สหพันธ์หลงหลิงตั้งอยู่บนแผ่นดินหลงหลิงอีกทีหนึ่งผู้คนในแผ่นดินใหญ่ต่างก็ศรัทธาในเทพเจ็ดิญญาที่คอยส่งมอบพลังและความรุ่งเรืองให้แก่ผืนดินในสหพันธ์แบ่งออกเป็สี่ส่วนใหญ่ๆ คือเขตเหนือ เขตใต้ เขตตะวันออก และเขตตะวันตกที่แบ่งไปตามผู้ควบคุมที่แข็งแกร่งก็คือพันธมิตรนักปราชญ์ขาวของตระกูลซูดินแดนกาฬวาตของตระกูลถัง วิหาริญญาวิหคเขตใต้ และวิหารอัสดงเขตตะวันตกต่างก็มีพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่ทำให้กลายเป็สหพันธ์อันมหึมาและใจกลางอำนาจสูงสุดที่ถูกขนาดนามว่าเสนาบดีซึ่งคนทำหน้าที่อยู่ตอนนี้ก็คือหนึ่งในพันธมิตรนักปราชญ์ขาวอย่างซูซีเฉิง
และเทพศาสตราหญิงซูซีอวี๋ก็คือน้องสาวของซูซีเฉิงดังนั้นการที่พี่เสวียนยินบอกว่าไม่จำเป็อย่าไปผิดใจกับนางก็เพราะเหตุนี้
เสียงรถดังขึ้นทั้งคืนกระทั่งมาถึงจุดมุ่งหมาย
...
เมืองหรูตั้งอยู่บนพื้นที่ราบดุจดั่งพญาอสรพิษที่เลื้อยเกาะแผ่นดินใหญ่เชื่อมต่อกันนับร้อยลี้สิ่งปลูกสร้างในเมืองสร้างไว้เรียงชิดติดกันบนแผ่นที่เจริญรุ่งเรืองจนยากจะเปรียบส่วนกำแพงเมืองก็เป็แผ่นศิลาที่ทอแสงประกายเป็เส้นสายระยิบระยับทอดยาวตั้งตระหง่านเป็ค่ายกลที่คุ้มกันเมืองแห่งนี้ไว้ระดับการคุ้มกันของเมืองที่ได้ชื่อว่าเป็ใจกลางก็ต้องไม่ใช่สิ่งที่เมืองเล็กๆอย่างหนินเย่เฉิงจะเทียบได้เป็ธรรมดา
มองออกไปไกลบนคูเมืองมีนายทหารสวมชุดเกราะในมือถือหอกายืนระนาวราวกับผืนป่าและนั่นก็คือทหารผู้มีพละกำลังที่คอยคุ้มกันเมืองหลินเสี่ยเฉิงและโลกของผู้ฝึกฝนิญญานับหมื่นแห่งนี้นี่เอง
...
หลินเสี่ยเมืองหลวงทางตอนเหนือที่ตั้งของสำนักหมื่นิญญา ถึงสักที!
หลังจากเข้าในตัวเมืองดวงไฟสองข้างทางก็ส่องสว่างจากสิ่งที่เคยมืดมิดก็เผยให้เห็นความเจริญของเมืองผู้ดีให้สว่างไสวไปตลอดเส้นทาง
พอเห็นข้ามองจนตาค้างปู้เสวียนยินก็เข้ามากระทบไหล่เบาๆ แล้วพูดขึ้น “เมืองหลินเสี่ยเฉิงสวยใช่ไหมล่ะเสี่ยวเชวียน”
“อื้ม สวย!”
“สำนักหมื่นิญญาสวยกว่านี้อีกรับไป เ้าเก็บสิ่งนี้ไว้” นางยื่นบัตรแผ่นหนึ่งมาให้ข้า
ข้าเอามาดูก็เห็นว่ามีตัวเลขเป็รหัสอยู่หนึ่งแถวแถม้ายังมีตัวหนังสือตัวใหญ่เขียนเอาไว้ว่า ‘ศิษย์ตัวสำรอง’ข้ามองแล้วอดที่จะชะงักไปไม่ได้
“สิ่งนี้คือ?”
“บัตรของเ้าเมื่ออยู่ในสำนักหมื่นิญญาั้แ่นี้ไปมันจะเป็เหมือนบัตรประจำตัวที่สามารถใช้มันไปกินข้าวที่โรงอาหารของสำนักแต่แน่นอนว่ากินเยอะไม่ได้เพราะมันมีการจำกัดจำนวน”
“อื้ม แล้วศิษย์สำรองที่ว่าคืออะไร?”
