คงเป็เพราะมีแต่พวกลูกคนรวยก็เลยทำให้ศิษย์หญิงในสำนักแต่ละนางหน้าตาค่อนข้างสวยพอเอามาเทียบกันกับผู้หญิงที่เมืองหยินเย่เฉิงแล้วทำให้พวกนางดูไม่ได้เลยทีเดียวข้านึกในใจพลางเดินตามทางเท้ากับผู้ช่วยสวี่ไปด้วยโรงอาหารก็อยู่ไม่ไกลจากกระท่อมลับมีดของข้านักตอนนี้ก็เป็เวลากินข้าวพอดีทำให้มีศิษย์มากมายทั้งชายและหญิงต่างก็พากันพูดคุยเื่การเข้าเรียนและการฝึกฝนอย่างออกรสออกชาติ
ส่วนตัวข้าเองดูเหมือนว่าจะเข้ากับพวกนั้นไม่ได้เลยสักนิดเพราะยังไงในสายตาของศิษย์พวกนี้ข้าก็เป็เพียงคนต่างพวกที่ไม่มีพลังิญญาเลยสักนิดแถมยังปลุกพลัง์ไม่ได้อีกต่างหาก
“ถึงแล้ว และนี่ก็คือโรงอาหาร”
สวี่ลู่ว่าพลางยิ้มออกมา“จะให้ข้าอยู่เป็เพื่อนเ้าไหมล่ะ?”
“เอ่อ...เื่นั้น ก็ได้ ขอบคุณท่านมากนะผู้ช่วยสวี่”
“ไปกันเถอะ”
...
อาหารเช้ามีให้เลือกไม่มากนักอย่างขนมปัง นม ไข่อะไรจำพวกนี้ พอข้ายื่นบัตรศิษย์สำรองให้พ่อครัวคนนั้นก็ตักไข่สามฟอง ขนมปังชิ้นใหญ่สองก้อนและนมแก้วโตมาให้
สวี่ลู่เพียงแค่นั่งดูข้ากินอยู่ฝั่งตรงข้ามเท่านั้นแต่ไม่ได้กินด้วยกัน
อาหารบนจานถูกกินเข้าไปอย่างรวดเร็วแต่มันก็เหมือนว่ากินเท่าไรก็ไม่อิ่มขนาดว่ากินเข้าไปทั้งหมดแล้วท้องข้ามันก็ยังรู้สึกหิวอยู่ดี
“มีอะไร?”
สวี่ลู่มองมาเหมือนจะเข้าใจ“เ้ายังไม่อิ่ม?”
“อืม...” ข้าว่าพลางมองดูบัตรศิษย์ของตัวเองแล้วพูดต่อ“บัตรใบนี้ของข้ามันมีการกำหนดจำนวนอาหารเอาไว้เลยทำให้ข้าไปซื้อต่อไม่ได้อีกแล้ว”
“ไม่เป็ไร ใช้ของข้าก็ได้เพราะมันไม่จำกัด”สวี่ลู่ว่าแล้วก็ล้วงเอาบัตรสีเงินออกมา
“ขอบใจท่านมากนะ”
ข้าบอกขอบคุณแล้วก็ไปซื้ออาหารมาอีกสองชุด
ผลสุดท้ายข้าก็กินอาหารสำหรับเจ็ดคนเข้าไปถึงขั้นเกิดความสงสัยกับตัวเองว่าข้ากินจุขนาดนี้ั้แ่เมื่อไร?
สวี่ลู่นางถึงกับอ้าปากค้างพูดไม่ออกเมื่อเห็นข้ากินเข้าไปเยอะขนาดนี้ไม่เพียงแค่นางคนเดียวแต่ศิษย์ชายหญิงคนอื่นๆ ก็มองแล้วหันไปซุบซิบกัน
“ดูนั่นเร็ว เ้าศิษย์สำรองคนนั้นกินเข้าไปตั้งเจ็ดจานแหนะ!”
“กินเยอะอะไรขนาดนั้น!”
“คนที่นั่งตรงข้ามนั่นมันผู้ช่วยสวี่ไม่ใช่เหรอ?”
“ทำไมผู้ช่วยสวี่ถึงทำหน้าเหมือนจะร้องไห้แบบนั้นล่ะ?”
