ่วเอ๋อร์พยักหน้ารับ พลันสายตาเหลือบไปเห็นสตรีผู้หนึ่งในหมู่บ้านกำลังวิ่งหน้าตาตื่นมาทางนี้ พอเห็นว่าจางเจิ้นอันกำลังจะออกเรือ นางก็รีบะโเรียกแต่ไกล “นี่! เ้าจางตาบอด! รอก่อนสิ ข้าจะเข้าเมืองไปด้วย!”
จางเจิ้นอันเงยหน้ามองสตรีผู้นั้นบนฝั่ง นางสวมเสื้อลายดอกดวงโต รูปร่างอวบท้วม ก่อนนี้นางเคยมาซื้อปลาที่บ้านเขาบ้าง แต่เพิ่งจะเคยมาขออาศัยเรือไปด้วยเป็ครั้งแรก
“เรือข้ามิใช่เรือรับจ้าง” จางเจิ้นอันขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่ใคร่เต็มใจให้นางขึ้นมา
“โธ่เอ๊ย เ้าจางตาบอด! ไหนๆ เ้าก็จะเข้าเมืองอยู่แล้ว ให้ข้าติดเรือไปด้วยจะเป็ไรไป” สตรีผู้นั้นพูดพลางทำท่าจะก้าวลงเรือ
จางเจิ้นอันขมวดคิ้วมุ่น เขาไม่ใช่คนใจดีหรืออดทนกับใครง่ายๆ แต่พอเห็นอันซิ่วเอ๋อร์เดินออกมาจากเก๋งเรือ และนึกได้ว่าสตรีผู้นี้ก็เป็คนในหมู่บ้านเดียวกัน จึงถอยหลบไปด้านข้าง ทำทีเป็ไม่ใส่ใจ
อันที่จริง เมื่อครู่นี้อันซิ่วเอ๋อร์ได้ยินเสียงเอะอะจากในเก๋งเรือแล้ว สตรีผู้นี้มีชื่อเสียงด้านลบในหมู่บ้าน เพราะปากร้ายและชอบเอารัดเอาเปรียบ ชาวบ้านจึงขนานนามนางว่า 'ป้าปากจัด' การที่นางมาขออาศัยเรือไป แต่กลับพูดจาหยาบคายกับจางเจิ้นอันเช่นนี้ ทำให้อันซิ่วเอ๋อร์ขุ่นเคืองใจยิ่งนัก นางจึงเดินออกมาพร้อมรอยยิ้ม กล่าวว่า “ท่านป้า จะติดเรือไปด้วยก็ได้เ้าค่ะ ปกติผู้อื่นข้าคิดค่าโดยสารสองอีแปะ แต่เห็นว่าเป็คนกันเอง ข้าคิดท่านป้าเพียงอีแปะเดียวก็พอ”
พอได้ยินดังนั้น ป้าปากจัดก็ขมวดคิ้วทันควัน กล่าวอย่างไม่ละอาย “แหม ซิ่วเอ๋อร์ นี่คนกันเองแท้ๆ จะมาพูดเื่เงินทองให้มากความไปไย”
“ขนาดพี่น้องร่วมอุทรยังต้องคิดบัญชีกันเลยนะเ้าคะ พวกเราอาศัยเรือลำนี้ทำมาหากิน หากไม่เก็บค่าโดยสารบ้าง จะเอาเงินที่ไหนมาจุนเจือครอบครัวเล่าเ้าคะ” รอยยิ้มของอันซิ่วเอ๋อร์แฝงความเ็า “เหตุผลง่ายๆ เช่นนี้ ข้าว่าท่านป้าน่าจะเข้าใจนะเ้าคะ”
ใบหน้าของป้าปากจัดคล้ำลงทันที น้ำเสียงเต็มไปด้วยความดูแคลน “อันซิ่วเอ๋อร์เอ๊ย! เมื่อก่อนใครๆ ก็ลือกันว่าเ้าใจกว้างอย่างนั้น ใจดีอย่างนี้ ที่แท้ก็ขี้เหนียวเหมือนกันนี่เอง!”