“เ้ายังไม่ได้ปลุกพลัง์จะให้ยืดอกทะนงตนเข้าไปเป็ศิษย์ของสำนักมันก็คงจะไม่ได้ดังนั้นจะต้องเริ่มจากศิษย์ตัวสำรองไงล่ะ!”
ตอนที่นั่งมองรอยยิ้มของพี่เสวียนยินข้าก็รู้สึกเหมือนตัวเองตกหลุมพรางของนางเข้าเรียบร้อยสัญชาตญาณความหวาดระแวงมันก็เกิดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว “ยังมีเื่ไม่ดีอะไรอีกท่านบอกข้ามารวดเดียวเลยดีกว่า”
“จริงๆ มันก็ไม่มีอะไรหรอกแต่เพราะเ้าเป็ศิษย์ตัวสำรอง ดังนั้นก็เลยเข้าไปเรียนกับศิษย์ใหม่ของสำนักไม่ได้ข้าจะจัดให้เ้าไปอยู่แผนกที่น่าสนใจแผนกหนึ่งชื่อว่า เกลากระบี่!”
“แผนกเกลากระบี่ หมายความว่าไง?”ลางสังหรณ์ที่ไม่ดีของข้าเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
คนขับที่นั่งอยู่เบาะหน้าหัวเราะคิกคักแล้วพูดออกมา“ชื่อเต็มๆ ก็คือช่วยสำนักลับมีดลับกระบี่ แล้วช่วยงานให้กับศิษย์ใหม่ยังไงล่ะ”
“อะไรนะ!?”
ข้าเหมือนจะรู้สึกว่าตัวเองฟังผิด
แต่พี่เสวียนยินกลับเบิกตาคมสวยคู่นั้นหันไปพูดกับคนขับ“เ้าเงียบไปเลยนะ ไม่ต้องพูดมาก!”
“ขอรับ ท่านรองเ้าสำนัก!”คนขับรถตัวสั่นด้วยความกลัว
หลังจากนั้นปู้เสวียนยินก็เปลี่ยนมาพูดกับข้าด้วยสีหน้าที่ดูอ่อนโยน“แต่ยังไงแผนกเกลากระบี่นั่นก็เป็แผนกที่มีความพิเศษ บางทีอาจจะมีโอกาสที่แผนกอื่นไม่มีก็ได้สรุปแล้วคือเ้าจะต้องคว้าโอกาสนี้ไว้ให้ดีวางใจเถอะน่าข้าจะเอาเ้าไปลำบากได้ยังไง ที่นั่นมีผู้เฒ่าที่อ่อนโยนคนหนึ่งเขาจะบอกเ้าเองว่าแต่ละวันต้องทำอะไรและไม่ควรทำอะไรบ้างข้าเองก็จะไปหาเ้าบ่อยๆ”
ข้าเชื่อบ้างไม่เชื่อบ้างแล้วถามขึ้น“พี่...ถึงแม้ข้าไม่ใช่น้องแท้ๆ ของเ้า แต่ว่า...”
“ข้ารู้น่า...”
ปู้เสวียนยินว่าพลางยิ้มออกมา“เ้าสงบสติหน่อย คอยฝึกฝนเพลงหมัดทุกวันถึงแม้ปราณิญญาจะสลายไปแล้วแต่ก็อย่าละทิ้งการฝึกพละกำลังเมื่ออยู่ในนั้นเ้าต้องทำตัวดีๆแล้วข้าจะพยายามหาหนทางรักษาเื่ปราณิญญาของเ้าเอง”
ข้าก็รู้ว่าที่ท่านพี่ทำไปเพราะอยากให้ข้าได้ดีไม่เช่นนั้นก็คงไม่ทำให้เป็เื่ใหญ่แบบนี้แน่นอน
...