...
ข้าเช็ดปากตัวเองอย่างเขินๆที่ตัวเองกินจนเกือบทำให้สวี่ลู่ร้องไห้ออกมาเพราะถึงแม้ว่าบัตรใบนี้มันจะไม่จำกัดจำนวน แต่มันจะต้องเป็เงินเดือนของนางแน่!พอคิดได้แบบนี้ก็เลยลุกขึ้นโค้งคำนับนางไปหนึ่งที“ข้าต้องขอโทษท่านด้วยนะผู้ช่วยสวี่รอข้าหาเงินได้เมื่อไรจะต้องเอามาคืนท่านแน่...”
สวี่ลู่หัวเราะออกมาก่อนจะปัดกระโปรงลุกขึ้นแล้วพูดอย่างเป็กันเอง“เ้าเด็กโง่ มัวแต่คิดอะไรอยู่? กินอิ่มแล้วก็ไปเถอะข้าจะพาเ้าไปดูสนามฝึก เพราะนั่นจะเป็ที่ที่เ้าจะต้องไปเป็ประจำแน่ๆ”
“อื้ม”
สนามฝึกของสำนักหมื่นิญญากว้างใหญ่และมีทั้งหมดแปดสนามเห็นว่าสามารถให้ศิษย์สองพันคนฝึกได้พร้อมกันในตอนนี้เองก็มีศิษย์ทยอยกันเข้าไปในสนามต่างๆบ้างก็มีบางส่วนที่หอบตำราเรียนวิ่งเข้าห้องไปเรียนพวกทฤษฎีเมื่อสวี่ลู่บอกกับข้าว่าสนามแต่ละแห่งอยู่ตรงไหนเสร็จแล้วก็ให้ข้าไปส่งกระบี่ที่ใช้ในการฝึกตามตารางงานที่ได้มาก็เป็อันเรียบร้อย
และในตอนที่ยืนมองสวี่ลู่ห่างออกไปนั่นเองก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากด้านหลัง “พี่เชวียน? ใช่พี่จริงๆด้วย!”
นี่มัน...เสียงของซ้งเชียน!
ข้าหันกลับไปอย่างรวดเร็วและคนที่ยืนอยู่ข้างหลังก็เป็เ้าเด็กนั่นจริงๆแถมยังสวมชุดศิษย์ของสำนักหมื่นิญญาอีกต่างหาก
ทั้งสองไม่ทันพูดอะไรก็โผเข้ากอดกันอย่างรวดเร็ว
“พี่เชวียน พี่มาอยู่ที่สำนักหมื่นิญญานี่ได้ยังไง?”
ซ้งเชียนถามออกมาก่อนจะมีบางอย่างทำให้เขารู้สึกละอายใจแล้วพูดขึ้นอีกครั้ง“คือว่า...หลังจากที่ปราณิญญาของพี่ถูกเผาไปแล้ว จริงๆข้าก็อยากจะอยู่เป็เพื่อนจนพี่ตื่นเหมือนกันแต่ว่าทางสำนักเปิดเรียนแล้วและถ้าขืนข้ายังไม่มาท่านพ่อก็คงจะตัดขาข้าทิ้งแน่ๆ”
ข้าเองก็เข้าใจดี“ไม่เป็ไรหรอกเสี่ยวเชียน ตอนนี้ข้าก็เป็ศิษย์สำรองของสำนักหมื่นิญญาแล้วไง”
“ศิษย์สำรองนั่นแหละ...”