อันซิ่วเอ๋อร์รู้ว่านางอับอายจนกลายเป็โกรธ จึงไม่ถือสา กล่าวตอบเรียบๆ ว่า “ท่านป้าก็รู้ว่านั่นเป็เพียงคำเล่าลือ ในเมื่อตอนนี้ท่านป้ารู้จักตัวตนที่แท้จริงของข้าแล้ว ก็ตัดสินใจเสียเถิดเ้าค่ะ หากประสงค์จะนั่งเรือก็จ่ายเงินมา ถ้าไม่คิดจะจ่าย ก็เชิญเดินไปตามสบายเถิด”
“เหอะ! ต่อให้ข้ามีเงิน ข้าก็ไม่นั่งเรือเหม็นคาวปลาของเ้าหรอก ใครจะอยากนั่งกัน!” ป้าปากจัดแค่นเสียงอย่างหัวเสีย แล้วสะบัดหน้าเดินจากไป
“ชิ! ตัวเองกินไม่ได้ก็มาบอกว่าองุ่นเปรี้ยว [1] !” อันซิ่วเอ๋อร์พึมพำไล่หลัง ก่อนจะหันกลับเข้าไปในเก๋งเรือ
จางเจิ้นอันถอนสมอออกเรือไปอย่างเงียบงัน รอจนเรือแล่นพ้น่น้ำวน เขาจึงเดินเข้ามาในเก๋งเรือ ถามขึ้นว่า “เป็อันใดไป? ยังขุ่นเคืองเื่เมื่อครู่อยู่รึ?”
“เปล่าเ้าค่ะ” อันซิ่วเอ๋อร์ส่ายหน้า “ท่านกลับไปคัดท้ายเรือเถิด เดี๋ยวเรือจะชนตลิ่งเข้า”
“รู้แล้วน่า” จางเจิ้นอันพยักหน้ารับ เดินกลับออกไป เมื่อครู่เขาเห็นนางมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก จึงคิดจะเข้ามาปลอบโยน แต่เมื่อนางไม่ปริปาก เขาก็ไม่เซ้าซี้ต่อ
อันที่จริง อันซิ่วเอ๋อร์ไม่ได้โกรธเคืองเื่ค่าโดยสาร หากเมื่อครู่ป้าปากจัดไม่เอ่ยเรียกจางเจิ้นอันด้วยท่าทีและน้ำเสียงหยาบคายเช่นนั้น นางก็อาจจะหยวนๆ ให้นั่งไปด้วย แต่พอเจอท่าทางโอหังเช่นนั้นเข้า อันซิ่วเอ๋อร์ก็พลันรู้สึกไม่ชอบหน้าขึ้นมา
ป้าปากจัดผู้นี้ ขึ้นชื่อลือชาเื่ปากคอเราะราย ชอบนินทาว่าร้ายและยุยงให้ชาวบ้านบาดหมางกัน คนในหมู่บ้านจึงไม่มีใครอยากมีเื่ด้วย ทำได้เพียงปล่อยเลยตามเลยไป ทว่าอันซิ่วเอ๋อร์หาได้เกรงกลัวไม่ นางอยากจะพูดสิ่งใดก็พูดไป ใครจะว่านางใจแคบก็ช่างปะไร อย่างไรเสียนางก็อยู่แต่ในบ้าน ไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจว่าใครจะนินทาว่ากระไร
ตลอดการเดินทาง บรรยากาศกลับสู่ความสงบ ทิวทัศน์สองฟากฝั่งคลองงดงาม ลมเย็นสบายพัดโชยปะทะใบหน้า ความขุ่นมัวเล็กน้อยเมื่อครู่จางหายไปจากใจอันซิ่วเอ๋อร์อย่างรวดเร็ว เมื่อถึงท่าเทียบเรือ จางเจิ้นอันนำเรือเข้าจอดเทียบฝั่งเรียบร้อย ทั้งสองก็ช่วยกันขนข้าวของขึ้นจากเรือ