รถค่อยๆขับเข้ามาในเขตทางตะวันตกของเมืองหลินเสี่ยเฉิงไกลออกไปหน่อยก็จะเห็นรูปสลักขนาดใหญ่สองอันที่ตั้งอยู่ท่ามกลางความมืดอันหนึ่งเป็นักรบที่ในมือถือดาบเล่มใหญ่และสวมชุดเกราะ ส่วนด้านหนึ่งเป็ผู้เฒ่าถือไม้เท้าที่ราวกับมีชีวิตแผ่พลังที่ยิ่งใหญ่คล้ายว่าสามารถทำลายล้างได้ทุกเมื่อและรถก็ขับผ่านระหว่างหุ่นสลักทั้งสองไปยังประตูหินั์สลักชื่อตัวใหญ่เอาไว้...สำนักหมื่นิญญา
ถึงที่หมายแล้ว
ในยามดึกเช่นนี้สำนักก็สงบเงียบไปทั่วบริเวณ แต่ก็ยังสามารถมองเห็นตึกแต่ละแห่งพร้อมกับสนามฝึกฝนได้อย่างชัดเจนมันสว่างถึงขั้นมองเห็นท่อนเหล็กและท่อนไม้ที่เต็มไปด้วยร่องรอยนับหมื่นนับพันครั้งของการฟันรอยกระบี่ที่ฟันลงไปเห็นความยาวกว่าสิบเิเนั้นนบ่งบอกว่าผู้ใช้กระบี่ได้ฝึกฝนไปถึงขั้นที่แข็งแกร่งแล้ว
นี่ถือเป็สำนักในรูปแบบของสวนป่าโบราณที่มีศาลาแท่นหิน และศาลาพักริมน้ำอยู่มากมายหลายที่ มันถูกจัดวางอย่างงามสง่าทุกส่วนมีกลิ่นอายของความเก่าแก่ที่ชัดเจนมันสวยงามจนยากที่จะอธิบายออกมาเป็คำพูดได้เพราะแบบนี้เองพี่เสวียนยินถึงบอกว่าที่นี่สวยยิ่งกว่า
พอรถผ่านอาคารสูงที่เรียงรายมาแล้วปู้เสวียนยินก็เปิดประตูรถออกแล้วชี้ไปยังจุดที่มืดครึ้ม “ปะเดี๋ยวข้าจะพาเ้าไปที่แผนกเกลากระบี่!”
ข้าจับห่อผ้าเดินทางแล้วเดินตามนางเข้าไปในความมืด
จริงๆแล้วแผนกเกลากระบี่ก็เป็เพียงกระท่อมไม้หลังเล็กที่ด้านในมีเพียงแสงไฟสลัวๆ
พี่เสวียนยินยืนอยู่หน้าประตูไม้ก่อนจะเคาะมันสองสามที“ข้าปู้เสวียนยิน พาศิษย์ตัวสำรองคนใหม่มาส่งให้ท่านและท่านก็ต้องสุภาพกับเขาหน่อยล่ะ”
“...”
ไม่มีเสียงตอบรับจากข้างใน ข้าเองก็ยืนงง
“เข้าไปกันเถอะ”ปู้เสวียนยินยิ้มสวยๆ ออกมาแล้วพูดต่อ “มันจะเป็บ้านของเ้าใน่ที่เ้าอยู่ที่นี่”
ว่าแล้วนางก็หาวแบบี้เีออกมาแล้วพูดขึ้น“ข้ากลับไปพักผ่อนก่อนแล้วกัน”
ข้ายังไม่ทันได้อ้าปากพูดนางก็หายวับเข้าไปในเงามืดอย่างรวดเร็ว
...
แอ๊ด...
ข้าผลักประตูไม้เข้าไปก็เห็นตาเฒ่าคนหนึ่งกำลังใช้เครื่องขัดเกลาลับกระบี่ให้เงาอยู่ไม่ไกลพวกนี้ล้วนแล้วแต่เป็กระบี่ที่นักเรียนใช้ในการฝึกฝน มีหลายอันที่ใช้ฟันจนคดงอจึงต้องนำมาตีและซ่อมแซมใหม่ และนี่ก็น่าจะเป็งานของฝ่ายเกลากระบี่แล้วล่ะ
ตาเฒ่าที่มีรอยย่นเต็มใบหน้ากำลังใจจดใจจ่ออยู่กับการลับเงากระบี่โดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองข้าเลยสักนิดกระทั่งข้าโยนห่อผ้าลงบนเตียงเสียงดัง
“เ้าหนุ่มเ้าคือศิษย์ตัวสำรองที่รองเ้าสำนักพามางั้นหรือ? ชื่ออะไรล่ะ?”
“ปู้อี้เชวียน” ข้าพูดแบบเรียบๆ
“อะไรอี้เชวียนนะ?”
“ปู้...ปู้เชวียน!”
“ปู้อะไรเชวียน?”
“ปู้อี้...เชวียน!”
“ปู้อี้อะไรนะ?”