ซ้งเชียนพูดขึ้น“ศิษย์สำรองก็ไม่เป็ไร อย่างน้อยเราสองพี่น้องก็ได้อยู่ด้วยกันอีกครั้งไง”
“อื้ม พี่เสวียนยินแนะนำข้าให้ทำงานอยู่ที่แผนกลับมีดถ้าเ้าว่างเมื่อไรก็มาหาข้าได้”
“ตกลง คำไหนคำนั้น แต่ว่าแผนกลับมีดนั่น...”ซ้งเชียนพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่มีลับลมคมใน แววตาบ่งบอกถึงความรู้สึกเห็นใจ
ข้าเห็นแล้วถามขึ้นด้วยแววตาดุๆ“เ้าเด็กนี่ มีอะไรก็ว่ามา”
“เอาเป็ว่า...” เขาใช้มือซ้ายหอบหนังสือไว้แน่นส่วนมือขวาก็ทำไม้ทำมือประกอบคำพูดตัวเอง “โรงเรียนหมื่นิญญาเป็เหมือนป้อมปราการทองส่วนแต่ละแผนกก็เป็เหมือนส่วนหนึ่งของป้อมปราการ จุดสูงสุดก็คือห้องของเ้าสำนักรองเ้าสำนัก ฝ่ายา รองลงมาก็เป็ฝ่ายสามสำนักย่อยฝ่ายใน คือสำนักเฟิงฉีสำนักหยุนต้งแล้วก็สำนักสีเลี้ยน ต่อไปก็สำนักย่อยฝ่ายนอก อย่างสำนักจวี๋ฉี สำนักจิงอิงสำนักขั้นสูง สำนักขั้นกลาง และสำนักขั้นเริ่มต้นข้าเป็ศิษย์ใหม่ก็อยู่ในตำหนักระดับต้นที่ว่าส่วนอันดับสี่ก็คือจัดการเื่ทำความสะอาด ขจัดสิ่งสกปรก ประดิษฐ์อาวุธอันดับห้าเป็โรงอาหาร ซ่อมแซม การเดินทาง แล้วก็เื่การอาบน้ำต่ำลงไปอีกก็คืออันดับหกที่ต่ำที่สุด มีเพียงห้องแห่งหนึ่งก็คือเกลากระบี่ฝ่ายท่อน้ำที่คอยดูแลพวกทางเดินน้ำโดยเฉพาะ”
พูดแล้วซ้งเชียนก็ตบบ่าข้าสองสามทีเหมือนเป็การปลอบใจ “แต่ก็ไม่เป็ไร พี่เชียนของข้าเก่งขนาดนี้อย่าว่าแต่เกลากระบี่เลยถึงแม้จะไปทำงานฝ่ายทางเดินน้ำก็สามารถพุ่งทะยานสู่ท้องฟ้าโบยบินไกลนับพันลี้ ใช่ไหม?”
ข้าปรายตามองแล้วพูดขึ้น“รีบฉวยโอกาสตอนข้ายังไม่ลงไม้ลงมือไปเข้าเรียนซะ!”
ซ้งเชียนหัวเราะออกมาก่อนจะโบกมือลา“ข้าไปเรียนก่อนนะพี่เชียน เลิกแล้วจะไปหา”
“อืม”
ถึงยังไงข้าก็อดที่จะรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาไม่ได้พอมีซ้งเชียนอยู่ในสำนักเรียนเดียวกันแบบนี้ เพราะอย่างน้อยก็ไม่ต้องเดียวดาย
...
กลับมาถึงห้องเกลากระบี่ข้าก็เอาตารางงานขึ้นมาดูสนามแรกต้องเอากระบี่ที่ใช้ในการฝึกไปเพิ่ม 46 เล่มพอจัดการขนใส่รถลากแล้วก็เข็นไปยังตำแหน่งขัดเกลาในระหว่างการทำงานตาเฒ่าก็ไม่ได้โผล่ออกมาเลยสักครั้งเหมือนกับว่าหายไปแล้วอย่างไรอย่างนั้น
เขาไม่อยู่ก็ดีเพราะแบบนี้ข้าก็จะได้เป็เ้าของห้องเกลาแห่งนี้แล้วล่ะ!
ถึงแม้ว่ากระบี่ที่ใช้ในการฝึกมันจะไม่ได้หนักอะไรมากแต่เพราะเมื่อก่อนชินกับการใช้พลังิญญาไปแล้วพอต้องมาใช้พลังกายตัวเองแบบนี้ก็เลยทำให้รู้สึกเหนื่อยนิดหน่อย แต่ก็พอรับไหว
ณสนามฝึกแรก มีอาจารย์จำนวนหนึ่งกำลังสอนอยู่ ไม่ไกลออกไปอาจารย์ที่เครายาวในชุดเกราะและถือกระบี่เหล็กท่านหนึ่งพูดขึ้น“เพลงกระบี่ที่ใช้ต่อสู้จะต้องเร็วไม่อย่างนั้นจะสูญเสียพลังอันน่าเกรงขามที่มีอยู่ช้าแต่พลังมหาศาลคือลักษณะของอาวุธจำพวกดาบ ไม่ใช่จุดเด่นของกระบี่ จับตาดูให้ดีรวบรวมพลังไว้ที่ใจกลางคมกระบี่ ต้องรวดเร็ว แม่นยำและเด็ดเดี่ยว!”