“ท่านจะนำปลาไปส่งที่ภัตตาคารหรือเ้าคะ?” อันซิ่วเอ๋อร์เอ่ยถาม
“อืม” จางเจิ้นอันพยักหน้า
อันซิ่วเอ๋อร์จึงกล่าว “เช่นนั้น ท่านก็ไปส่งปลาเถิดเ้าค่ะ ส่วนข้าจะไปหาทำเลตั้งแผงก่อน”
“เ้าจะไปคนเดียวรึ?” จางเจิ้นอันถามด้วยน้ำเสียงไม่วางใจนัก
“ไม่เป็ไรเ้าค่ะ ในเมืองนี้ข้าก็เคยมาบ่อย ท่านส่งปลาเสร็จแล้วค่อยรีบตามมาสมทบก็ได้” อันซิ่วเอ๋อร์ว่าพลางโบกมือ “ข้าไปจับจองที่ก่อนนะเ้าคะ เดี๋ยวจะไม่มีที่เหมาะๆ”
“เช่นนั้นก็ได้” เมื่อได้ยินนางกล่าวเช่นนั้น จางเจิ้นอันคิดว่าตนรีบไปรีบกลับมาหานางก็คงไม่เป็ไร จึงพยักหน้าตกลง
อันซิ่วเอ๋อร์โบกมือให้เขาอีกครั้ง แล้วทั้งสองก็แยกย้ายกันไปคนละทิศทาง
วันนี้นางได้นั่งเรือมา ถือว่าถึงเร็วกว่าปกติมาก แต่กระนั้น เมื่อมาถึงถนนใหญ่ ก็พบว่ามีพ่อค้าแม่ค้าแผงลอยจำนวนไม่น้อยเริ่มจับจองพื้นที่ตั้งแผงกันแล้ว
อันซิ่วเอ๋อร์เลือกทำเล่กลางๆ ของถนน วางตะกร้าลง หยิบผ้าผืนหนึ่งออกมาปูบนพื้น ก่อนจะบรรจงจัดวางสินค้าในตะกร้าลงบนผืนผ้าอย่างเป็ระเบียบ การจัดวางเช่นนี้ดูน่ามองกว่าครั้งก่อนที่นางเพียงแขวนของไว้กับตะกร้าอยู่มาก
อีกทั้ง่นี้นางห่างหายจากการมาตลาดนัดไปนาน ทำให้มีเวลาสะสมผลงานไว้พอสมควร นอกจากผ้าเช็ดหน้าและเชือกถักหลากแบบแล้ว ยังมีของชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่ถักจากด้ายหลากสีสัน ทั้งรูปปลา ผีเสื้อ ก้อนทอง และเงื่อนมงคล อันซิ่วเอ๋อร์ยังเพิ่มความน่ารักด้วยการผูกพู่ห้อยไว้ที่ปลายทุกชิ้น เมื่อวางเรียงกันแล้ว สีสันสดใสก็ดึงดูดสายตาเป็อย่างยิ่ง
เวลานี้ผู้คนในตลาดยังไม่พลุกพล่านนัก บรรดาพ่อค้าแม่ค้าแผงลอยใกล้เคียงจึงเริ่มทักทายพูดคุยกัน ข้างแผงของอันซิ่วเอ๋อร์เป็สตรีสูงวัยผู้หนึ่งกำลังตั้งแผงขายแผ่นรองรองเท้า พอนางเห็นสินค้าบนแผงของอันซิ่วเอ๋อร์ก็ส่งเสียงชื่นชมในความแปลกตา แล้วเอ่ยถามว่า “แม่หนู ของพวกนี้เ้าทำเองทั้งหมดเลยรึ?”