“ช่างเถอะท่านอยากเรียกอะไรก็เรียกแล้วกัน” ข้าไม่อยากถือสาอะไรหูของเขาก็คงจะไม่ค่อยดีแล้วล่ะ
“เ้าหนุ่มเมื่อสองปีก่อนข้าโดนเสียงฟ้าผ่าทำให้หูหนวก ก็เลยไม่ค่อยดีเท่าไรเ้าเป็เด็กที่มาใหม่ใช่ไหมล่ะ? ยกเอากองกระบี่นั่นไปไว้ที่เครื่องลับนั่นไป”
“ได้ขอรับ ผู้าุโ”
“อย่าเรียกผู้าุโเรียกว่าอาจารย์” เขาหรี่ตายิ้มให้ความรู้สึกที่ครุ่นคิด
เสียงหัวเราะนั่นทำให้ข้ารู้สึกเย็นวาบไปทั่วสันหลัง“ท่านเป็อาจารย์?ท่านจะสอนอะไรให้ข้าได้บ้าง?”
“อย่างแรก สอนเ้าลับกระบี่”
...
ข้านั่งลงในท่าคร่อมเครื่องลับไว้และใช้เท้าเหยียบที่ล้อก่อนวางกระบี่ที่ใช้งานจนทื่อครอบลงบนเครื่องลับเมื่อเริ่มไปได้ครู่หนึ่งคมกระบี่ก็เบนออก
ตาเฒ่าหัวเราะออกมา “ใจไม่นิ่งแรงก็ไม่นิ่งตาม เ้าคิดว่าการลับคมกระบี่เป็เื่ที่ใครจะทำก็ได้งั้นหรือ?”
ข้าชะงักไปพักหนึ่งก่อนจะปรับให้ตรงเพิ่มแรงมือและแรงเท้าให้มั่นคงแล้วหมุนแก่นกลางเครื่องไปทางซ้ายพอออกแรงกดลงไปครั้งนี้คมกระบี่ก็ไม่ได้เบนหนีประกายไฟจากการเสียดสีก็กระเด็นออกมา
ตาเฒ่าส่ายหัวแล้วพูดขึ้น“ของแบบนี้ขอแค่เป็คนก็ทำได้สินะ...”
“...”
ตาเฒ่าลุกขึ้นยืนคว้าด้ามค้อนไว้แน่นแล้วซัดลงบนลงกระบี่ที่คดงอส่งเสียงดังขึ้นเป็จังหวะ
คนที่มาใหม่อย่างข้าก็คงจะหนีไม่พ้นที่จะต้องอยู่ที่นี่เพื่อขัดเกลากระบี่คิดได้แบบนี้แล้วก็รู้สึกไม่เป็สุขเท่าไรนัก
“จุดปราณสามภพของเ้าบวมแดงไปโดนใครสูบปราณิญญามาหรือไง?” เขาที่เหมือนจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่างถามขึ้นอย่างเรียบๆ
“ทำนองนั้น”
ข้าพูดเสียงต่ำใครมันจะยังหัวเราะออกเมื่อโดนเื่แบบนี้กัน
แต่ตาเฒ่านั้นกลับหัวเราะออกมา“ปราณิญญาก็เหมือนสายน้ำ ส่วนวิหาริญญาก็เป็เหมือนลำคลองสายน้ำในคลองของเ้าแห้งไปแล้ว แต่ลำคลองนั่นยังคงอยู่เมื่อพายุฝนผ่านเข้ามาก็จะทำให้เ้าเหมือนได้เกิดใหม่ มันมีอะไรให้น่าเศร้าซึมกัน?”
ประโยคสั้นแต่กลับแฝงไปด้วยนัยมากมายข้ารีบหันไปมองเขาด้วยความประหลาดใจสำนักหมื่นิญญาแห่งนี้เป็แหล่งรวมช้างเผือกตามคำเล่าลือจริงๆขนาดตาเฒ่าที่ลับคมกระบี่ก็ยังไม่เว้น
“ไม่ต้องมองข้าคืนนี้จะต้องลับกระบี่ทั้งกองให้เสร็จเพราะพรุ่งนี้เก้าโมงเช้าจะต้องส่งไปให้สนามฝึกฝนแปดสนาม”
“ขอรับ”
กว่าจะจัดการลับคมกระบี่ทื่อๆ ให้เสร็จเวลาก็ล่วงเลยมาจนถึงครึ่งค่อนคืนอาจเป็เพราะเหนื่อยจนเกินไปทำให้พอล้มตัวลงนอนก็หลับโดยไม่สนใจว่าเตียงไม้นี้จะแข็งขนาดไหน
...