“เช้ง!!!”
เมื่อสิ้นเสียงคมกระบี่หุ่นไม้ที่ใช้ในการฝึกก็ขาดเป็สองท่อนตาเฒ่าคนนี้ฝีมือไม่เลวเหมือนกัน
ศิษย์เกือบยี่สิบคนที่รายล้อมอยู่ต่างก็มีสีหน้าตกตะลึง ลืมตาอ้าปากค้างอยู่อย่างนั้น ดูๆ แล้วน่าจะเป็พวกศิษย์ใหม่ของที่นี่
ข้าเข็นรถเข้าไปแล้วพูดขึ้น“ท่านอาจารย์ กระบี่ 46 เล่มที่้าเพิ่มมาแล้วขอรับ”
อาจารย์ท่านนั้นพูดแบบไม่ได้หันหน้ามา“เอากระบี่ลงแล้วไปได้แล้ว”
“ขอรับ ท่านอาจารย์”
หลังจากหยิบกระบี่ออกทีละอันจนเสร็จก็เข็นรถไปส่งสนามที่สองจุดนี้เหมือนจะมีศิษย์เจ็ดแปดห้องที่มาเรียนรวมกันนอกสถานที่และเหมือนว่าจะไม่มีใครจับจ้องมาที่ข้า มันก็ดีเหมือนกันเมื่อก่อนอยากจะถ่อมตัวกลับไม่ได้ตอนนี้อยากจะทะนงตัวก็ไม่มีอะไรให้ภาคภูมิใจโชคชะตามันช่างตลกร้ายอะไรเช่นนี้
ส่งต่อไปเรื่อยๆกระทั่งมาจนถึงสนามที่แปดถึงรู้สึกว่าหน้าที่ใกล้จะจบลงแล้ว
รถเข็นล้อเดียวส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดของข้าเลื่อนผ่านแต่ละสนาม มุ่งหน้าไปยังจุดหมายท่ามกลางสายตาของศิษย์ชายและหญิงแต่หูก็บังเอิญไปได้ยินเสียงซุบซิบนินทาเข้า
“นี่มันศิษย์สำรองกินจุที่โรงอาหารนั่นไม่ใช่หรือไง?”
“จะว่าไปแล้วก็หล่อใช้ได้อยู่นะ!”
“ใช่ๆ หล่อกว่าลูกศิษย์ผู้ชายที่หน้าเหมือนหมีหมาห้องเราหลายหมื่นเท่า”
ส่วนศิษย์ชายก็ไม่แพ้กัน“ถุ้ย! เป็แค่ศิษย์สำรองธรรมดา แถมบนหัวยังไม่มีพลังิญญาเลยสักนิดคงจะไม่ได้ปลุกพลัง์สินะ สมน้ำหน้าแล้วล่ะที่จะเป็ศิษย์สำรองไปตลอดชีวิต!”
...
ไม่นานก็มาถึงใจกลางของสนามฝึกที่แปดซึ่งมีศิษย์กำลังฝึกเพลงกระบี่อยู่ส่วนผู้สอนเป็อาจารย์ผู้ชายที่อายุน่าจะราวๆ สามสิบปีดูจากภายนอกแล้วเป็คนที่หล่อเหล่าแบบมีสง่าราศีขนาดว่าสวมใส่เพียงแค่เสื้อคอกลมสีขาวก็ยังดูมีความสามารถ
และดูเหมือนว่าสายตาของศิษย์รอบๆจะมองมาที่ศิษย์ห้องนี้เกือบจะทั้งหมดหรือจะบอกอีกอย่างก็คือมองมายังศิษย์หญิงนางหนึ่งในห้องนี้นี่เองโดยนางนั้นสวมชุดศิษย์ของสำนักเหมือนกับศิษย์คนอื่นๆแต่เส้นผมสีทองที่ยาวสยายนั่นกลับเป็จุดสนใจของคนอื่นๆและเมื่อมองจากจุดที่ข้ายืนอยู่ก็จะเห็นได้ชัดว่า ชุดศิษย์ที่นางใส่อยู่นั้นมันช่างเว้านูนไปตามรูปร่างที่สมส่วนอย่างชัดเจน
“เช้ง!”