“เ้าค่ะ” อันซิ่วเอ๋อร์ยิ้มตอบ พยักหน้าอย่างขวยเขินเล็กน้อย
“ฝีมือแม่หนูช่างประณีตเสียจริง” คุณป้าผู้นั้นมองสำรวจของชิ้นเล็กชิ้นน้อยบนแผง แต่ละชิ้นล้วนน่ารักงดงาม อดทึ่งในฝีมือไม่ได้
“ฝีมือข้าจะสู้ของท่านป้าได้อย่างไรเ้าคะ แผ่นรองรองเท้าที่ท่านป้าเย็บนี่ ฝีเข็มสม่ำเสมอยิ่งนัก ข้าว่าเดี๋ยวลูกค้าต้องเข้าร้านท่านป้าไม่ขาดสายแน่ๆ” อันซิ่วเอ๋อร์กล่าวชมกลับไป
เมื่อถูกชมเช่นนั้น คุณป้าก็ยิ้มหน้าบาน แต่ยังคงโบกมือปฏิเสธอย่างถ่อมตน “ฝีมือข้าจะมีอันใดดี แผ่นรองรองเท้าง่ายๆ ใครๆ ก็ทำเป็ ที่ทำมาขายก็เพราะที่บ้านฐานะไม่สู้ดีนัก พอมีเวลาว่างก็เลยทำออกมาขาย เผื่อจะพอเป็ค่ากับข้าวได้บ้าง”
“ถึงใครๆ จะทำเป็ แต่มันก็มีทั้งฝีมือดีและไม่ดี อย่างไรข้าก็ทำได้ไม่ประณีตเท่าท่านป้าหรอกเ้าค่ะ” อันซิ่วเอ๋อร์ยังคงเอ่ยชม
อันที่จริง แผ่นรองรองเท้าที่คุณป้าทำนั้นฝีมือดีมากทีเดียว ฝีเข็มที่เย็บขอบก็ถี่สม่ำเสมอ ตรงกลางยังเดินเส้นเสริมความแข็งแรง ดูแล้วทนทานน่าใช้ยิ่งนัก อีกทั้งยังมีหลากหลายรูปแบบ ทั้งสีสัน เนื้อผ้า ลวดลาย และขนาดต่างๆ ไม่น่าจะใช่แค่ของทำแก้เบื่ออย่างที่นางว่า ดูเหมือนช่างฝีมือที่ทำขายเป็อาชีพมากกว่า
แต่คนสมัยนี้นิยมถ่อมตัว อันซิ่วเอ๋อร์จึงไม่ได้เอ่ยทักท้วง เพียงสนทนาตอบรับไปสองสามประโยค นางกำลังจะหยิบด้ายไหมออกมานั่งถักต่อ ป้าอีกคนที่ขายรองเท้าอยู่แผงถัดไปก็เข้ามาชวนคุยด้วย
ป้าคนขายรองเท้าผู้นี้มีใบหน้ากลม อายุราวสี่สิบเศษ แต่งกายสะอาดสะอ้านเรียบง่าย ท่าทางใจดี อันซิ่วเอ๋อร์จึงสนทนาตอบไปอีกสองสามคำ พลางเหลือบมองสินค้าบนแผงของนาง
บนแผงมีรองเท้าปักลายสำหรับเด็กหญิงวางเรียงราย หลายคู่ดูประณีตงดงามเป็พิเศษ อันซิ่วเอ๋อร์มองแล้วก็อดรู้สึกอับอายไม่ได้ เผลอดึงชายกระโปรงลงเล็กน้อย เพื่อปิดบังรองเท้าคู่เก่าซอมซ่อของตน
นางรู้สึกว่ารองเท้าสวยๆ เหล่านี้ ใช่ว่านางจะทำไม่ได้ เพียงแต่ต้องใช้เวลาและลงแรงมาก ทั้งยังสิ้นเปลืองวัตถุดิบ นางรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง อย่างไรเสียนางก็อยู่แต่ในบ้าน นานๆ ครั้งจึงจะต้องลงนา หากใส่รองเท้าดีๆ เช่นนี้ไปทำงาน คงจะสิ้นเปลืองเกินไป
เมื่อคิดได้ดังนี้ สีหน้าของอันซิ่วเอ๋อร์ก็ผ่อนคลายลง นางพูดคุยสัพเพเหระกับป้าคนขายรองเท้าไปพลาง สำรวจสินค้าบนแผงไปพลาง ทันใดนั้น มือของนางก็เอื้อมไปหยิบรองเท้าเด็กคู่หนึ่งขึ้นมาพิจารณา
เป็รองเท้าหัวเสือคู่เล็กๆ ้าปักเป็รูปหัวเสือ แม้แต่ตัวรองเท้าก็ยังปักลายเสือ ดูน่ารักน่าเอ็นดูอย่างยิ่ง
“ว่าอย่างไรจ๊ะ แม่หนู ถูกใจคู่นี้รึ?” สตรีผู้นั้นเอียงหน้าเข้ามาถาม
“น่ารักจริงๆ เ้าค่ะ” อันซิ่วเอ๋อร์ตอบ พลางวางรองเท้ากลับที่เดิม “ฝีมือท่านป้าประณีตมากจริงๆ หากที่บ้านมีเ้าตัวเล็กสักคน ข้าคงรีบคว้าไว้ทันทีเ้าค่ะ”
เชิงอรรถ
[1] ดูถูกหรือทำเป็ไม่สนใจสิ่งที่ตนเองเอื้อมไม่ถึงหรือได้มาไม่ได้