พอรุ่งเช้าข้าก็ถูกปลุกด้วยนาฬิกาปลุกแบบเก่าที่ส่งเสียงดังระงมไปทั่วปลุกจนตื่น
เจ็ดโมงแล้ว
ข้ารีบลุกขึ้นล้างหน้าล้างตาด้านนอกประตูก็มีเสียงหญิงสาวนางหนึ่งดังขึ้นมา “ปู้อี้เชวียนอยู่หรือเป่ลา?”
ข้าเดินออกไปก็เจอกับหญิงสาวหน้าตาสะสวยที่สวมใส่เครื่องแบบอายุราวๆยี่สิบห้าถึงยี่สิบหกปี ยืนหอบเสื้อผ้าที่ถูกพับมาเป็ชั้นๆ มาด้วย“ข้าเป็ผู้ช่วยของรองเ้าสำนักปู้เสวียนยิน ชื่อว่าสวี่ลู่ รับไปสินี่คือเสื้อผ้าของเ้าสองชุดแล้วก็ตารางงานของเ้าในวันนี้”
“อ้อ ขอบคุณเ้ามากผู้ช่วยสวี่”
“ไม่เป็ไรรีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเร็ว วันนี้รองเ้าสำนักไม่ว่างก็เลยให้ข้าพาเ้าไปทำความคุ้นเคยกับสำนักทั้งหมดเดี๋ยวเ้าจะไม่รู้ว่าอะไรเป็อะไร ตาเฒ่าที่ลับกระบี่นั่นไม่พาเ้าไปหรอกนะ”
“อื้ม”
พอรับคำข้าก็เข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าด้านในชุดของสำนักหมื่นิญญาเป็แบบสมัยใหม่ทั้งชุดมีกางเกงขายาว รองเท้าหนังสีดำเสื้อเชิ้ตสีขาวรวมถึงเสื้อสูทคอปกสีดำ แต่ที่หน้าอกกลับมีคำว่า “ตัวสำรอง”คอยบดบังความสวยงามอยู่ เปลี่ยนชุดไปก็ลองยืดเนื้อผ้านั่นไปความยืดหยุ่นที่ดีมากนั่นทำให้คิดว่ามันน่าจะทำขึ้นโดย “ผ้าฝ้ายหมื่นพับ”ที่มีความยืดหยุ่นไม่ทำให้ขาดง่ายๆ และเหมาะกับคนที่ฝึกวรยุทธ์อย่างมาก
ข้าสวมชุดนักเรียนสำรองนั่นก้าวออกมาจากกระท่อมไม้สวี่ลู่กลับชะงักไปเล็กน้อย ใบหน้าเรียวรูปไข่บ่งบอกถึงความชอบ“ไม่เสียแรงที่เป็น้องชายของรองเ้าสำนักเสื้อผ้าทั้งชุดมีไม่กี่คนในสำนักที่จะสวมใส่แล้วดูดีขนาดนี้ได้”
ข้าพยักหน้าแล้วยิ้ม“ขอบคุณสำหรับคำชมขอรับผู้ช่วยสวี่ พวกเราไปดูที่โรงอาหารเถอะข้ารู้สึกหิวแล้วล่ะ”
พูดยังไม่ทันขาดคำ ท้องก็ร้องออกมามันน่าอายชะมัด!
สวี่ลู่ยิ้มบางก่อนจะพูดขึ้น “อื้มๆไปกันเถอะ พาเ้าไปที่โรงอาหารกินข้าวกินปลาให้อิ่มก่อน แล้วค่อยไปดูที่อื่น”
“ขอรับ”
...
ผ่านป่าไม้เขียวหลายแห่ง เดินไปข้างหน้าอีกนิดก็จะเป็สำนักจริงๆข้าเดินอยู่บนถนนก็เพิ่งเห็นว่าชุดของนักเรียนหญิงกลับเป็กระโปรงสั้น เสื้อเชิ้ตเนกไทเล็กๆ และเสื้อคลุม พอได้เห็นแบบนี้ตาก็เป็ประกายขึ้นมาทันทีเพราะทรวดทรงองค์เอวที่ได้สัดส่วน ทั้งอายุก็น้อยแถมยังสะสวยอีกต่างหาก!
พอลมพัดชายกระโปรงก็ปลิวขึ้นเผยให้เห็นขาขาวๆ คู่นั้น...
“ให้ตายเถอะ...นี่มัน์ชัดๆ”
ข้าแทบจะตีหน้าขาและหัวเราะชอบใจออกมาแต่ก็อดทนไว้ได้