นางยืนหันข้างให้กับข้าแล้วแกว่งตวัดกระบี่ที่ใช้ในการฝึกฝนเพียงพักเดียวเส้นไฟรางๆก็ปรากฏลอยวนขึ้นมารอบๆ แสดงให้เห็นถึงพลังที่ชัดเจน
เสียงกระซิบกระซาบของศิษย์ชายในห้องดังขึ้นไม่ขาดหู
“หญิงนางนั้นก็คือซูเหยียนสินะ?”
“ใช่แล้ว ซูเหยียนจริงๆ ด้วยศิษย์คนเก่งที่สอบได้ที่หนึ่งของปีนี้...นึกไม่ถึงเลยว่านางจะสวยขนาดนี้”
“ได้ยินมาว่านางเป็ลูกสาวของเสนาบดีซูซีเฉิงเป็ถึงผู้สืบทอดคนที่สองของสหพันธ์เลยนะ!”
“เก่งก็เก่ง แถมยังสวยอีกต่างหาก ถ้าเกิดได้จูบสักครั้งละก็...”
“เ้าอยากตายหรือไง!”
...
ในเวลานี้เองข้าก็อ้อมผ่านไปบอกกับอาจารย์คนนั้นอย่างเคารพนับถือ “ท่านอาจารย์ข้าเอากระบี่ที่ใช้ในการฝึกของสนามแปดมาส่ง”
อาจารย์ท่านนั้นหันมามองแล้วยิ้มก่อนจะพูดขึ้น“ช่วยข้าขนมันลงด้วยละกัน ขอบใจมาก”
“ไม่เป็ไรขอรับ”
ข้าก้มลงเริ่มขนกระบี่นั้นลงและในเวลานี้ก็มีศิษย์หญิงที่สวมรองเท้าหนังคนหนึ่งเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า
“เ้า...เงยหน้าขึ้น” ข้าเหมือนจะเคยได้ยินเสียงของนางมาแล้ว
พอเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าคมสวยและคุ้นเคยก็ประจักษ์แก่สายตาทันที ไม่ผิดแน่นางคือคนเมื่อแปดวันก่อนในเมืองหยินเย่เฉิงที่ทำพิธีปลุกพลัง์ให้กับข้าเทพศาสตราวุธหญิงผู้ลือนามซูซีอวี๋อย่างนั้นเหรอ? ...ไม่ใช่นี่เป็หลานสาวของนาง ซูเหยียนและต้องเป็เพราะนางที่นึกสนุกถึงได้สลับตัวไปปลุกพลัง์ให้ข้าเป็แน่
ชั่วพริบตาเดียวในใจของข้าก็เดือดดาล เพราะสิ่งที่นางมองว่าเป็เพียงเื่สนุกนั้นมันทำลายชีวิตของข้าทั้งชีวิต
ใบหน้าที่ชมพูงดงามดุจแผ่นหยกของซูเหยียนที่มองข้าเผยให้เห็นว่านางเองก็ไม่สบอารมณ์เหมือนกันคิ้วที่ขมวดคู่นั้นราวกับว่าในใจของนางกำลังปะทุอยู่เช่นกันแต่ไม่นานก็ถอนหายใจออกมายาวๆ เหมือนยกโทษให้ตัวเองแล้วทำนองนั้น“ข้า...ได้ยินมาว่าหลังจากวันนั้นปราณของเ้าก็ถูกเผาไหม้ไปมันเป็เื่จริงหรือเปล่า?”
“อืม” ข้าพยักหน้าแล้วพูดขึ้น “แต่ไม่เกี่ยวกับเ้า มันเป็เพราะตัวข้าเอง”
“เื่นั้นเป็ความผิดของข้าเอง ข้าขอโทษ...”
นางเม้มปากดวงตาที่เปล่งประกายราวดาวบนท้องฟ้ามองตรงมาที่ข้า แต่น้ำเสียงยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน“ข้าคิดไม่ถึงว่ามันจะเป็แบบนั้น...ถ้าคิดว่าการปลุกพลัง์เป็เื่ง่ายๆที่ใช้น้ำยาปลุกพลังแค่นั้นก็สิ้นเื่ ข้าคิดไม่ถึงจริงๆว่ามันจะไปทำลายพลังที่เ้าฝึกฝนมา..”
“เ้าไม่ต้องขอโทษ บอกแล้วว่ามันไม่ใช่ความผิดของเ้า”
ข้าทำทีใจกว้างแล้วมองไปที่นางแต่จริงๆ แล้วพอมีสาวงามมายืนขอโทษอยู่ตรงหน้าแบบนี้ ใครมันจะไม่ใจอ่อนกัน?
“วันนั้นข้า...เ้า...จริงๆ แล้วเ้าไม่ควรจะมองข้าแบบนั้น!”
นางเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่างแล้วหน้าแดงขึ้นมาคงเป็เพราะนึกถึงเื่เสื้อผ้าของตัวเองที่ถูกเผาจนเปลือยเปล่าเมื่อวันก่อนนั้นแน่ๆมือของนางกำหมัดแน่น จนเกิดเป็พลังไฟลุกขึ้นมาและเหมือนจะควบคุมพลังในตัวไว้ไม่อยู่
ข้าเกิดกระวนกระวายแล้วเปลี่ยนเื่เพื่อป้องกันไว้ก่อน“เ้า...ยังมีธุระอะไรอีกหรือเปล่า?”
แต่ซูเหยียนกลับโยนกระบี่เล่มหนึ่งลงตรงหน้าข้าพร้อมกับดวงตาที่แววโรจน์ก่อนจะพูดเน้นขึ้นมาว่า “ข้ากับเ้าต่างก็ผิดเหมือนๆ กันเมื่อครู่ข้าได้ขอโทษในความผิดของตัวเองไปแล้ว ตอนนี้ถึงทีของเ้าแล้วล่ะข้า้าสู้กับเ้าเพื่อใช้การประลองเป็เครื่องตัดสินบุญคุณและความแค้นของพวกเราเ้าจะรับคำท้าหรือไม่?”
ข้าชะงักไปเล็กน้อยไม่ใช่เพราะนางอยากจะสู้กับข้าแต่เป็เพราะข้าเห็นเนื้อเนียนของนางแล้วก็เลยไม่สบอารมณ์เป็แน่พอไม่มีทางระบายก็เลยต้องใช้การประลองมาเพื่อเป็ตัวจัดการกับปัญหา!
ข้ายืนมองกระบี่บนพื้นก่อนจะเงยหน้ามองนางอีกครั้งแต่กลับเห็นว่าฝ่ามือบางนั้นผายออกเผยให้เห็นพลังิญญาที่หลอมรวมเข้าหากันจนกลายเป็กระบี่ยาวสีเืริมฝีปากนางยกขึ้นมาเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้น “แค่ครั้งเดียวพอการประลองจบลงเื่ระหว่างเราทั้งสองก็ถือว่าจบสิ้น เ้าเห็นด้วยหรือเปล่า?”
เหมือนว่าน้ำเสียงของนางไม่ได้อยากให้ข้าใช้ตัวเลือกและจะต้องเห็นด้วยเท่านั้น
กระบี่เพลิงกัลป์ตัวแทนแห่งความพิโรธของั นี่เป็อาวุธที่มีชื่อเสียงคนทั้งสำนักต่างก็รู้จักมันดีแล้วข้าจะใช้กระบี่เหล็กนี่สู้กับกระบี่เพลิงกัลป์ได้ยังไง?
นี่มันไม่เท่ากับรนหาที่ตายหรือไง!
ชายชาตรีไม่สู้อย่างไร้ศักดิ์ศรีแต่จะให้ข้ายอมแพ้มันก็เป็ไปไม่ได้
ทั้งไม่อยากจะสู้และอยากจะรักษาด้วยเหมือนกันคงจะต้องใช้วิธีอื่นแล้วล่ะ...
สติ!!!